ตอนที่ 4
หลังจากแม่เสีย บ้านของฉันก็กลายเป็นที่ว่างเปล่าและเงียบงันจนบางครั้งแค่เสียงลมพัดผ่านหน้าต่างก็ทำให้ฉันสะดุ้งได้ ฉันพยายามติดต่อญาติทั้งฝั่งแม่ และฝั่งพ่อ ก็ไม่สามารถติดต่อใครได้เลย
พ่อของฉันเป็นคนเกาหลี รู้แค่ว่าชื่อ คิมโกคยอง เบอร์โทรและที่อยู่ที่ค้นเจอในลิ้นชักห้องนอนแม่ ไม่สามารถติดต่อได้
ลึกๆ ก็แอบกังวลว่า พ่อเสียไปแล้วโดนที่พวกเราไม่รู้หรือเปล่า
แต่เพราะแบบนั้น...ครอบครัวไคอันเลยเข้ามาดูแลฉัน ฉันเองก็รู้สึกขอบคุณพวกเขามากๆ ที่คอยซัพพอร์ตอยู่แบบนี้ ถ้าไม่มีพวกเขา ฉันคงไม่มีที่พึ่งแบบจริงจังเลย
เกือบทุกเย็น ป้ารินดาจะโทรมาเรียกให้ฉันไปกินข้าวที่บ้าน “โมอา วันนี้มากินข้าวด้วยกันนะลูก ป้าทำจาจังมยอนที่หนูชอบไว้แล้ว” ฉันไม่กล้าปฏิเสธหรอก เพราะความจริงคือ…ถ้าไม่ได้ไปนั่งกินข้าวกับใคร ฉันก็คงเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องเงียบ ๆ แถมยังรู้สึกขอบคุณมากๆ ที่ป้ารินดาอุตส่าห์ทำอาหารเกาหลีให้กินบ่อยๆ
เวลาทานข้าว ฉันก็นั่งข้างๆ ไคเสมอ เพื่อนที่ฉันรู้จักมาตั้งแต่จำความได้ ตั้งแต่ที่ฉันกับแม่ย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทยแรกๆ ทุกวันเขาก็ยังเหมือนเดิม ก้มหน้ากินข้าว ไม่ค่อยพูดค่อยจาอะไรกันใครนัก แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าการมีเขาเป็นเพื่อนอย่างน้อยมีคนนั้งข้างๆ ก็ไม่ทำให้เหงาเกินไปนัก
หลังจากกินเสร็จ เขามักจะพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบ ๆ และสีหน้าที่นิ่งเฉยบ้าง กวนโอ๊ยบ้าง เสมอ
“ไป เดี๋ยวฉันไปส่ง”
ฉันมักจะเถียงเบา ๆ
“ไม่ต้องหรอก ฉันเดินกลับเอง แค่นี้ ไม่เป็นไร”
แต่คำตอบของเขาที่ได้ก็เหมือนเดิมทุกครั้ง
“แม่บอกว่าอย่าปล่อยให้อยู่คนเดียว”
เพราะการสูญเสียแม่ ทำให้บรรยากาศรอบๆ ตัวฉันอึมครึมอยู่เสมอ ความสดใสร่าเริง และช่างพูดที่เคยมีหายไป แทนที่ด้วยด้วยตาแดงก่ำที่เหมือนคนผ่านการร้องไห้อย่างหนัก และพร้อมจะร้องไห้ตลอดเวลา ทำให้ฉันไม่มีเพื่อนที่โรงเรียนเลย กว่าจะทำใจได้ ก็เป็นตอนที่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาลัย
สุดท้ายฉันก็ทำได้แค่เดินกลับบ้านกับไคแบบเงียบ ๆ แสงไฟริมถนนทอดเงายาวของเราสองคนพาดลงบนพื้น ฉันมักจะคิดเสมอว่าถ้าไม่มีครอบครัวของไค ฉันคงต้องโดดเดี่ยวอยู่บนโลกใบนี้คนเดียว แค่คิดก็เหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว
“เธอกินข้าวน้อยมากเลย เดี๋ยวไม่มีแรงนะ” เขาพูดขึ้นเฉย ๆ ระหว่างเดิน
“ก็…มันไม่หิวอ่ะ” ฉันตอบแผ่วเบา พยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
เขาเหลือบมองฉันเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจ แล้วเอื้อมมือมาเคาะหัวเบา ๆ “ทำตัวแบบนี้ แม่จะเป็นห่วงเอานะ”
เพียงประโยคนั้น น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลออกมาไม่หยุด ฉันหยุดเดิน ซบหน้าลงกับฝ่ามือ ร่างสั่นสะท้าน
“ฉัน…ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปแล้วไค ฉันไม่เหลือใครเลย ฮืออออ”
มือใหญ่ของเขาลูบหลังฉันเบา ๆ ไม่ได้พูดปลอบ ไม่ได้เอ่ยคำใด ๆออกมา แต่เพียงการยืนอยู่ตรงนี้ก็เหมือนบอกว่า ฉันไม่ได้อยู่คนเดียว
“ฉันอยู่ตรงนี้ไง ไหนจะแม่ฉันอีก อยากให้เธอย้ายเข้าไปอยู่ด้วยแล้วนั่น” เสียงของเขาเรียบง่าย แต่ชัดเจน
เมื่อถึงหน้าบ้าน ฉันหันไปมองเขาอีกครั้ง ร่างสูงยืนเงียบอยู่ตรงนั้นไม่ขยับจนกว่าฉันจะเปิดประตูเข้าไป เขารอจนไฟในบ้านสว่างขึ้น ถึงได้หมุนตัวเดินกลับ
และตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา…เขาก็มาส่งฉันกลับบ้านทุกวัน โดยไม่เคยถามเลยว่าฉันอยากให้ทำหรือเปล่า
บางวันถ้ามีการบ้าน เขาก็ไม่กลับบ้านทันที แต่จะนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเก่าในห้องนั่งเล่นฉัน หยิบสมุดออกมาจากกระเป๋าเป้แล้วบ่นเสียงเรียบ ๆ
“ทำด้วยกัน จะได้เสร็จเร็ว ๆ”
ฉันหัวเราะเบา ๆ “นี่คือข้ออ้างให้ฉันทำให้ใช่มั้ย”
เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉันนิดหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นนิ่งจนทำให้ฉันเผลอหน้าร้อน “ก็เธอเก่งกว่า”
...การบ้านก็ไม่ได้ทำเสร็จเร็วอย่างที่เขาพูดหรอก เพราะกว่าฉันจะเขียนเสร็จทีไร ก็เอาแต่เผลอเหลือบตามองเขา ทั้งที่รู้ว่าเขานั่งอยู่ข้าง ๆ แบบนี้มานับไม่ถ้วนแล้ว แต่หัวใจฉันก็ยังเต้นแรงเหมือนวันแรกที่นั่งด้วยกัน
และทุกครั้งที่ฉันเกือบจมดิ่งลงกับความเศร้า ความเงียบ ความคิดอยากหายไปจากโลกนี้…เสียงของเขาก็มักจะดึงฉันกลับมา
“อย่าคิดอะไรโง่ ๆ ล่ะ แค่ใช้ชีวิตต่อไปแบบนี้ ก็เพียงพอแล้ว”
คำพูดนั้นไม่ได้หวาน ไม่ได้โรแมนติก แต่สำหรับฉัน...มันคือเชือกเส้นใหญ่ที่ดึงฉันออกมาจากบ่อหลุมแห่งความความมืดมิดเสมอ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ในเช้าวันถัดมา ฉันที่เพิ่งใส่ถุงเท้าเสร็จถึงกับสะดุ้ง ใจเต้นแปลก ๆ เพราะไม่คุ้นชินกับการมีใครมาเรียกหน้าบ้านแต่เช้าแบบนี้
ฉันเปิดประตูออกไป…ก็เห็นไคยืนอยู่ตรงนั้น
ไคในชุดนักเรียนเรียบร้อย กางเกงขายาวสีดำ เสื้อเชิ้ตพับแขนขึ้นถึงข้อศอก มือหนึ่งถือกระเป๋า อีกมือซุกไว้ในกระเป๋ากางเกง ใบหน้านิ่งเรียบไร้อารมณ์ เลิกคิ้วมองฉันที่รีบวิ่งออกมา ทั้งๆ ที่ยังผูด
“ไปโรงเรียนด้วยกัน” เขาพูดเพียงสั้น ๆ
