11

1143 Words
บ้านสกุลจู ไป๋ซินซินกลับเข้ามาในบ้าน เห็นทุกคนกำลังกินข้าวพร้อมหน้า ทุกสายตาหันมาจับจ้องก่อนจะเมินกลับอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้นางรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน แต่นางจะรู้สึกให้เปลืองความรู้สึกไปทำไม เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่เคยได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับพวกเขาอยู่แล้ว “มานั่งกินข้าวด้วยกันสิ” “ท่านพ่อ!” “หุบปาก” เอ่ยเสียงเย็นพอ ๆ กับสายตา อ้ายเหม่ยเม้มปากด้วยความขัดใจ ถลึงตามองพี่สาวต่างบิดาอย่างเกลียดชัง มองไปทางมารดาก็เห็นท่านปรามด้วยสายตา จึงได้แต่ข่มกลั้นความโมโหเอาไว้ “ผู้ใหญ่เรียกไม่ได้ยินหรือ” จูอินมองลูกสาวคนโตด้วยสายตาที่ว่างเปล่า “เจ้าค่ะ” ซินซินจำใจเดินไปนั่งร่วมโต๊ะ จูก่านต้งลุกไปตักข้าวและหยิบตะเกียบส่งให้หญิงสาว แล้วนั่งลงกินต่อโดยไม่พูดอะไร “ขอบใจ” บอกน้องชายแล้วมองกับข้าวบนโต๊ะ แต่ไม่กล้าเอื้อมตะเกียบออกไปคีบ จึงคีบข้าวเปล่าใส่ปาก “แม่ของเจ้าได้บอกอะไรกับเจ้าหรือยัง” “ข้ายังไม่ได้บอกนาง” จูอินไม่คาดคิดว่าสามีจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา “ท่านพ่อบ้านไม่อยู่ เห็นว่ารีบกลับบ้านเกิดไปดูใจน้องชาย ต้องรอให้เขากลับมาก่อน ข้าจึงยังไม่ได้พูดอะไรกับนาง” “แล้วเขาจะกลับมาเมื่อไหร่” “อีกประมาณครึ่งเดือน เจ้าจำนายท่านสกุลเสิ่นได้ไหมอาเกอ” นางรีบเปลี่ยนเรื่องคุย “อือ พูดถึงเขาทำไม” ผู้คนในตัวเมืองเทียนสินแห่งนี้ มีใครบ้างที่ไม่รู้จักคนมักมากผู้นั้น “วันนี้เขามาซื้อซาลาเปาที่ร้านของเรา พอได้คุยด้วยบ่อย ๆ ก็ทำให้รู้ว่าเขาเป็นคนอัธยาศัยดี คุยสนุก ข้าเห็นเขาเอาซาลาเปาไปแจกคนยากไร้หลายคนเลย” “ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเจ้าพูดถึงเขาทำไม” “ข้าก็แค่อยากเล่าให้เจ้าฟัง ชาวบ้านต่างนินทากันว่าเขามักมาก อายุจะหกสิบแล้วยังขยันแต่งอนุเข้าบ้าน พูดถึงแต่เขาในทางที่แย่ แต่เรื่องดี ๆ ที่เขาทำกลับไม่เคยมีใครพูดถึง” จูอินอยากพูดต่ออีกหลายประโยค แต่จำใจต้องสงบปากสงบคำเมื่อสามีเอาแต่เงียบ “ชาวบ้านเขาก็พูดตามที่เขาเห็น ดีก็ชม ไม่ดีก็นินทา ทำสิ่งไหนให้เห็นบ่อยก็จดจำสิ่งนั้น” ก่านต้งพูดขึ้นลอย ๆ “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นบัณฑิตหรือไร” อ้ายเหม่ยค้อนใส่น้องชายด้วยความหมั่นไส้ “ข้าคือกวีเอกแห่งเมืองเทียนสิน” “โง่ ๆ อย่างเจ้าอย่าฝันไกลนักเลย” “หนี่เอ๋อร์” จูอินปรามลูกสาวเสียงอ่อน ใช้สายตาชำเลืองไปทางสามีเพื่อเตือนสตินาง เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีคีบน่องไก่ในชามตัวเองส่งต่อให้หญิงสาวข้าง ๆ ที่กินแต่ข้าวเปล่าไปหลายคำแล้ว “ไก่นี่เนื้อเหนียวนัก ไม่มีความอร่อยเลย เจ้าเอาไปกินเถอะ” “นี่!” “พี่รองอยากกินหรือ” เขาคีบไก่คืนมาจากถ้วยข้าวของซินซิน “แต่ข้าเลียไปแล้วนะ เจ้าไม่ถือใช่ไหม” อ้ายเหม่ยรีบชักถ้วยข้าวหนี “ข้าไม่กินของเหลือเดนจากเจ้าหรอก ยกให้นางไปเถิด!” พูดเสียงห้วนและค้อนใส่อย่างไม่พอใจ “รีบกิน” สองพี่น้องหยุดพ่นคำพูดใส่กันทันทีที่ได้ยินคำพูดของบิดา “รีบกินสิ ข้าไม่ได้เลียไว้หรอก” ก่านต้งกระซิบบอกซินซิน แล้วยังคีบเอาผัดผักในถ้วยข้าวตัวเองใส่ในถ้วยข้าวของนางอีก “ผัดผักนี่แข็งจนปวดเหงือก เจ้าเอาไปกินเถิด” “อือ” ลึก ๆ แล้วนางก็รู้อยู่หรอกว่าจูก่านต้งคนนี้ไม่ได้ใจร้ายกับนางเหมือนจูอ้ายเหม่ย ภายในห้องนอน จูอินเดินไปหาสามีที่เอนตัวนอนอยู่บนม้านั่งตัวยาว “เมื่อยไหม” บีบนวดให้เขาอย่างเอาใจ “อือ ช่วงนี้ร้านเราขายดีมากจนแทบไม่มีเวลาพักกลางวัน นวดแป้งจนปวดเมื่อยไปทั้งตัว” “ขอบใจนะอาเกอ ที่ทำงานหนักเพื่อให้ข้ากับลูกสุขสบาย” “มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” “..อีกหน่อยข้าคงไม่ได้แต่งตัวงดงามนั่งอยู่หน้าโต๊ะเก็บเงินอีกแล้ว” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันก่อนจะลืมตามองหน้าภรรยา “ในเมื่อเจ้าให้นางออกเรือน ข้าก็คงต้องทำงานในส่วนของนางแทน” จูเกอขยับตัวขึ้นนั่งหลังตรง “นางถึงวัยที่ต้องออกเรือนแล้ว จะรั้งนางไว้ก็ไม่เหมาะไม่ควรไหมอาอิน” “ที่ข้าพูดข้าไม่ได้โทษเจ้า..เพียงแต่ลึก ๆ แล้วข้าเป็นห่วงนาง” สายตาเคลือบแคลงของสามีทำให้นางต้องแสร้งชักสีหน้าใส่เขา “คิดว่าข้าโกหกอยู่สินะ” จูเกอรีบจับแขนภรรยาที่ทำท่าจะเดินหนี “ข้าไม่ได้คิดแบบนั้น ก็แค่ตกใจที่ได้ยินว่าเจ้าเป็นห่วงนาง” นางแสร้งค้อนใส่สามีอย่างมีแง่งอน แล้วนั่งลงบนตักเขา เอนหน้าซบกับไหล่หนา “ข้าก็ไม่คิดว่าตัวเองจะรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน แต่พอถึงเวลาที่จะต้องเสียนางไปถึงได้รู้ตัว” “เช่นนั้นก็ควรพูดดี ๆ กับนางบ้าง นางจะได้รู้ความในใจของเจ้า” “ไม่! ให้ตายข้าก็ไม่พูดเด็ดขาด” “เช่นนั้นนางคงไม่รู้ว่าเจ้าคิดเช่นไร” “ช่างเถิด ให้นางรู้ว่าข้าเกลียดนางไปตลอดชีวิตนั่นดีแล้ว แต่ในฐานะแม่ข้าก็อยากทำสิ่งดี ๆ ให้นางสักครั้ง” “เช่นนั้นสมบัติที่เรามีก็แบ่งเป็นสามส่วน แล้วมอบเป็นสินเดิมให้นางไปหนึ่งส่วน” จูอินแทบจะลุกขึ้นมาตะคอกใส่หน้าสามีว่าไม่มีทาง แต่ก็ต้องทนข่มเอาไว้ “เจ้าไม่เสียดายสมบัติที่ตัวเองหามาเลยหรือ” แสร้งถามเสียงสั่นเครือด้วยความซาบซึ้งใจ “เสียดายทำไม ที่ข้าทำทุกวันนี้ก็เพื่อลูก ๆ ทั้งนั้น ข้ายังมีแรงหาได้อีกเยอะ ยกให้นางไปเดี๋ยวก็หามาได้อีก” เขายกให้นางหนึ่งส่วนก็เพียงแค่น้อยนิด ถ้าเทียบกับสินสอดที่จะได้รับกลับมาจากท่านเติ้ง “เรายังมีลูกอีกสองคนนะอาเกอ อนาคตเราก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นอย่างไร ข้าอยากทำอย่างอื่นให้นางมากกว่า” “อะไร” “ข้าไม่อยากให้นางแต่งเข้าสกุลเติ้ง” “นี่เหรอเหตุผล” ความเชื่อใจในตอนแรกปลิวหายจากความรู้สึกทันที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD