บทที่ 02
ฝากเลี้ยง [1]
“จะใช้เวลาคิดอีกนานไหม” ภูมิพัฒน์เอ่ยถามหลังจากเป็นฝ่ายหยิบยื่นข้อเสนอในการช่วยเหลือพลอยกะรัตและพ่อของเธอไปเมื่อครู่
“ทำไมฉันต้องตกลงตามเงื่อนไขที่คุณพูดมาด้วยคะ” เธอหันกลับมาย้อนถาม
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นโอกาสที่อาจทำให้เธอหาหลักฐานมาช่วยพ่อของเธอได้ก็จริง แต่ลึกๆ แล้วสิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็คือเขา ในเมื่อเขาเองก็เชื่อในหลักฐานพวกนั้นทั้งยังเป็นคนแจ้งตำรวจมาจับพ่อของเธอ แล้วจะให้เธอเชื่อใจเขาได้อย่างไรกัน
“ผมแค่เสนอ ไม่ได้บังคับ คุณจะรับหรือไม่รับก็แล้วแต่”
“แล้วฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณจะไม่ผิดคำพูด”
“ไม่มีอะไรแน่ใจได้ทั้งนั้น”
“นี่คุณ!”
“ไหนคุณบอกว่ายอมแลกได้ทุกอย่างเพื่ออิสรภาพของพ่อคุณยังไงล่ะ เทียบกับผมที่ยื่นมือเข้ามาช่วย ผมไม่เห็นว่าข้อเสนอที่ผมให้ไป มันจะมีอะไรที่คุณจะได้ไม่คุ้มเสียสักข้อ” ภูมิพัฒน์อธิบายอย่างใจเย็น แต่เธอก็ยังรู้สึกได้ถึงความเจ้าเล่ห์และไม่น่าไว้ใจอยู่ดี
“แล้วคุณไม่กลัวจะมีปัญหากับผู้ถือหุ้นแล้วเหรอคะ”
“ผมมีวิธีของผมก็แล้วกัน”
ใช้วิธีตัดบทเพราะเริ่มเหนื่อยที่จะต้องคอยอธิบายเหตุผลเพื่อโน้มน้าวเธอ
“แล้วพ่อฉันจะได้อิสรภาพวันนี้เลยหรือเปล่า”
น้ำเสียงของเธอเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน
แม้จะมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้วตั้งแต่แรกว่าจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อพ่อ แต่พอเขาหยิบยื่นข้อเสนอนั้นมาจริงๆ เธอก็อดไม่ได้ที่จะลังเล ไม่อยากไว้ใจเขา แต่ก็มองไม่เห็นทางเลือกอื่นแล้วเหมือนกัน
“ถ้าคุณยังมัวแต่คิดจนหมดเวลาราชการเสียก่อน ก็คงต้องรอยื่นประกันพรุ่งนี้”
“ฉันตกลงค่ะ”
ได้ยินแบบนั้นเธอจึงตอบออกไป เพราะสิ่งที่เธอทนไม่ได้ไม่ใช่การถูกคนอื่นดูถูกหรือการต้องอยู่แบบไร้ศักดิ์ศรี แต่คือการต้องมองพ่อของเธอผ่านตารางห้องขังมากกว่า
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจค่ะ แต่ฉันขอเจอพ่อก่อนสักครั้งได้ไหมคะ”
“ไม่ได้”
“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคุณทำตามที่บอก”
ภูมิพัฒน์ถอนหายใจเสียงดังพลางชำเลืองมองเธอด้วยหางตา ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาติดต่อใครสักคนที่เธอเองก็กำลังรอฟังอยู่
“จัดการเรื่องคุณเพชรกรุณให้ฉันที เรียบร้อยแล้วให้เขาติดต่อหาพลอยกะรัตด่วน”
พูดเพียงไม่กี่คำเขาก็กดวางสาย เธอที่นั่งฟังอยู่ด้วยกันได้แต่มองตาปริบๆ
“เรียบร้อย”
“คุณต้องโกหกฉันแน่ๆ” เธอมองเขาด้วยสายตาแบบที่แสดงความไม่เชื่อใจเขาออกมาอย่างเปิดเผย
“คุณรอดูเองก็แล้วกัน ส่งฉันกลับคอนโดเลย” ภูมิพัฒน์ไม่ได้สนใจสายตาหรือแม้แต่คำพูดของพลอยกะรัตเลยสักนิด มองเธอด้วยหางตาแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปสั่งคนขับรถให้วนรถกลับไปส่งที่คอนโดทันที
“เอ่อคือ...”
