อารัมภบท
ลมพัดเอื่อย ๆ เย็นสบายคละเคล้าไปกับกลิ่นหอมฟุ้งของดอกเข็มสีแดงสดที่ปลูกเอาไว้ตามความเชื่อว่าป้องกันสัมภเวสี ข้างกันคือต้นมะลิที่กำลังออกดอกสีขาวส่งกลิ่นหวานจาง ๆ ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ ได้ยินแค่เพียงเสียงร้องของแมลงตัวเล็ก ชายร่างสูงคนหนึ่งใส่เสื้อม่อฮ่อมสีน้ำเงินกางเกงขาก๊วยในท่านั่งขัดสมาธิอ่านหนังสือธรรมะอยู่บนแคร่ไม้ไผ่นอกตัวบ้าน
บ้านทรงไทยไม้สักสองชั้นที่ถูกสร้างท่ามกลางธรรมชาติ เบื้องหน้ามองเห็นวิวทิวทัศน์ของทิวเขาไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่มีกำแพงหรือรั้วบ้านจำกัดอาณาเขตทว่าถูกแทนที่ด้วยต้นมะยมสูงชะลูดเรียงรายขนาบทางเข้า
เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังเข้ามาใกล้ คล้ายกำลังมีคนมุ่งตรงเข้ามา ชายหนุ่ม วางหนังสือไว้ข้างกายราวกับล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
“ป้อครู จ้วยจิมจ้าว อิหล้ามันเป็นอะหยังก่อบ่าฮู้ (พ่อครู ช่วยด้วยค่ะ ลูกฉันมันเป็นอะไรก็ไม่รู้)” น้ำเสียงเหนื่อยหอบเอ่ยด้วยภาษาเหนือ สองแขนโอบอุ้มลูกน้อยที่ส่งเสียงร้องงอแงดังก้องไปทั่วบริเวณ
“มันเป็นจะใด (มันเป็นยังไง)”
“ฮ้องไห้มาตั้งแต่ตะวาเมื่อค่ำจนบ่าเดี่ยวนี่ก่อยังบ่าหยุดเลยจ้าว (ร้องไห้ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุดเลยค่ะ)” หญิงชาวบ้านเอ่ยทั้งพยายามปลอบประโลมลูกน้อยไปมา ทว่าไม่มีทีท่าว่าเสียงนั้นจะหยุดลง
“โอ๋ ๆ บ่าหล้า จะไปไห้ อยู่กับป้อครูแล้ว (โอ๋ ๆ ลูก อย่าร้อง อยู่กับพ่อครูแล้ว)”
พลัฏฐ์ แสงธรรมกุล คือนามที่รู้จักกันของพ่อครูวัยสามสิบสี่ปีหรือป้อครูที่ชาวบ้านเรียกขานในภาษาเหนือ ชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยอาคม มนตราและของขลัง ด้วยใบหน้าคมคร้าม คิ้วเรียวหนาดกดำ ดวงตาสีนิลกาฬเฉียบคมดุดันดั่งสมิง จมูกโด่งเป็นสันเข้ากับสันกรามที่เรียวรี หนวดเบาบางบนปากหนา และเคราคมเข้ม น่าเกรงขาม ต่างเป็นบุคคลที่ชาวบ้านเคารพนับถืออย่างท่วมท้น
“ป้อครูจ้วยลูกขะเจ้าโตยเน้อจ้าว (พ่อครูช่วยลูกฉันด้วยนะคะ)” คนถูกขอร้องพยักหน้าเป็นการตอบกลับก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้ ๆ
พลัฏฐ์ยื่นมือหนาเข้าไปแตะหน้าผากเด็กวัยทารกพลางหลับตา นึกนิมิตมองหาอะไรบางอย่างนานนับนาที จากนั้นค่อย ๆ ลืมตาก่อนจะเอ่ยตอบ
“โดนป้อเกิดแม่เกิดมันตั้ก ฮ้องขวัญก่อหาย (เด็กโดนพ่อเกิดแม่เกิดทัก เรียกขวัญกลับมาก็หาย)”
“ต้องยะหยังใดผ่องจ้าว (ต้องทำยังไงบ้างคะ)”
แวบหนึ่งที่ดวงตาสีนิลกาฬหันไปสบมองกับลูกศิษย์วัยรุ่นที่เข้ามายืนรออยู่ก่อน
“กองอินทร์ มึงไปเตรียมบายศรีให้กู กูจะฮ้องขวัญ”
“ครับพ่อครู”
บายศรีปากชามเล็ก ๆ ทำด้วยใบตองวางอยู่บนพานหนึ่งชั้นในขันเงินหรือ ‘สะหลุง’ มีข้าวปั้น กล้วยหนึ่งลูก ไข่ต้มหนึ่งฟอง ดอกไม้ธูปเทียนและด้ายขาวสำหรับผูกข้อมือวางอยู่รอบ ๆ กองอินทร์นำทางหญิงชาวบ้านและลูกน้อยขึ้นมายังชั้นสองเพื่อทำพิธี
ด้ายขาวถูกโยงไปมัดรอบศีรษะทั้งแม่และเด็ก มือจับขันสะหลุงบูชาและกลับมาตั้งพนมวางกลางอก พ่อครูเริ่มร่ายบริกรรมคาถาเพื่อเรียกขวัญกลับมาให้เด็กน้อย
“พนมมือและตั๋งจิดตั๋งใจ๋ (พนมมือและตั้งจิตตั้งใจ)”