ฉันกะพริบตาปริบ ๆ “เอ่อ…ไม่เป็นไร ฉันเดินเองได้”
เขาเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง “อย่าดื้อ”
น้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ทำเอาฉันใจอ่อนราวกับเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ดุ สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้าช้า ๆ ก่อนหยิบกระเป๋านักเรียนออกมาล็อกประตูบ้าน
ระหว่างเดินไปโรงเรียน ฉันพยายามหาเรื่องชวนคุย “เมื่อคืน…ขอบใจนะ ที่มาส่ง”
เขาเงยหน้าจากโทรศัพท์แล้วหันมามองนิดหนึ่ง ก่อนตอบสั้น ๆ “อืม”
“แล้ว…จะต้องมารับมาส่งทุกวันเลยเหรอ?” ฉันถามยิ้มแหย ๆ ในใจแอบภาวนาให้เป็นแบบนั้น
“แม่สั่ง” เขาตอบพลางหันหน้ากลับไปมองทาง
ฉันหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่ในใจอบอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ “นี่ไม่ใช่ว่าอยากมาส่งเองหรอกนะ”
เขาหยุดเดินแค่ครู่เดียว เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดเสียงเรียบเหมือนเดิม “ก็ไม่ได้อยากให้เธออยู่คนเดียว”
คำพูดธรรมดา ๆ นั้นกลับทำให้หัวใจฉันสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่
เราสองคนเดินข้างกันเงียบ ๆ ไปจนถึงรั้วโรงเรียน ฉันแอบยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว…และคิดขึ้นมาได้ว่า บางที ฉันอาจไม่ได้ “ตัวคนเดียว” อย่างที่คิดมาตลอดก็ได้
ขณะที่เล่าให้เพื่อนๆฟัง (ตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ) ฉันเองก็เริ่มนึก ว่าตัวเองแอบชอบไคตั้งแต่ตอนไหน
บ่ายวันหนึ่งหลังเรียนวิชาสุดท้าย
ฝนตกลงมาไม่ทันตั้งตัว ฉันรีบวิ่งไปหลบใต้หลังคาเล็ก ๆ ตรงข้างสนามบาสของโรงเรียน เสียงฝนกระทบพื้นคอนกรีตดังก้องไปทั่วบริเวณ
ฉันมองออกไปทางถนน รถคันเล็กวิ่งผ่านสายฝนอย่างเร่งรีบ ใจฉันก็พลอยร้อนรนตามไปด้วย ถ้าฝนไม่หยุดตอนนี้ ฉันคงกลับบ้านช้าแน่ ๆ วันนี้มีการบ้านตั้งหลายวิชาที่ต้องทำให้เสร็จ ไหนจะรายงานกลุ่มที่ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มอีก
“หรือว่า…จะวิ่งออกไปเลยดีนะ” ฉันพึมพำกับตัวเอง สบตากับหยดฝนที่โปรยไม่หยุด มือกำแน่นกับสายกระเป๋าเหมือนให้กำลังตัดสินใจ
ทันใดนั้น ร่างสูงก็เดินเข้ามาหยุดข้าง ๆ — ไค
ร่างสูงเดินเข้ามาหาฉันโดยที่ไม่ได้พูดอะไร มือพลางถอดเสื้อคลุมสีเทาตัวใหญ่ออกมาแล้วโยนมาคลุมหัวฉันอย่างรวดเร็ว กลิ่นแชมพูอ่อน ๆ จากผ้าที่อุ่นเพราะเขาใส่มาทั้งวันยังติดอยู่ ทำให้หัวใจฉันเต้นแรงจนแทบไม่เป็นจังหวะ
“ทำอะไรของนายเนี่ย…” ฉันรีบยกมือดึงเสื้อคลุมออกเล็กน้อย หน้าร้อนผะผ่าวก้มหน้างุดไม่อยากให้เขาเห็น