“อย่าลืมรักษาคำพูดของตัวเองด้วยพลอยกะรัต ผมไม่ใช่คนที่คุณจะมาพลิกลิ้นด้วยง่ายๆ”
เอ่ยปากเตือนเธอแกมขู่ก่อนจะแสร้งเมินหน้าหนีออกไปอีกทางเพราะรู้ดีกว่าอีกฝ่ายคงกำลังประหม่าอยู่ไม่น้อย แต่ไม่ว่าเธอจะตกปากรับข้อเสนอของเขาด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้เธอไปทำเรื่องเหลวไหลแบบที่พลั้งปากพูดออกมาแบบไม่คิดแน่ๆ
“ฉันขอกลับไปตั้งหลักสักคืนก่อนไม่ได้เหรอคะ”
นี่น่าจะนับเป็นไม่กี่ครั้งที่เขารู้สึกว่าน้ำเสียงของเธอน่าฟัง
“ผมว่าผมพูดเคลียร์ไปตั้งแต่แรกแล้วนะพลอยกะรัต”
“แต่ว่า...”
“ข้อตกลงของเราคือการแลกเปลี่ยนระหว่างอิสระของพ่อคุณกับอิสรภาพของคุณ ฉะนั้นในเมื่อพ่อของคุณได้รับอิสรภาพ คุณก็หมดสิทธิ์ที่จะเรียกร้องทุกอย่างแล้ว ก่อนจะตัดสินใจคุณเข้าใจคำว่าอิสรภาพดีแล้วหรือเปล่า”
“ฉัน...เข้าใจค่ะ”
“อย่างนั้นก็ไม่ต้องเสียเวลาต่อรอง แล้วอย่าลืมเรื่องดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้ผมด้วยล่ะ ผมรู้จักโปรไฟล์ของคุณดี รู้ว่าคุณยังสาวยังสวย แต่เรื่องอย่างว่ายังไงมันก็ต้องวัดกันที่ผลงาน ไม่ใช่ราคาคุย”
ทุกคำพูดที่ถูกเขาย้อนกลับมาบาดลึกลงในหัวใจของเธอ แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว เธอต้องตัดสินใจให้เร็วที่สุดเพื่อแลกกับอิสรภาพของพ่อ รวมถึงโอกาสที่เธอจะได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพ่อเธอด้วย
“ค่ะ” พลอยกะรัตตอบเพียงสั้นๆ ก่อนจะลอบกลืนน้ำลาย กล้ำกลืนอยู่ในอก เลือกที่จะหันหน้ามาอีกทางเพราะหลังจากนี้ไป เธอไม่มีอิสรภาพที่จะคิดหรือว่าพูดอะไรออกไปตามใจได้อีกแล้ว
ไม่นานคนขับรถของภูมิพัฒน์ก็จอดรถที่บริเวณลานจอดรถของคอนโดหรูที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ด้านหลังติดริมแม่น้ำ ถัดไปไม่ไกลมีสถานีรถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้าน่าจะอยู่เลยจากนั้นไปไม่มาก ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำให้พลอยกะรัตรู้สึกตื่นตาตื่นใจเลยสักนิด เพราะเธอเองก็คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและสังคมของคนร่ำคนรวยเป็นอย่างดี คงจะน่าแปลกใจมากกว่าหากว่าคนอย่างภูมิพัฒน์พาเธอไปที่ห้องเช่าหรืออะพาร์ตเมนต์เล็กๆ
“คุณยังไม่มีแฟนใช่ไหมคะ” พลอยกะรัตตัดสินใจถามอย่างตรงไปตรงมา เรียกสายตาประหลาดใจจากภูมิพัฒน์ให้หันกลับมามองระหว่างที่กำลังเดินนำเธอไปที่ลิฟต์
“ฉันก็แค่ถามดูน่ะค่ะ จะได้รู้ทางหนีทีไล่”
“คุณหนีให้ทันก็แล้วกัน” ภูมิพัฒน์แกล้งว่า
ความจริงแล้วเขายังโสดสนิท แม้แต่เวลานอนยังไม่ค่อยมี ก่อนหน้านี้เขาจึงไม่เคยคิดจะหาภาระมาเพิ่ม แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะตัดสินใจทำมันลงไปเมื่อครู่
ทว่าคิดได้ก็สายไปเสียแล้วเพราะเธอก้าวเท้าตามเขาต้อยๆ มองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
