นางรีบยกมือห้าม “ฟังเหตุผลของข้าก่อนแล้วค่อยแย้ง”
“พูดมา”
“ท่านเติ้งแต่งเมียมาสามคนแล้ว แต่ทุกคนล้วนได้รับหนังสือหย่าเพราะไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ ข้ายังรู้อีกว่าเขามีอนุอยู่ในบ้านอีกหลายคน พวกนางล้วนชิงดีชิงเด่น ใส่ร้ายป้ายสีกันไปมาเพื่อแย่งชิงความโปรดปราน”
“ข้าไม่เคยได้ยิน”
“เจ้าจะไปรู้อะไร วัน ๆ เอาแต่นวดแป้ง ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามชาวบ้านดูก็ได้”
“เจ้าก็เชื่อข่าวลือไม่มีมูลพวกนั้น”
“ลูกของข้ากำลังจะแต่งงานกับเขานะ จะไม่ให้ข้าพูดได้อย่างไร หรือเพราะนางไม่ใช่ลูกของเจ้า แต่งไปแล้วจะเป็นอย่างไรก็ช่าง”
“ข้าไม่เคยคิดแบบนั้นเลยอาอิน..เอาเป็นว่ารอให้พ่อบ้านโปกลับมาก่อนก็แล้วกัน ข้าจะคุยกับเขาอีกที”
“ท่านต้องถามเขาว่าที่ชาวบ้านพูดกันเป็นความจริงไหม” เรื่องที่นางพูดไปใช่ว่าจะเป็นจริงทั้งหมด แต่ถ้านางไม่ยอมรับว่าแต่งขึ้นมาเองใครจะรู้
“บุรุษมีอนุมันก็ไม่ผิด แต่งกับท่านเติ้งนางคงไม่ลำบาก”
“นั่นลูกข้าทั้งคนนะ โง่ ๆ เซื่อง ๆ อย่างนางไม่กลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของพวกอนุหรือ”
“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร”
“ต้องให้เขาแต่งอาซินเป็นเมียเอก”
“เจ้าอย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย แค่ได้แต่เข้าสกุลเติ้งก็โชคดีของลูกเราแล้ว” เรื่องนี้เขาเองก็ผิดที่ไม่ได้ถามพ่อบ้านโปให้ละเอียดตั้งแต่แรก แต่ด้วยฐานะทางครอบครัวของเขา ถึงอย่างไรนางก็คงไม่ได้แต่งเข้าไปเป็นภรรยาเอก
“ถ้าไม่ได้ก็ปฏิเสธเขาไป ข้าจะเลือกสามีให้นางเอง เพราะข้าก็มีตัวเลือกเอาไว้ในใจแล้วเหมือนกัน เขามาทาบทามอาซินกับข้าก่อนท่านเติ้งเสียอีก”
“ใครกัน ทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้า”
“ตอนนั้นข้ายังไม่มั่นใจในตัวเขา แต่ตอนนี้เขารับปากกับข้าแล้วว่าจะแต่งอาซินเป็นภรรยาเอก และจะไม่รับอนุเพิ่มถ้านางไม่อนุญาต”
“ใคร บุตรชายบ้านไหนกัน” ข้อเสนอของนางทำให้เขาสนใจ
“นายท่านสกุลเสิ่น”
“บ้าบอ!!” ผู้เฒ่าที่อายุอานามก็น่าจะหกสิบปีไปแล้วคนนั้น จะดีกว่าท่านเติ้งได้อย่างไร
“โมโหใส่ข้าทำไม”
“ไม่อยากให้แต่งกับท่านเติ้ง แต่ให้ไปแต่งกับผู้เฒ่าเสิ่น เจ้าคิดอะไรของเจ้าอาอิน”
“ข้าไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนเลย แค่ท่านเสิ่นรับปากจะแต่งนางเป็นเมียเอก แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว”
ประมาณครึ่งเดือนก่อน ผู้เฒ่าเสิ่นได้มาซื้อซาลาเปาที่ร้าน และบังเอิญได้เจอไป๋ซินซินที่ออกจากครัวมาช่วยที่หน้าร้านพอดี
ตั้งแต่วันนั้นเขาก็มาที่ร้านบ่อย ๆ และจะถามหาไป๋ซินซินทุกครั้ง บ่งบอกให้รู้เลยว่าเขาถูกใจนางมาก
เมื่อรู้ว่าท่านเติ้งอยากสู่ขอไป๋ซินซินเป็นภรรยา ก็ทำให้ริษยาในวาสนาของนาง
ไป๋ซินซินจะได้ดีกว่าจูอ้ายเหม่ยได้อย่างไร
ต่อให้ท่านเติ้งจะพิการเดินไม่ได้ แต่เขาก็ยังเป็นบุรุษรูปงามและมั่งคั่งที่สุดในเทียนสิน คนที่ได้แต่งงานกับเขาก็ควรจะเป็นจูอ้ายเหม่ย
ส่วนไป๋ซินซินนั้นเหมาะสมกับผู้เฒ่าเสิ่นผู้มักมากที่สุดแล้ว
ดังนั้นเมื่อเจอกับผู้เฒ่าเสินในวันนี้ นางจึงได้ทำข้อตกลงบางอย่างกับเขา
คฤหาสน์สกุลเติ้ง
