12

1270 Words
นางรีบยกมือห้าม “ฟังเหตุผลของข้าก่อนแล้วค่อยแย้ง” “พูดมา” “ท่านเติ้งแต่งเมียมาสามคนแล้ว แต่ทุกคนล้วนได้รับหนังสือหย่าเพราะไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ ข้ายังรู้อีกว่าเขามีอนุอยู่ในบ้านอีกหลายคน พวกนางล้วนชิงดีชิงเด่น ใส่ร้ายป้ายสีกันไปมาเพื่อแย่งชิงความโปรดปราน” “ข้าไม่เคยได้ยิน” “เจ้าจะไปรู้อะไร วัน ๆ เอาแต่นวดแป้ง ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามชาวบ้านดูก็ได้” “เจ้าก็เชื่อข่าวลือไม่มีมูลพวกนั้น” “ลูกของข้ากำลังจะแต่งงานกับเขานะ จะไม่ให้ข้าพูดได้อย่างไร หรือเพราะนางไม่ใช่ลูกของเจ้า แต่งไปแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่าง” “ข้าไม่เคยคิดแบบนั้นเลยอาอิน..เอาเป็นว่ารอให้พ่อบ้านโปกลับมาก่อนก็แล้วกัน ข้าจะคุยกับเขาอีกที” “ท่านต้องถามเขาว่าที่ชาวบ้านพูดกันเป็นความจริงไหม” เรื่องที่นางพูดไปใช่ว่าจะเป็นจริงทั้งหมด แต่ถ้านางไม่ยอมรับว่าแต่งขึ้นมาเองใครจะรู้ “บุรุษมีอนุมันก็ไม่ผิด แต่งกับท่านเติ้งนางคงไม่ลำบาก” “นั่นลูกข้าทั้งคนนะ โง่ ๆ เซื่อง ๆ อย่างนางไม่กลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของพวกอนุหรือ” “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร” “ต้องให้เขาแต่งอาซินเป็นเมียเอก” “เจ้าอย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย แค่ได้แต่เข้าสกุลเติ้งก็โชคดีของลูกเราแล้ว” เรื่องนี้เขาเองก็ผิดที่ไม่ได้ถามพ่อบ้านโปให้ละเอียดตั้งแต่แรก แต่ด้วยฐานะทางครอบครัวของเขา ถึงอย่างไรนางก็คงไม่ได้แต่งเข้าไปเป็นภรรยาเอก “ถ้าไม่ได้ก็ปฏิเสธเขาไป ข้าจะเลือกสามีให้นางเอง เพราะข้าก็มีตัวเลือกเอาไว้ในใจแล้วเหมือนกัน เขามาทาบทามอาซินกับข้าก่อนท่านเติ้งเสียอีก” “ใครกัน ทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้า” “ตอนนั้นข้ายังไม่มั่นใจในตัวเขา แต่ตอนนี้เขารับปากกับข้าแล้วว่าจะแต่งอาซินเป็นภรรยาเอก และจะไม่รับอนุเพิ่มถ้านางไม่อนุญาต” “ใคร บุตรชายบ้านไหนกัน” ข้อเสนอของนางทำให้เขาสนใจ “นายท่านสกุลเสิ่น” “บ้าบอ!!” ผู้เฒ่าที่อายุอานามก็น่าจะหกสิบปีไปแล้วคนนั้น จะดีกว่าท่านเติ้งได้อย่างไร “โมโหใส่ข้าทำไม” “ไม่อยากให้แต่งกับท่านเติ้ง แต่ให้ไปแต่งกับผู้เฒ่าเสิ่น เจ้าคิดอะไรของเจ้าอาอิน” “ข้าไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนเลย แค่ท่านเสิ่นรับปากจะแต่งนางเป็นเมียเอก แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว” ประมาณครึ่งเดือนก่อน ผู้เฒ่าเสิ่นได้มาซื้อซาลาเปาที่ร้าน และบังเอิญได้เจอไป๋ซินซินที่ออกจากครัวมาช่วยที่หน้าร้านพอดี ตั้งแต่วันนั้นเขาก็มาที่ร้านบ่อย ๆ และจะถามหาไป๋ซินซินทุกครั้ง บ่งบอกให้รู้เลยว่าเขาถูกใจนางมาก เมื่อรู้ว่าท่านเติ้งอยากสู่ขอไป๋ซินซินเป็นภรรยา ก็ทำให้ริษยาในวาสนาของนาง ไป๋ซินซินจะได้ดีกว่าจูอ้ายเหม่ยได้อย่างไร ต่อให้ท่านเติ้งจะพิการเดินไม่ได้ แต่เขาก็ยังเป็นบุรุษรูปงามและมั่งคั่งที่สุดในเทียนสิน คนที่ได้แต่งงานกับเขาก็ควรจะเป็นจูอ้ายเหม่ย ส่วนไป๋ซินซินนั้นเหมาะสมกับผู้เฒ่าเสิ่นผู้มักมากที่สุดแล้ว ดังนั้นเมื่อเจอกับผู้เฒ่าเสินในวันนี้ นางจึงได้ทำข้อตกลงบางอย่างกับเขา คฤหาสน์สกุลเติ้ง จูอ้ายเหม่ยถึงกับตะลึงตาค้างเมื่อเห็นบุรุษที่นั่งอยู่บนรถเข็น ถึงแม้เขาจะเป็นคนพิการ ถึงแม้เขาจะอยู่ในวัยที่เหมาะจะเป็นน้าเป็นอาของนางแล้ว แต่เขาก็มีใบหน้าและรูปร่างราวเทพบุตรอย่างที่มารดาบอกไว้ไม่ผิด ใบหน้าที่ตกตะลึงเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มหวานส่งให้เขา รีบย่อกายคารวะอย่างชดช้อย “อ้ายเหม่ยคารวะท่านเติ้งเจ้าค่ะ” เปล่งน้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลออกไป เติ้งอี้เทียนมองนางเพียงเล็กน้อยแล้วหันไปมองอีกนาง ไป๋ซินซินตกประหม่า ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเขา รู้สึกเหมือนเขาผู้นี้มีแสงแห่งความน่าเกรงขามแผ่ออกมาจากตัว ที่สำคัญที่สุดคือนางเคยเจอเขามาแล้วครั้งหนึ่ง “คารวะท่านเติ้ง ข้าน้อยไป๋ซินซินเจ้าค่ะ” เอ่ยวาจาฉะฉานแต่นอบน้อม ไม่ได้แสดงตัวว่าเคยเจอกันมาก่อน เพราะไม่อยากตอบคำถามของมารดา ไม่อยากสร้างความไม่พอใจต่ออ้ายเหม่ย พวกนางทั้งสองเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน แต่เมื่อยืนคู่กันแบบนี้กลับเห็นความแตกต่างราวฟ้าดิน คนน้องโฉมงามล่มเมือง ใบหน้าแต่งแต้มไว้อย่างประณีตงดงาม เสื้อผ้าและเครื่องประดับล้วนเป็นของใหม่มีราคา คนพี่แต่งหน้าและทาชาดเพียงบางเบา เสื้อผ้าราคาถูกเป็นแบบเรียบง่ายไม่ได้หวือหวา เครื่องประดับบนศีรษะมีเพียงปิ่นไม้กับผ้ามัดผมเส้นหนึ่ง.. แต่นางกลับงดงามดั่งหงส์ น่าทะนุถนอมกว่ามาก “นั่งสิ” ซูฮวาเดินเข้าไปรินน้ำชาให้ทุกคน เสร็จแล้วจึงถอยกลับไปยืนเยื้องทางด้านหลังรถเข็นของเจ้านาย “นิ้วมือแบบเจ้าเหมาะกับการเล่นกู่ฉินนัก” “อ้ายเหม่ยเล่นกู่ฉินเก่งมากเจ้าค่ะ ถ้าท่านเติ้งชอบฟัง โอกาสหน้าอ้ายเหม่ยจะเล่นให้ท่านฟังดีหรือไม่” อี้เทียนอมยิ้มเล็กน้อย “แล้วเจ้าถนัดดนตรีชนิดไหน” จูอินแอบแสยะยิ้มสะใจเมื่อได้ยินคำถามของเขา “อาซิน ท่านเติ้งพูดกับเจ้าไม่ได้ยินหรือ” ไป๋ซินซินตกใจกับรอยยิ้มและน้ำเสียงที่มารดามอบให้ เพราะเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ก็แทบสะดุ้งเมื่อถูกนางแอบบิดเนื้อเรียกสติ “ข้าน้อยเล่นไม่เป็นสักอย่างเจ้าค่ะ” นางเล่นเป็นสิ นางทั้งรู้หนังสือและเล่นผีผาเป็นอย่างแตกฉานทีเดียว เพราะพี่ว่านแอบสอนให้นานแล้ว แต่ก็ต้องปกปิดเป็นความลับไม่ให้ที่บ้านรู้ นอกจากผีผาแล้วนางยังพอเล่นเครื่องดนตรีอื่นได้อีกหลายอย่าง “ข้าละอายใจนักที่ทำให้ท่านเติ้งผิดหวัง ซินซินเป็นคนทึ่มทื่อหัวอ่อน ไม่ฉลาดเหมือนอ้ายเหม่ย ให้เรียนก็ยังไม่ได้เรื่อง ข้าเองก็จนปัญญาจะส่งเสริมนางแล้ว นางคงเกิดมาเพื่อนวดแป้งเท่านั้น” จูอินโกหกคำโต “จริงเจ้าค่ะ” ไป๋ซินซินก้มหน้ายอมรับคำพูดปรักปรำของมารดาเมื่อถูกบิดเนื้ออีกครั้ง นางข่มความเจ็บปวด เก็บซ่อนความน้อยใจไว้อย่างมิดชิด แต่ความอับอายกลับปกปิดเอาไว้ไม่ได้ ใบหน้าของนางในตอนนี้จึงแดงก่ำ และอยากจะลุกหนีไปจากตรงนี้ให้พ้น ๆ “คนเรามีความชอบไม่เหมือนกัน เล่นดนตรีไม่เป็นก็น่าจะถนัดทำอย่างอื่น” “ข้าน้อยถนัดทำซาลาเปากับเกี๊ยวมากที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” “เก่งเรื่องอาหารก็ดีจะได้ไม่อด หิวแล้วหรือยัง” ไป๋ซินซินอึก ๆ อัก ๆ เมื่อถูกถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จึงหันไปมองมารดา “ท่านแม่หิวหรือยังเจ้าคะ” “ดูสิดู แค่ตอบคำถามของท่านเติ้งก็ยังไม่กล้า นางขลาดเขลาถึงเพียงนี้ ท่านจะไม่ให้แม่อย่างข้าทุกข์ใจได้อย่างไร”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD