ในราวปลายปีคริสต์ศักราช 1978 เมืองเซี่ยงไฮ้ของสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นภาพสะท้อนของความเป็นอยู่ในยุคที่ประเทศกำลังเริ่มฟื้นตัวจากการปฏิวัติวัฒนธรรมและเริ่มมีความคิดริเริ่มเปิดประตูรับการพัฒนาเศรษฐกิจตามนโยบายใหม่ ๆ ของรัฐบาล
แม้จะเป็นเมืองใหญ่ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต แต่ในช่วงเวลานี้เซี่ยงไฮ้ยังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศของการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไป ถนนหลายสายในเมืองเต็มไปด้วยผู้คนที่รีบเร่งไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมของรัฐบาล โรงงานขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตามขอบเมืองและพื้นที่อุตสาหกรรมกลายเป็นแหล่งงานหลักสำหรับชาวเมืองที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
ยามเช้าตรู่ดวงตะวันยังไม่ทันขึ้นพ้นขอบฟ้า ผู้คนในเซี่ยงไฮ้ต่างตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงกริ่งจากโรงงานที่ปลุกให้พวกเขาเตรียมตัวออกไปทำหน้าที่ของตน ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำงานในโรงงานที่ผลิตสิ่งของต่าง ๆ ตั้งแต่เสื้อผ้า รองเท้า จนถึงเครื่องจักร เหล็กหนัก เบาในโรงงานอุตสาหกรรม การเดินทางไปทำงานในแต่ละวันทำให้ถนนในเมืองแออัดไปด้วยจักรยานและรถรางเก่า ๆ ซึ่งเป็นพาหนะหลักของชาวเมืองแห่งนี้
เซี่ยงไฮ้ในเวลานี้มีลักษณะของการอยู่อาศัยร่วมกันในชุมชนใหญ่ บ้านแต่ละหลังในชุมชนถูกออกแบบให้รองรับหลายครอบครัวอาศัยร่วมกัน รัฐบาลจัดหาบ้านให้ประชาชนเพื่อให้ทุกคนมีที่พักอาศัย โดยเฉพาะในเขตท้าย ๆ เมืองที่ห่างไกลจากศูนย์กลางเศรษฐกิจ บ้านหลายหลังเป็นแบบตึกแถวหรือบ้านใหญ่ที่แบ่งออกเป็นหลายห้อง ครอบครัวต่าง ๆ จึงต้องแบ่งปันพื้นที่ร่วมกัน ตั้งแต่ห้องครัวจนถึงห้องน้ำ
หนึ่งในชุมชนท้ายเมือง มีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ในซอยเล็กอันเงียบสงบ แม้จะเป็นบ้านใหญ่ที่มีหลายครอบครัวอาศัยอยู่ร่วมกัน แต่บ้านนี้ก็มีบรรยากาศช่างเงียบสงบชาวบ้านในแต่ละครอบครัวต่างใช้ชีวิตประจำวันอย่างต่างคนต่างอยู่ พวกเขาต้องแบ่งปันทุกสิ่งตั้งแต่เครื่องใช้ต่าง ๆ ในห้องส่วนกลางกัน ภายในห้องครัวมีเตาถ่านและเตาแก๊สขนาดเล็กซึ่งใช้สำหรับทำอาหารร่วมกัน โต๊ะไม้เก่าตัวหนึ่งตั้งอยู่กลางห้องครัว เป็นที่รวมตัวของแต่ละครอบครัวทุกเย็น
บ้านหลังนี้มีลักษณะเรียบง่าย ห้องต่าง ๆ ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบห้องนอนแต่ละห้องในบ้านถูกแบ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวขนาดเล็กอยู่ห้องละอย่างน้อยสองคนเพื่อให้ทุกคนมีที่นอนจึงไม่มีความเป็นส่วนตัวมาก แต่ละห้องมีหน้าต่างบานเล็ก ๆ อย่างน้อยหนึ่งบานที่หากมองออกไปเห็นหลังคาบ้านที่อยู่ติดกัน หน้าต่างนั้นเป็นที่เดียวที่แสงแดดอ่อน ๆ ส่องเข้ามาในยามเช้า