พลอยกะรัตนิ่งไปผิดหูผิดตา ภูมิพัฒน์สังเกตว่ามือของเธอจับอยู่ที่สายกระเป๋าแน่นทีเดียว สายตาหลุบมองลงต่ำตลอดเวลา ไม่มีความมั่นอกมั่นใจเหมือนเคย แม้ว่าเวลาพูดจาจะยังฉะฉานแต่น้ำเสียงกลับอ่อนลงจนเขารู้สึกได้ แถมยังมีหางเสียงกับเขาราวกับเป็นคนละคนกับพลอยกะรัตที่เถียงเขาฉอดๆ ในห้องทำงาน
“ผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง”
“ฉันไม่ได้กลัวค่ะ”
“แล้วทำไมคุณตัวสั่นขนาดนั้น”
“หนาวค่ะ”
ข้ออ้างสิ้นคิดดีเหมือนกัน บ่งบอกว่าเธอสูญเสียสมาธิไปพอ สมควรทั้งที่เขายังไม่ทันจะเข้าใกล้ เพราะจริงๆ คือตั้งใจที่จะรักษาระยะห่างเอาไว้ตั้งแต่แรก
“คุณทำแบบนี้ ไม่กลัวแฟนคุณจะเสียใจบ้างเหรอคะ”
ที่แท้เธอก็กำลังหาทางหนีทีไล่อยู่จริงๆ
“ถ้าคุณปากสว่าง นอกจากผมจะส่งพ่อของคุณกลับไปเข้าคุกแล้ว ผมยังจะเอาเรื่องคุณจนถึงที่สุดแน่นอน จำเอาไว้”
แกล้งขู่เสียเลย
“ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรแบบนั้นสักหน่อย แค่ไม่คิดว่าคุณจะกล้าทำเรื่องแบบนี้จริงๆ”
“ผมทำอะไร”
“ซ่อนผู้หญิงเอาไว้ในคอนโดทั้งที่มีแฟนอยู่แล้ว ถ้าฉันเป็นแฟนของคุณฉันคงเสียใจมากแน่ๆ” พลอยกะรัตแกล้งว่าพลางตีหน้าเศร้าลงนิดหน่อย ก่อนจะเดินตามเขาออกจากลิฟต์ไปกระทั่งถึงห้องพัก จากนั้นก็ก้าวช้าๆ ตามเขาเข้าไปในห้องเงียบๆ
“ผมฉลาดพอที่จะรู้ว่าผู้หญิงประเภทไหนควรคบหาด้วย”
เขาพูดเหมือนอยากจะขุดหลุมฝังเธอให้จมดินอย่างไรอย่างนั้น
พลอยกะรัตหน้าร้อนวูบ พยายามจะหลบเลี่ยงสายตาของเขามองไปทางอื่น ทว่าไม่ทันจะได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ เธอก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ๆ เขาก็เดินเข้ามาสวมกอดเธอเอาไว้จากทางด้านหลัง
สัญชาตญาณสั่งให้เธอดิ้นแล้วผลักออก แต่ทันทีที่ถูกวงแขนของเขารัดเอาไว้แน่นขึ้นเธอจึงได้สติแล้วรับรู้ได้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ขัดขืน
“แต่ถ้าคุณหัดทำตัวให้มันน่ารักเสียบ้าง ก็ไม่แน่ว่าบางทีผมอาจจะหน้ามืด”
เสียงกระซิบที่ข้างหูทำให้พลอยกะรัตขนลุกไปทั้งตัว ร่างกายของเธอสั่นเทิ้มทั้งที่เขาเพียงแค่สวมกอด เมื่อพูดจบเขาก็ผละตัวออกไปทิ้งให้เธอยืนนิ่งอยู่ที่ตรงนั้นราวกับถูกเขาร่ายคาถาตรึงร่างเอาไว้
“พลอยกะรัต”
“คะ”
“ผมหิวแล้ว คุณพอทำอาหารเป็นบ้างหรือเปล่า”
“ไม่เป็นค่ะ”
ตอบเสียงดังฟังชัดไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิดเลยสักเสี้ยววินาที
“ก็เป็นเสียแบบนี้แล้วผู้ชายที่ไหนจะเอาคุณทำเมีย”
“เวลาเอาทำเมียเขาไม่ได้ให้ทำกับข้าวนี่คะ นั่นเขาเรียกแม่ครัวต่างหาก” ยอกย้อนใส่เสียเลย พูดจบก็เดินหนีมานั่งที่โซฟาก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
“คุณอยากทานอะไรคะ”
“ถามทำไม” ภูมิพัฒน์ตอบด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์หลังจากที่หงุดหงิดเพราะถูกย้อน
“ฉันจะสั่งให้ค่ะ โทรศัพท์สมัยนี้เขามีแอปฯ สั่งอาหารนะคะ คุณเคยใช้หรือเปล่า”
“ผม...”
“คงไม่เคยสินะคะ ปกติเวลาอยากได้อะไรคุณก็แค่ออกคำสั่งกับผู้ช่วย นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าผู้ช่วยของคุณเป็นผู้ชาย ฉันคงคิดว่าคุณเอาผู้ช่วยทำเมีย” พลอยกะรัตถือโอกาสประชดใส่คำโตพร้อมกับที่เลื่อนหน้าจอกดสั่งอาหารที่เธออยากกิน
ภูมิพัฒน์ได้แต่มองตาขวาง นึกอย่างจะย้อนกลับสักหน่อยแต่ดูท่าจะเสียแรงเปล่าจึงทำได้แค่มองเขม่นแล้วเดินเลยเธอไปด้านใน ถอดเสื้อสูทออกจากร่างกายพลางทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทำงาน
อันที่จริงนี่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยด้วยซ้ำไป และถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ที่บริษัท แต่งานที่ค้างอยู่บนโต๊ะก็มีมากพอจะทำให้เขาสามารถเลิกสนใจหญิงสาวที่นั่งจิ้มโทรศัพท์อยู่ที่โซฟาได้ชั่วคราว
“บ้าจริง”
แต่เพียงไม่นานก็ได้ยินน้ำเสียงหงุดหงิดของเธอแว่วขึ้นมา
ภูมิพัฒน์ช้อนตามองแต่ยังไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร กำลังรอเวลาที่เธอจะเป็นฝ่ายบอกมาเอง
“คือว่า...”
“มีอะไร”
ได้ยินเสียงอึกอักของเธอบ่อยครั้งจนชักรำคาญ เขาคงไม่มีสมาธิพอที่จะทำงานต่อแน่ๆ ถ้าหากว่าเธอยังเอาแต่จิปากแล้วบ่นเป็นหมีกินผึ้งเหมือนกำลังถูกขัดใจจากอะไรบางอย่างอยู่แบบนี้
“ฉันสั่งอาหารไม่ได้ค่ะ”
“ทำไม แอปฯ สั่งอาหารที่คุณว่ามันใช้การไม่ได้หรือยังไง”
“คือว่าฉัน...” พลอยกะรัตนึกกระดากปาก ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยพูดคำนั้นมาก่อน
“มีอะไรก็พูดมาสิ ผมมีงานต้องทำ”
“ฉันเพิ่งนึกได้ว่าฉันเป็นลูกหนี้คุณ ฉันควรจะเก็บเงินไว้ใช้หนี้คุณดีกว่าเอามาเลี้ยงอาหารคุณ ฉะนั้นถ้าคุณอยากกินอะไรคุณก็สั่งผู้ช่วยคุณเอาเองก็แล้วกันนะคะ” พูดจบเธอก็หันหน้าหนีเขาออกมาอีกทางแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นจากโซฟา
ภูมิพัฒน์ถอนหายใจซ้ำอีกครั้งเมื่อได้ยินเหตุผลของเธอ แต่ไม่ได้คิดจะใส่ใจอะไร ก้มหน้าลงเพื่ออ่านเอกสารตรงหน้าต่อไปเงียบๆ มีจังหวะที่แอบช้อนตามองไปที่เธออยู่บ้างเป็นระยะๆ ซึ่งก็ยังคงเห็นว่าเธอเอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์ หน้าตาดูเอาจริงเอาจัง
“อย่าลืมที่ตกลงกันไว้ล่ะ ถ้าคุณผิดข้อตกลง ทุกอย่างที่ผมพูดไปจะถูกยกเลิกทันที”
“ค่ะ” เธอตอบกลับมาสั้นๆ แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะละสายตาออกจากโทรศัพท์อยู่ดี
“พลอยกะรัต”
“คะ”
“ผมไม่ได้ให้คุณมานอนเล่นโทรศัพท์เฉยๆ หรอกนะ”
คำเตือนของเขาทำให้เธอสะดุ้งเหมือนเพิ่งคิดได้ เขาเห็นเธอค่อยๆ วางโทรศัพท์มือถือในมือลงก่อนจะหันมามอง
“งานบ้านทำเป็นไหม”
“คือว่า...”
“อย่างน้อยๆ ถ้าผมเสียเงินซื้ออิสรภาพของคุณมา ผมว่าเวลาว่างทั้งหมดของคุณ มันควรจะเป็นประโยชน์กับผมนะ”
“แต่ฉันทำไม่เป็นนี่คะ”
“ก็หัดสิ เว้นเสียแต่ว่าคุณอยากให้ผมหาประโยชน์อย่างอื่นจากคุณตอนนี้เลย อย่าลืมว่าร่างกายของคุณผมก็ซื้อแล้ว”
“ฉันจะลองดูก็ได้ค่ะ”