ชะตากาลกิณี 1/2
“เสด็จพี่ เรามาพนันกันดีหรือไม่” บุรุษหนุ่มร่างสูงบนอาชาสีขาวปลอดหันไปพูดกับพระเชษฐาที่ควบขี่อาชาสีดำเดินเคียงข้าง หากแต่แทนที่จะจับจ้องใบหน้าของคู่สนทนา ดวงตาสีรัตติกาลมองลงต่ำยังจุดประสานของสองกาย
สตรีเพียงหนึ่งเดียวเม้มริมฝีปากแน่น เมื่อเจ้าของมันกำลังกลั้นเสียงน่าอายไว้อย่างสุดกำลัง ใบหน้างามซบลงกับ ซอกคออุ่นหลีกหนีความกระดากอาย เมื่อต้องร่วมรักกับ พระสวามีกลางป่าเขา ซ้ำยังเป็นบนหลังอาชาศึก แลมีสายตา อีกคู่มองมาไม่ลดละ
“ว่ามาสิ” น้ำเสียงไม่ยี่หระค่อนไปทางราบเรียบตอบกลับ ดวงตาเย็นชาสบกับพระอนุชาที่เงยขึ้นมามองเพียงชั่วครู่อย่างรู้ทัน
“ผู้ใดขี่ม้าไปถึงลำธารก่อนเป็นผู้ชนะ ขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง” ขณะพูดสายตายังคงจับจ้องกลีบผกาที่ถูกลำกายใหญ่โตบุกทะลวง ราวกับอีกคนจะรับรู้ ยกสะโพกกลมกลึงขึ้นสูงก่อนกดกระแทกลงอย่างแรงตามจังหวะการควบขี่ม้า ซึ่งถูกกระทุ้งให้ออกตัววิ่ง
เป็นการตอบรับคำท้า!!
“อ๊ะ…อ๊ะ…อึก…อ๊ะ” ลำลึงค์ผลุบเข้าออกกลีบบุปผารัวเร็ว นางไม่อาจกลั้นเสียงครางได้อีกต่อไป กายเล็กผวาวาบยามบังเ**ยนม้าถูกกระตุก สองแขนโอบรอบคออย่างแนบแน่น บดเบียดเต้าอวบเข้าหาอกแกร่งด้วยกลัวว่าจะตกลงไป สองกายเสียดสีตามแรงขยับขึ้นลงผ่านเนื้อผ้าบางเบาที่กั้นขวาง
แต่กลับเหมือนมิมีสิ่งใดขวางกั้น
เสียงครางต่ำในลำคอแว่วเข้าหู ทำให้รู้ว่ามิได้มีเพียงนางที่เสียดเสียวแทบทานทนไม่ไหว เขาเองก็กระสันซ่านจนควบคุมสีหน้านิ่งเรียบได้ยากเช่นกัน
อาชาศึกฮึกเหิมไม่ต่างจากผู้เป็นนาย ทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วพลางหลบหลีกกิ่งไม้ใบไม้ กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางเป็นครั้งคราวให้ร่างบางร้องเสียงหลง ยามลำลึงค์สอดลึกสุดความยาว หน้าท้องแบนราบแขม่วเกร็งเมื่อส่วนอ่อนไหวถูก เสียดสีหนัก พานรัดสิ่งที่แทรกอยู่ภายในแน่นยิ่งขึ้น
ยิ่งตอกอัดยิ่งขมิบแน่น
ยิ่งแทรกลึกยิ่งงอตัวด้วยความรู้สึกมากล้น
ใบหน้างดงามส่ายไปมากับลำคอหนา ปากอ้าค้างจนน้ำสีใสไหลยืดออกมา แม้อยากหุบลงมากเพียงใดทำได้เพียงอ้าไว้ระบายความเจ็บจุก และความเสียดเสียวที่แทรกลึกทุกอณูในร่าง
‘แทบขาดใจตายคาอกแกร่ง’ คำนี้คงนิยามความรู้สึกของนางในตอนนี้ได้กระมัง
เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย จากเคยวิ่งนำถูกอาชาสีขาวที่ตามติดไม่ห่างตีเสมอ ก่อนนำหน้าไปมิลืมหันมาสบตากับบุรุษซึ่งกำลังสุขสมอย่างสื่อความหมาย
ร่างหนาปลดปล่อยธารอุ่นร้อนเข้ากลีบผกาที่อ้าออกตามขนาดลำลึงค์ รองรับน้ำคาวขุ่นไว้จนหมดทุกหยาดหยดเมื่อกายแกร่งยังไม่ถอดถอน คล้ายอยากถูกความอ่อนนุ่มตอดกระตุกนานเท่าที่จะนานได้
“ท่านแพ้แล้ว” เมื่อมาถึงจุดหมายพบว่าอีกคนรออยู่ก่อนแล้ว ดวงตาวาววับยังคงจับจ้องสตรีท่าทางอ่อนแรงที่ซบอก พระเชษฐา ท่านั่งทับบนหน้าตักหันหน้าเข้าหากันขณะควบอาชาช่างเป็นภาพที่งดงามและหวาดเสียวในเวลาเดียวกัน