จูอ้ายเหม่ยถึงกับตะลึงตาค้างเมื่อเห็นบุรุษที่นั่งอยู่บนรถเข็น ถึงแม้เขาจะเป็นคนพิการ ถึงแม้เขาจะอยู่ในวัยที่เหมาะจะเป็นน้าเป็นอาของนางแล้ว แต่เขาก็มีใบหน้าและรูปร่างราวเทพบุตรอย่างที่มารดาบอกไว้ไม่ผิด
ใบหน้าที่ตกตะลึงเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มหวานส่งให้เขา รีบย่อกายคารวะอย่างชดช้อย
“อ้ายเหม่ยคารวะท่านเติ้งเจ้าค่ะ” เปล่งน้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลออกไป
เติ้งอี้เทียนมองนางเพียงเล็กน้อยแล้วหันไปมองอีกนาง
ไป๋ซินซินตกประหม่า ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเขา รู้สึกเหมือนเขาผู้นี้มีแสงแห่งความน่าเกรงขามแผ่ออกมาจากตัว
ที่สำคัญที่สุดคือนางเคยเจอเขามาแล้วครั้งหนึ่ง
“คารวะท่านเติ้ง ข้าน้อยไป๋ซินซินเจ้าค่ะ” เอ่ยวาจาฉะฉานแต่นอบน้อม ไม่ได้แสดงตัวว่าเคยเจอกันมาก่อน เพราะไม่อยากตอบคำถามของมารดา ไม่อยากสร้างความไม่พอใจต่ออ้ายเหม่ย
พวกนางทั้งสองเป็นพี่น้องแม่เดียวกัน แต่เมื่อยืนคู่กันแบบนี้กลับเห็นความแตกต่างราวฟ้าดิน
คนน้องโฉมงามล่มเมือง ใบหน้าแต่งแต้มไว้อย่างประณีตงดงาม เสื้อผ้าและเครื่องประดับล้วนเป็นของใหม่มีราคา
คนพี่แต่งหน้าและทาชาดเพียงบางเบา เสื้อผ้าราคาถูกเป็นแบบเรียบง่ายไม่ได้หวือหวา เครื่องประดับบนศีรษะมีเพียงปิ่นไม้กับผ้ามัดผมเส้นหนึ่ง.. แต่นางกลับงดงามดั่งหงส์ น่าทะนุถนอมกว่ามาก
“นั่งสิ”
ซูฮวาเดินเข้าไปรินน้ำชาให้ทุกคน เสร็จแล้วจึงถอยกลับไปยืนเยื้องทางด้านหลังรถเข็นของเจ้านาย
“นิ้วมือแบบเจ้าเหมาะกับการเล่นกู่ฉินนัก”
“อ้ายเหม่ยเล่นกู่ฉินเก่งมากเจ้าค่ะ ถ้าท่านเติ้งชอบฟัง โอกาสหน้าอ้ายเหม่ยจะเล่นให้ท่านฟังดีหรือไม่”
อี้เทียนอมยิ้มเล็กน้อย “แล้วเจ้าถนัดดนตรีชนิดไหน”
จูอินแอบแสยะยิ้มสะใจเมื่อได้ยินคำถามของเขา
“อาซิน ท่านเติ้งพูดกับเจ้าไม่ได้ยินหรือ”
ไป๋ซินซินตกใจกับรอยยิ้มและน้ำเสียงที่มารดามอบให้ เพราะเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ก็แทบสะดุ้งเมื่อถูกนางแอบบิดเนื้อเรียกสติ
“ข้าน้อยเล่นไม่เป็นสักอย่างเจ้าค่ะ” นางเล่นเป็นสิ นางทั้งรู้หนังสือและเล่นผีผาเป็นอย่างแตกฉานทีเดียว เพราะพี่ว่านแอบสอนให้นานแล้ว แต่ก็ต้องปกปิดเป็นความลับไม่ให้ที่บ้านรู้
นอกจากผีผาแล้วนางยังพอเล่นเครื่องดนตรีอื่นได้อีกหลายอย่าง
“ข้าละอายใจนักที่ทำให้ท่านเติ้งผิดหวัง ซินซินเป็นคนทึ่มทื่อหัวอ่อน ไม่ฉลาดเหมือนอ้ายเหม่ย ให้เรียนก็ยังไม่ได้เรื่อง ข้าเองก็จนปัญญาจะส่งเสริมนางแล้ว นางคงเกิดมาเพื่อนวดแป้งเท่านั้น” จูอินโกหกคำโต
“จริงเจ้าค่ะ” ไป๋ซินซินก้มหน้ายอมรับคำพูดปรักปรำของมารดาเมื่อถูกบิดเนื้ออีกครั้ง
นางข่มความเจ็บปวด เก็บซ่อนความน้อยใจไว้อย่างมิดชิด แต่ความอับอายกลับปกปิดเอาไว้ไม่ได้ ใบหน้าของนางในตอนนี้จึงแดงก่ำ และอยากจะลุกหนีไปจากตรงนี้ให้พ้น ๆ
“คนเรามีความชอบไม่เหมือนกัน เล่นดนตรีไม่เป็นก็น่าจะถนัดทำอย่างอื่น”
“ข้าน้อยถนัดทำซาลาเปากับเกี๊ยวมากที่สุดแล้วเจ้าค่ะ”
“เก่งเรื่องอาหารก็ดีจะได้ไม่อด หิวแล้วหรือยัง”
ไป๋ซินซินอึก ๆ อัก ๆ เมื่อถูกถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จึงหันไปมองมารดา
“ท่านแม่หิวหรือยังเจ้าคะ”
“ดูสิดู แค่ตอบคำถามของท่านเติ้งก็ยังไม่กล้า นางขลาดเขลาถึงเพียงนี้ ท่านจะไม่ให้แม่อย่างข้าทุกข์ใจได้อย่างไร”