ชิงหลิน หญิงสาวที่เพิ่งได้ประมวลผลจากความทรงจำใหม่ในร่างนี้จนสามารถหาทางกลับบ้านของตนมาตลอดทั้งคืนกำลังยืนมองบ้านหลังดังกล่าวจากด้านนอก
มันไม่ใช่บ้านที่หรูหราแต่มีความเงียบสงบและเป็นที่พึ่งพิงของเธอในชาติใหม่ต่อจากนี้ ขณะที่เธอเดินเข้ามาใกล้บ้าน ความทรงจำของร่างเดิมเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในสมอง ภาพสมาชิกครอบครัวของร่างนี้หลั่งไหลเข้ามาในหัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกย่างก้าวที่หญิงสาวเดินเข้าไปในบ้าน
ร่างนี้มีชื่อนามสกุลว่าชิงหลินเหมือนกับเธอในชาติที่แล้วแต่แตกต่างกันตรงที่ชาติที่แล้วเธอเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตมาในความดูแลและสั่งสอนขององค์กรข่าวกรองระดับประเทศแห่งหนึ่งอย่างโดดเดี่ยวและไร้อิสระ ทว่ามาชาตินี้กลับมาเกิดในร่างของผู้หญิงที่มีครอบครัวร่วมสายเลือดอีก 5 คน
บิดาชื่อว่าชิงซา อดีตทหารขั้นประทวนที่ต้องออกจากราชการเพราะขาขวาได้รับบาดเจ็บหนักจนปัจจุบันกลายเป็นคนขาเป๋ ผ่านการแต่งงานมาแล้วสองครั้ง
ครั้งแรกแต่งกับนางชิงไฉ มีลูกสาวด้วยกันสองคนได้แก่ชิงหลินหรือร่างนี้นั่นเอง มีน้องสาวอีกคนคือชิงเซียนจากนั้นนางชิงไฉจึงเสียชีวิตลง
การแต่งงานครั้งที่สองบิดาของร่างนี้แต่งกับแม่หม้ายสามีตายชื่อว่าชิงซือมีลูกชายติดมาหนึ่งคนคือ ชิงจิ่น หลังจากแต่งงานกันด้วยความรักจึงมีลูกสาวเพิ่มคนสุดท้ายอีกหนึ่งคนคือชิงอิ๋ง
ทั้งห้าคนนี้คือครอบครัวตระกูลชิงของชิงหลินในชาตินี้
หญิงสาวหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูไม้ที่ดูเก่าและมีรอยขีดข่วนจากการใช้งานมานาน เธอยื่นมือออกไปจับลูกบิดประตู รู้สึกถึงความเย็นจากโลหะที่เธอไม่เคยคุ้นเคย ก่อนที่จะค่อย ๆ ผลักประตูเปิดเข้าไปสู่ภายใน
เมื่อชิงหลินเปิดประตูบ้านเข้าไปในสภาพยุ่งเหยิงอย่างเห็นได้ชัด เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ยับเยินและมีรอยเปื้อนจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่แทนที่สมาชิกในครอบครัวจะเห็นแล้วเข้ามาถามไถ่ด้วยความห่วงใย พวกเขากลับไม่สนใจ ต่างคนต่างทำกิจวัตรของตัวเองโดยไม่สนใจมองมาที่คนมาใหม่
"กลับมาแล้วหรือ" เสียงของแม่เลี้ยงใบหน้ายังคงหลงเหลือความงามดังขึ้นจากห้องครัวโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง “อย่าเถลไถลนักสิชิงหลิน ไปทำกับข้าวเดี๋ยวพี่ใหญ่ของแกจะกลับมาพักที่บ้านในวันหยุดนี้ เขาทำงานเหนื่อยที่โรงงานเหล็กหนักทั้งวัน วันเมื่อวานเขาไม่ได้พักที่บ้าน แกยังมีหน้ามาเที่ยวเล่นอีก”
ชิงหลินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจ "ฉันก็มีเรื่องต้องทำเหมือนกันนะคะไม่ใช่แค่เที่ยวเล่น เมื่อวานตอนเย็นคุณเป็นคนบอกให้ฉันไปกินข้าวกับลูกชายคนเล็กของนายอำเภอเองด้วยซ้ำ" เธอพยายามจะอธิบายอย่างใจเย็นแต่เสียงของเธอกลับถูกกลืนหายไปในเสียงตำหนิของแม่เลี้ยงคนเดิม
“เรื่องของแกสำคัญเท่ากับการทำงานหนักของพี่ใหญ่แกไหมล่ะ ?” แม่ของเธอตอบอย่างไม่แยแส “อยู่บ้านสบาย ๆ ไม่ต้องออกไปตากแดดทำงานเหมือนพวกเขา ยังจะบ่นอีก แกไม่รู้บ้างหรือว่าพี่ใหญ่เหนื่อยแค่ไหน”
ชิงหลินรู้สึกถึงความเจ็บปวดในใจของร่างเดิมตกค้างอยู่ในใจส่งผลกระทบมายังจิตใจของเธอไม่น้อยซึ่งมันช่างเป็นความรู้สึกที่น่ารำคาญยิ่งนัก แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไรต่อ จู่ ๆ น้องสาวร่วมมารดาของเธอก็เดินเข้ามาจับแขนเบา ๆ ราวกับต้องการห้ามไม่ให้เธอพูดอะไรเพิ่มเติมอีกทั้งยังกระซิบเสียงเบาที่ดังพอให้ได้ยินกันสองคนพี่น้องเท่านั้น "อย่าเถียงคุณแม่ชิงซือเลยนะพี่รอง มันอาจยิ่งทำให้แย่ลงไปกว่าเดิม"
สิ่งที่น้องคนนี้พูดก็น่าคิด
ผู้หญิงที่เป็นแม่เลี้ยงผู้นั้นพูดออกมาราวกับเธอไม่ได้มีส่วนทำให้ลูกสาวเลี้ยงผู้นี้ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากของผู้ชายทั้งหลายที่แม่เลี้ยงผู้นี้นี่แหละที่คอยติดต่อมาให้อยู่เสมอ
แต่เดิมร่างนี้เป็นผู้หญิงงดงามสมบูรณ์ไปทุกอย่างเนื่องจากมารดาผู้ให้กำเนิดหน้าตาและผิวพรรณดีอยู่แล้ว ทว่าภายนอกดีแต่ภายในนั้นว่างเปล่ายิ่งนักโดยเฉพาะรอยหยักสมองที่มีน้อยนิดจนถูกท่าทีใจดีพูดจาไพเราะของแม่เลี้ยงผู้นี้หลอกใช้ร่างนี้ให้เป็นแหล่งบ่อเงินบ่อทองของครอบครัว แม่เลี้ยงมักพูดจาเชินชวนผู้ชายที่มองลูกเลี้ยงตนเองด้วยความหลงใหลนัดกันไปกินข้าวโดยขอสิ่งของแลกเปลี่ยนเป็นพวกเงิน คูปอง หรือแลกกับไข่ไก่สักโหลก็ยังดีเท่านั้น เป็นเช่นนี้มาหลายปีแล้วจนชื่อเสียงของชิงหลินคนเก่ากลายเป็นผู้หญิงหยิ่งยโสเทคู่เดตของตนเองเป็นว่าเล่น เป็นผู้หญิงรักเงินที่มีดีแค่ความสวยภายนอกเท่านั้น
ชิงหลินหันกลับมามองหน้าอ้อนวอนขอร้องของน้องสาวแล้วถอนหายใจอย่างหนัก เธอรู้ว่าการเถียงกลับไปไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะทำให้สถานการณ์แย่ลง เธอจึงยอมสงบปากสงบคำไม่นำคำพูดไร้สาระมาใส่ใจแล้วเดินขึ้นบันไดบ้านขึ้นไปยังชั้นสองด้วยความเหนื่อยล้าสะสม ทว่าดูท่าวันนี้เธอคงไม่ได้นอนพักง่ายดายเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามหลังมาเป็นเวลาเดียวกันกับที่ชิงหลินเองสังเกตสิ่งผิดปกติที่ข้อมือตัวเอง
เธอยกแขนตัวเองขึ้นมาสำรวจนาฬิกาข้อมือหน้าตาประหลาดที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่ข้อมือเธอได้อย่างไร เธอจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยซื้อหรือได้รับมันมาตอนไหน ในความทรงจำของร่างนี้เองก็บอกว่าเธอไม่เคยสวมของที่ดูมีราคาเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน
ชิงเซียนน้องสาวที่เดินตามพี่สาวขึ้นมาคงสังเกตเห็นนาฬิกาเรือนนี้เองเหมือนกันจึงเอ่ยทักขึ้น
"พี่หลิน นาฬิกาเรือนนี้พี่ซื้อมาจากไหนเหรอ ? สวยจังเลย ราคาคงแพงน่าดู" ดวงตาลุกวาวตอนเอ่ยถามแสดงถึงความสนใจมากล้น
ชิงหลินมองลงไปที่ข้อมือของตัวเองอย่างงุนงงก่อนจะตอบกลับไป "ไม่แพงหรอกมันก็แค่เครื่องประดับชิ้นหนึ่งที่หน้าตาดีแต่ว่าวัสดุเป็นของปลอมเท่านั้นเอง พี่...ซื้อมาจากข้างทางน่ะ"
ชิงเซียนจ้องมองนาฬิกาด้วยแววตาที่บ่งบอกชัดเจนว่าอยากได้ "พี่หลิน ให้ฉันได้ไหม มันสวยจริง ๆ นะ"