“ขวันไปต๋กอยู่ตางใด ขอหื้อปิ๊กมาอยู่กับตั๋วละอ่อนน้อยคนนี้ (ขวัญไปตกอยู่ที่ไหน ขอให้กลับมาอยู่กับตัวเด็กน้อยคนนี้)”
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงร้องไห้ยังคงดังขึ้นเป็นระยะ บทสวดเรียกขวัญเป็นภาษากลางผสมภาษาเหนือถูกบริกรรมออกมาไม่ขาดช่วง พลางเอื้อมไปหยิบไข่ นำไปลูบที่มือน้อย ๆ แสนบอบบางก่อนจะเป่าลงบนกระหม่อมบางอย่างเชื่องช้า
ไม่นานเสียงร้องไห้เงียบลงทันควัน
“ป้อครู ขอบคุณแต้ ๆ จ้าว กี่บาทจ้าวพ่อครู” พลัฏฐ์ส่ายหน้า เขาไม่เคยช่วยเหลือเพื่อหวังเงินและทำเช่นนั้นมาตลอด
“อั้นเปลี่ยนเป็นบริจาคก่าน้ำก่าไฟได้ก่อจ้าว อยากจะจ้วยแต้ ๆ เนี่ย (งั้นเปลี่ยนเป็นบริจาคค่าน้ำค่าไฟได้ไหมคะ อยากจะช่วยจริง ๆ)”
“แล้วแต่จิตศรัทธา”
หญิงสาวชาวบ้านกลับไปพร้อมกับสีหน้าแสนดีใจ ส่วนพ่อครูกลับไปนั่ง อ่านหนังสือที่แคร่ตัวเดิม
สำนักนี้เปิดมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ ไม่ได้เปิดเพื่อหวังเงินหรือหวังกำไร ทว่าปฏิบัติตามคำสัญญาและสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ
‘จงใช้อาคม ไสยเวทในทางที่ถูกที่ควรและช่วยเหลือผู้คน อย่าให้อำนาจละโมบโลภมากบังตา เพราะสุดท้ายภัยจะย้อนกลับคืนสู่เจ้าตัว’
คำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับปู่ ไม่อาจตระบัดสัตย์ต่อคำพูดของตนได้
การนั่งบำเพ็ญเพียรสมาธิและอ่านหนังสือเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของพ่อครู ในขณะที่หลับตาเข้าฌานรับลมยามเย็น ท้องฟ้าพลันแปรปรวนก้อนเมฆดำมืดขมุกขมัว ดอกเข็มปลิวว่อนในอากาศ ต้นมะยมที่ว่าจะช่วยปกป้องจากภูตผีร้ายเอนไหวไปตามแรงลม
“พ่อครูเกิดขึ้นอะไรขึ้นครับ”
“ไม่มีอะไร”
สิ้นเสียงคำตอบมีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกึ่งจูงกึ่งลากไม่แน่ใจว่าหญิงหรือชาย แต่ร่างกายเล็กซูบผอมก้มหน้ามองพื้นค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ ๆ
“ฉันไหว้จ้ะพ่อครู นั่งสิ กูบอกให้มึงนั่ง” หญิงวัยกลางคนหันไปตวาดลูกชายทั้ง ๆ ที่มือยังพนมอยู่กลางอก
“นะ นั่งตรงไหนจ๊ะแม่ ม่านไม่เจอเก้าอี้” เด็กหนุ่มทำท่าควานหาอะไรบางอย่าง
“มึงก็หาสิอีม่านหมอก”
ตรงหน้าพ่อครู คือเด็กหนุ่มในวัยยี่สิบสองปีที่ผู้เป็นแม่เรียกชื่อว่าม่านหมอก พ่อครูจ้องมองอย่างพินิจ ก่อนสายหยุดจะบอกสภาพทางกายภาพของลูกชาย
“มันตาบอดจ้ะพ่อครู ภาระชะมัด รีบ ๆ หาที่นั่งลง จะยืนค้ำหัวพ่อครูอีกนานไหม บาปกินหัวเอานะมึง” สายหยุดพูดอย่างไม่สบอารมณ์ กลัวบาปกลัวกรรมมากกว่าลูกชายเจ็บช้ำน้ำใจ
“ม่านนั่งได้เหรอจ๊ะแม่”
“มึงจะนั่งตรงไหนก็นั่ง ตาบอดแบบมึงนั่งกลางถนนให้รถเหยียบตายยิ่งดี” คนโดนว่าหน้าสลด ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
“ป้าสายหยุด ทำไมพูดแบบนั้น”
“มึงอย่ามาเสือกกองอินทร์”
“เอาละ ๆ มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดกัน ป้าสายหยุดวันนี้มาทำอะไร”
พลัฏฐ์สัมผัสได้ถึงกลิ่นแปลก ๆ บางอย่างและแรงอาฆาตมาดร้ายจากเด็กหนุ่มตรงหน้า มันรุนแรงในคราแรกแต่ตอนนี้กลับเบาบางจนยากจะสัมผัส
“นี่ลูกชายฉันจ้ะ ชื่อม่านหมอก”
“อืม แล้วมีเหตุอันใด”
“ฉันอยากจะขายมันให้พ่อครูจ้ะ”