“จะวิ่งตากฝนไปใช่ม่ะ” เขาถามเสียงเรียบ แต่แววตาแน่วแน่จ้องมาที่ฉัน
“ก็…ใช่ ถ้าไม่งั้นกลับบ้านไม่ทันแน่ ต้องรีบกลับไปทำการบ้านอ่ะ”
เขาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนพูดสั้น ๆ “งั้นไปด้วยกัน”
ยังไม่ทันที่ฉันจะเถียง มือใหญ่ก็จับข้อมือฉันแน่น แล้วเราก็วิ่งฝ่าสายฝนออกไปพร้อมกัน
น้ำเย็นเฉียบสาดกระเซ็นทั่วร่าง ฉันแอบมองใบหน้าหล่อเหลาของไคโดยที่ไม่รู้ตัว ดวงตาคมเฉี่ยว จมูกสันเป็นคน ปากหยักได้รูป ใบหน้าเนียนใส เล่นเอาสะผู้หญิงอย่างฉันยังอาย รอยยิ้มระบายบนใบหน้าของฉันโดยที่ไม่รู้ตัว ทั้งหนาว ทั้งเปียกชื้น แต่กลับรู้สึกมีความสุขอย่างประหลาด เพราะข้าง ๆ ฉัน…คือเขา
ฉันว่ามันคงเป็นตอนนี้แหละ ที่ฉันเริ่มจะรู้หัวใจตัวเอง ว่าแอบรักเพื่อนเข้าแล้ว
เมื่อถึงที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้ ไคยกหมวกกันน็อกขึ้นสวมให้ฉันโดยไม่ถาม เขามองหน้าฉันเล็กน้อย ริมฝีปากยกขึ้นนิดเดียวราวกับรอยยิ้มที่เขาไม่ค่อยแสดงให้ใครเห็น
“คราวหน้าห้ามวิ่งตากฝนคนเดียวอีก เข้าใจมั้ย”
ฉันนิ่งไป หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกอก สุดท้ายได้แต่พยักหน้าเบา ๆ
และนั่นคือจังหวะที่ฉันรู้ตัวเองชัดเจน... ว่าฉันชอบเขาเข้าแล้วจริง ๆ
เสียงเครื่องยนต์คำรามเบา ๆ ท่ามกลางสายฝนที่ยังโปรยลงมาเป็นละอองปรอย ๆ ฉันนั่งซ้อนท้ายอยู่ข้างหลัง มือสั่นเล็กน้อยเพราะทั้งหนาวและประหม่า
ไคไม่พูดอะไรสักคำ แค่ยื่นมือมาคลายกริ่งเบาะเบา ๆ เป็นสัญญาณให้ฉันกอดเอวเขาไว้
“จับดี ๆ เดี๋ยวล้ม” น้ำเสียงเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความจริงจัง
ฉันลังเลนิดหนึ่ง ก่อนจะยกแขนขึ้นโอบรอบเอวเขา กลิ่นสบู่ผสมกับกลิ่นฝนและความอุ่นจากร่างกายเขาโอบล้อมฉันไว้แน่นจนหัวใจเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม
แสงไฟถนนสะท้อนกับละอองฝนเป็นประกายระยิบ ฉันซบแก้มลงกับแผ่นหลังที่กว้างและมั่นคงของเขาอย่างไม่รู้ตัว
“ไค…” ฉันเรียกชื่อเขาเบา ๆ แต่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“หืม?” เขาขานรับสั้น ๆ แต่เสียงทุ้มต่ำที่ดังลอดเข้ามาในอกทำให้หัวใจฉันสั่นสะท้าน
“ขอบใจนะ ที่ใจดีกับชั้นตลอดเลย คอยช่วยเหลือตลอด”
เขาเงียบไปชั่วครู่ ราวกับกำลังเลือกคำพูด ก่อนจะตอบเพียงสั้น ๆ
“อืม”
ลมเย็นเป็นปะปนไปด้วยละอองฝนพัดผ่านขณะที่เราเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่ภายในใจฉันกลับร้อนผ่าว ความอบอุ่นจากแผ่นหลังของเขาทำให้ฉันแน่ชัดเสียที ว่าทุกความรู้สึกที่สับสนมาตลอด…มันไม่ใช่แค่บุญคุณ ไม่ใช่แค่เพื่อนบ้านที่เติบโตมาด้วยกัน แต่คือความรัก ที่ฉันมีให้เขาเต็มหัวใจแล้ว