ลำคอแห้งผากจนต้องแลบลิ้นออกมาไล้เลียริมฝีปากอย่างกระหายหิว
“อยากได้สิ่งใดก็ว่ามา” องค์ชายสาม ‘หลิวหานเฟิง’ พูดกับพระอนุชาของตน ก่อนคำตอบที่คาดเดาไว้อยู่แล้วจะทำให้มุมปากได้รูปกระตุกยิ้ม ดวงตาเย็นชามีกระแสบางอย่างวาบผ่าน ต่างจากสตรีเพียงหนึ่งเดียวซึ่งเกร็งขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน ทำให้ ลำลึงค์ที่ยังคงมุดอยู่ในร่างถูกบีบรัดจนตื่นตัว กลับมาตั้งผงาดดังเดิม
“พระสนมของท่านอย่างไรเล่า” น้ำเสียงแหบพร่าเจือกระเส่ายามเอ่ยสิ่งที่ปรารถนา แทบจะทานทนมิไหวเมื่อภาพเสพสังวาสของคนทั้งคู่ปลุกอารมณ์กำหนัดแห่งบุรุษ ไม่ต่างอะไรจากการราดน้ำมันบนกองเพลิงให้ลุกโหม
“อ่า…ยังมิพออีกหรือ เช่นนั้นให้น้องชายข้าทำแทนเป็นอย่างไร” นี่ไม่ใช่ประโยคคำถาม และยิ่งมิต้องการคำตอบ หลิวหานเฟิงยกร่างบางขึ้นจากตัก กลีบดอกซึ่งโอบอุ้มลำลึงค์ไว้ค่อยๆ เคลื่อนที่ออกเชื่องช้า คล้ายว่าอีกคนจงใจทำเพื่อให้นางจดจำสัมผัสนี้ไว้
ความรู้สึกที่แท่งอุ่นร้อนเคลื่อนออกจากกลีบผกาแสนคุ้นเคย
หลิวหานเฟิงสบตากับ ‘หลิวหานตง’ ผู้เป็นพระอนุชา เขาแหวกชุดออก เผยให้เห็นลำลึงค์ที่ตั้งตรงราวกับกำลังชูคอออกมาสูดอากาศภายนอก ขนาดของสิ่งนั้นไม่น้อยไปกว่า พระเชษฐาเลย
หลิวหานตงรับสตรีร่างบางมาจากอีกคนที่ส่งให้อย่างทะนุถนอม ราวกับหวงแหนหนักหนา
ทั้งที่ความจริงมิใช่เลย เขาทำราวกับว่านางเป็นสิ่งของที่จะยกให้ใครเล่นสนุกได้ตามอำเภอใจ
นางกลั้นน้ำตาไว้ แม้ภายในแหลกสลายจนนับครั้ง ไม่ถ้วน แต่ไม่ว่ากี่ครั้งที่ถูกกระทำราวกับเป็นสตรีในหอนางโลม หัวใจที่คิดว่าควรจะด้านชากลับเจ็บปวดทุกครั้ง
‘อึก’ ร่างบอบบางถูกจับให้นั่งหันหลังอิงแอบอกแกร่ง เพียงชั่วครู่มือหนากดแผ่นหลังเอนราบลงไปกับแผงคอม้าสีขาวปลอด รั้งเอวบางให้แอ่นบั้นท้ายขาวนวลขึ้นเพื่อสอดแทรกบางสิ่งเข้าไปภายใน
บางสิ่งที่คุ้นเคยหากแต่แสนรังเกียจ เมื่อมันไม่ใช่ของ พระสวามีหากแต่เป็นบุรุษอื่น
“ดีเหลือเกิน” เสียงทุ้มต่ำเจือกระแสพอใจเอ่ยบอก พระเชษฐาที่ยังคงหยุดอาชานิ่งอยู่ด้านข้าง ดวงตาสีเข้มลึกล้ำยากจะคาดเดาอารมณ์ ทอดมองจุดเชื่อมต่อของสองกาย
ใบหน้างดงามเบนหนีไปอีกทาง เจ็บปวดเกินกว่าจะมองหน้าพระสวามี กอดแผงคอม้าสีขาวไว้ราวกับเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว ขณะกำลังถูกลำลึงค์ทะลวงเข้าออกรัวเร็วตั้งแต่แรกเริ่ม ราวกับผู้กระทำอดอยากปากแห้งมานาน
ทั้งที่เขาก็แวะเวียนมาร่วมรักกับนางอยู่บ่อยครั้ง
“1” ขณะที่ร่างโยกคลอนอย่างรุนแรง หัวสมองขาวโพลนไม่รับรู้สิ่งใด นอกจากความรู้สึกที่ทำให้วูบวาบไปทั่วท้องน้อย คล้ายว่าจะได้ยินเสียงหลิวหานเฟิงพูดบางสิ่ง
“2” เสียงทุ้มต่ำเข้มขึ้นอีกระดับเมื่อเริ่มนับถึงสอง มือกำบังเ**ยนม้าแน่นอย่างเตรียมพร้อม หลิวหานตงหันไปสบตากับพระเชษฐา
“3…ไป” ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะสั่นคลอนสอดรับท่อนเนื้อร้อน ดวงตาหงส์หลับลงอย่างยอมรับในชะตากรรม
เป็นของเล่นสองพี่น้องผู้สูงศักดิ์จนสลบไปยามใดมิอาจรับรู้