ชิงหลินเห็นสายตาตรงไปตรงมาของน้องสาวแล้วก็รู้สึกใจอ่อนขึ้นมาชั่วขณะ "พี่ไม่คิดว่านาฬิกานี่จะสำคัญอะไร"
เธอกล่าวพร้อมกับพยายามถอดนาฬิกาออกจากข้อมือแต่ไม่ว่าเธอจะดึงยังไงนาฬิกาก็ไม่ขยับออกจากข้อมือสักทีราวกับมีกาวทาติดมันไว้กับที่
สีหน้าของชิงหลินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลของสิ่งนี้ "เอ่อ... ชิงเซียน พี่ว่าไว้ก่อนดีกว่า" เธอพูดพร้อมกับถอยกลับ "พี่คิดว่ามันน่าจะพังแล้ว ของไม่ดีพี่ไม่อยากมอบให้น้องหรอก"
ชิงเซียนทำหน้างง "แต่ฉันชอบ มันสวยงามมาก พี่ใส่แล้วมันดูสวยฉันเลยอยากสวยเหมือนพี่"
"พี่คงให้ของสิ่งนี้เธอไม่ได้หรอก" ชิงหลินตัดบทอย่างตรงไปตรงมาและหันไปทำอย่างอื่น "ไปเถอะ ชิงเซียนพี่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกยังไม่ได้นอนสักชั่วโมง พี่ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะ"
ชิงเซียนรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรเพิ่มเติม หญิงสาวพยักหน้าและเดินแยกย้ายไปทำสิ่งที่ต้องทำบ้างเช่นกัน วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ที่ต้องไปทำงานที่โรงงานเสื้อผ้าอีกหนึ่งวันก่อนถึงวันหยุดในวันรุ่งขึ้น
ชิงหลินถอนหายใจโล่งอกออกเฮือกใหญ่แล้วเดินเข้าห้องนอนซึ่งห้องนอนนี้เธอต้องแบ่งปันใช้ร่วมกันดับชิงเซียนและชิงอิ๋ง น้องสาวคนสุดท้องของพวกเธอ ห้องนอนนี้มีเพียงเตียงสามเตียงที่จัดวางชิดกันเพื่อประหยัดพื้นที่ มีโต๊ะไม้คนละตัวตั้งอยู่ริมห้องเอาไว้เขียนหนังสือของใครของมัน ชิงหลินเดินมาถึงเตียงของตัวเองแล้วทรุดตัวลงนั่ง
เธอยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาอีกครั้งโดยละเอียด
นาฬิกาข้อมือที่เรือนนี้มีดีไซน์ทันสมัยผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและเทคโนโลยีล้ำยุค ตัวเรือนทำจากวัสดุโลหะที่มีความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบา สีของตัวเรือนเป็นสีดำเมทัลลิกที่ดูหรูหราแต่ไม่ฉูดฉาด
หน้าปัดของนาฬิกาเวลานี้เป็นหน้าจอดำมืดไม่มีแม้กระทั่งตัวเลขและเข็มนาฬิกาดูเวลา
นาฬิกาข้อมือนี้ดูไม่เหมือนของในยุคนี้เนื่องจากมันดูคล้ายกับเทคโนโลยีล้ำสมัยในยุคที่เธอจากมามากกว่า
ตรวจสอบดูเท่าไหร่สุดท้ายก็ยังไม่พบคำตอบว่ามันมาอยู่ที่ข้อมือเธอได้อย่างไร เสียงของชิงอิ๋งดังขึ้นจากเตียงข้าง ๆ ทำให้ชิงหลินตื่นจากความคิด
“พี่หลิง วันนี้ดูเหนื่อยจังเลยนะ” ชิงอิ๋งน้องสาวคนสุดท้องที่ยังคงนอนไม่ถึงเวลาตื่นทักขึ้นหลังจากถูกปลุกตื่นขึ้นมาจากเสียงฝีเท้าของพี่สาว
ใบหน้าเล็กของเด็กสาวอายุสิบห้าปียู่เข้าหากันอย่างไม่พอใจเล็กน้อยที่โดนปลุก
“ก็... นิดหน่อย พี่ขอโทษที่เสียงดังน้องนอนต่อเถอะ” ชิงหลินตอบกลับพร้อมกับฝืนยิ้มให้น้องสาวของร่างนี้ที่กำลังปิดเปลือกตาอย่างเกียจคร้านลงอีกรอบ
และเช่นเดียวกันเธอเหนื่อยล้าไม่น้อยจึงเอนหลังลงนอนบนเตียง พร้อมกับปิดตาและพยายามลืมความสับสนที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมองของเธอ
สอง