Episode-03เจ้าของชีวิต

1211 Words
เป็นการมาสอบที่เหมือนแบกโลกทั้งใบเอาไว้คนเดียวมากกว่า จะปริปากพูดกับใครก็ไม่ได้แม้แต่เพื่อนสนิทของฉันเอง “เขียนฟ้าแกเป็นอะไรหรือเปล่าวันนี้ซึมไปนะไม่ค่อยพูดเลย” แซนเอ่ยถามขณะที่ฉันกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย “เปล่าหรอก ฉันคงนอนน้อยไปมั้งเลยมึนนิดหน่อย” “เหลือสอบวิชาสุดท้ายแล้วพวกเราก็จะแยกย้ายกันไปเติบโตละนะ ใจหายเหมือนกันนะเนี่ย” “นั่นสินะ... ถ้าเราเติบโตไปด้วยกันได้ก็คงจะดี” สิ่งที่ฉันไขว่คว้าเอาไว้ได้ในตอนนี้มีเพียงวุฒิการศึกษามัธยมปลายเท่านั้นเอง จากที่เคยวาดฝันเอาไว้ว่าอยากเป็นแอร์โฮสเตสดูเหมือนจะไกลเกินเอื้อมเอามาก ๆ เลยค่ะ “นี่... ฉันถามอะไรหน่อยได้ไหม คือถ้าแกไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรนะเขียนฟ้า” “ว่ามาสิ” “ฉันเห็นหน้าบ้านแกติดป้ายประกาศขายน่ะ มันจริงหรือเปล่าที่เขาพูดกันว่าครอบครัวแกล้มละลาย” “อืม ตอนนี้ฉันไม่เหลืออะไรเลย” ฉันตอบไปตามความจริงไม่รู้จะปิดบังไปเพื่ออะไร “แล้วแกกับพ่อย้ายไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องแล้วแกเดือดร้อนขนาดนี้ทำไมถึงไม่บอกฉันบ้างเลย นี่เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่าเขียนฟ้า ถ้าฉันไม่รู้เองแกจะบอกฉันไหม” แซนโวยวายใส่ฉันยกใหญ่ เราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากค่ะ เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ปฐมโน่นแหละ “ขอบคุณนะที่เป็นห่วง แต่ฉันยังโอเค” แซนมักหยิบยื่นมือมาช่วยฉันเสมอ แต่ครั้งนี้มันเป็นเรื่องใหญ่มากจริง ๆ ใครก็ช่วยฉันไม่ได้หรอก “แล้วตอนนี้แกพักอยู่ที่ไหน” “ฉันไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน” ฉันตอบออกไปอย่างจนปัญญา ไม่รู้จะเริ่มยังไงเหมือนกัน “ใจเย็น ๆ ขอโทษที่ตะคอกใส่ฉันแค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง” แซนยังคงพยายามปลอบใจฉันแต่มันก็ยังไม่ได้ผลอยู่ดี หลังจากสอบวิชาสุดท้ายเสร็จมันก็ลากฉันมายังมุมตึก มันคือที่ประจำที่พวกเราชอบมานั่งพักกันนั่นเอง “เล่ามาเลยทั้งหมด ห้ามโกหกนะ” พลางชี้หน้าฉันอย่างคาดโทษ “พ่อฉันเอาบ้านไปจำนอง เอาทรัพย์สินของแม่ไปขายจนหมด ตอนนี้ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว” “พ่อแกทำธุรกิจอะไรหรือเปล่า บางทีอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเขาเลยจำเป็นต้องใช้เงินเยอะก็ได้” แซนพูดไปตามความคิด ฉันเองก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกันแต่พอเขาพาฉันมาส่งที่บ้านพี่เลย์ความคิดพวกนั้นมันหายไปจนหมด หนำซ้ำยังทำให้ฉันมองพ่อในแง่ลบอีกด้วย “ฮึก... ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้ชีวิตฉันไม่เหลืออะไรเลยแซน แถมยังต้องไปอยู่กับใครก็ไม่รู้” ฉันพูดทุกอย่างที่อัดอั้นในใจให้เพื่อนสนิทฟัง ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้แต่อย่างน้อยมีคนรับฟังก็ยังดี “มาอยู่กับฉันก็ได้นะ ว่าแต่แล้วพ่อแกล่ะ” ถึงกับจุกในอกเมื่อได้ยินคำถามนี้ พี่เลย์ย้ำกับฉันว่าพ่อไม่มีทางมารับฉันกลับไปอย่างแน่นอนซึ่งฉันเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมันคือความจริง พ่อไม่ใช่คนที่รักและหวังดีกับฉันอีกต่อไปแล้ว “เขียนฟ้าแกได้ยินที่ฉันพูดไหม” “ได้ยิน ขอบใจนะที่เป็นห่วง แต่ฉันอยู่ได้” “แกจะบ้าเหรอเขาเป็นเจ้าหนี้เชียวนะ อีกอย่างเอาอะไรไปไว้ใจไม่ทราบ แกมั่นใจได้ยังไงว่าเขาจะไม่ส่งแกไปขายเหมือนในนิยายน่ะ” “เขาทำได้ทุกอย่างแหละเพราะตอนนี้เขาเป็นเจ้าของชีวิตฉันไปแล้ว” “มันจะอะไรนักหนา! เงินจะเยอะสักแค่ไหนกันเชียวถึงขั้นต้องกักขังหน่วงเหนี่ยวกันแบบนี้” “ร้อยล้าน” “ระ ร้อยล้าน! นี่พ่อแกเอาเงินไปทำอะไรเนี่ย ตั้งร้อยล้านชาติไหนจะหามาคืนเขาได้” “ถึงได้บอกไงว่าตอนนี้เขากำลังเป็นเจ้าของชีวิตฉันอยู่” ฉันเลือกอะไรไม่ได้เลยจะหนีไปทางไหนมันก็มืดแปดด้านไปหมด ญาติพี่น้อง แม่ก็ไม่เคยกล่าวถึงให้รู้จักสักคน ไม่เคยรู้เรื่องอะไรทั้งนั้น จำความได้ก็มีแต่ญาติคนที่ฉันเรียกเขาว่าพ่อนี่แหละค่ะ อีกอย่างฉันเองไม่เคยสนใจผู้คนรอบข้างด้วย “แล้วนี่สอบเสร็จแกจะกลับยังไง” “เขาให้เบอร์มือถือไว้ ให้ฉันโทรไปแล้วเขาจะมารับ” “เหรอ... ทำไมง่ายจัง ดูใจดีเนอะ ฉันหมายถึงทำไมเขาต้องมารับมาส่งแกด้วยล่ะใจดีเกินไปไหม สถานะของแกเป็นลูกหนี้นะไม่ใช่สาวคนสนิทสักหน่อยหรือกลัวแกหนี?” “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” “มีอะไรรีบบอกฉันนะ ฉันพร้อมช่วยเสมอแต่ไอ้ร้อยล้านเนี่ยบอกตามตรงว่าไม่มีปัญญา” ฉันเองก็ไม่มีปัญญาเช่นกันค่ะ “อืม ขอบใจนะที่รับฟัง” “แล้วแกไม่กลัวเขาเหรอเขียนฟ้า เขาเป็นยังไงแก่หรือยัง เ*******ูหรือเปล่า หรือเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรง เอางี้ดีกว่าแกโทรหาเขาเลยฉันจะอยู่รอส่งแกขึ้นรถเองเพื่อความแน่ใจ” “เอาแบบนั้นเหรอ ฉันกลัวว่าจะทำให้แกเดือดร้อนเอาได้นะ” “ฉันไม่กลัว! โทรเลย” ได้ยินแบบนั้นฉันจึงหยิบเบอร์มือถือที่พี่เลย์ให้มาขึ้นมาดูมันมีสองเบอร์ค่ะเลขเหมือนกันแค่สลับตำแหน่งสองตัวท้ายเท่านั้นเอง “เบอร์นี้แล้วกัน” หลับตาจิ้มก่อนจะกดเบอร์โทรออกไปยังปลายสาย รอแค่ไม่นานเสียงเจ้าของเบอร์ก็ดังขึ้น (สวัสดีครับ) “เอ่อ... หนูสอบเสร็จแล้วค่ะ” (รออยู่นั่นแหละ) “ค่ะ” หลังจากสายตัดไป ฉันก็นั่งรออย่างใจจดใจจ่อโดยมีแซนอยู่เป็นเพื่อนตลอด ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงรถคันหรูก็จอดเทียบอยู่ตรงหน้า “คนนี้เหรอเขียนฟ้า” กระซิบเสียงแผ่วเบาฉันจึงพยักหน้าให้แทนคำตอบก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับพี่เลย์ แต่แปลกที่รถคันนี้มันเป็นสีดำจำได้ว่าคันเมื่อเช้ามันเป็นสีขาว ช่างเถอะ! รถที่บ้านมีตั้งหลายคันฉันจะสงสัยให้มากความไปทำไม “สวัสดีค่ะ” พลางยกมือไหว้เขาอย่างมีมารยาท “เร็ว ๆ เถอะฉันมีธุระต้องไปทำต่อ” หันไปโบกมือให้แซนก่อนจะปิดประตูรถ ระหว่างทางมันเงียบมากมีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกของคนข้าง ๆ เท่านั้น ฉันเองก็ไม่กล้าปริปากพูดอะไรทำให้บรรยากาศในรถอึดอัดขึ้นไปอีก ครืด... ครืด... “เออ” (...) “กูไปรับมาแล้ว” (...) “กูรู้แล้ว” เหลือบมองหน้าฉันแวบหนึ่งแล้วกดวางสายไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD