มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แม้เอกสารจะยืนยันชัดเจนว่าฉันกลายเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติมหาศาล แต่สมองฉันกลับไม่อาจประมวลผลความจริงนี้ได้
"ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ฉันไม่เข้าใจว่าเงินทั้งหมดนี้มาจากไหน แล้วฉันจะจัดการมันยังไง" ฉันพูดพลางถอนหายใจยาว
"พ่อของคุณเชื่อมั่นในตัวคุณว่าคุณจะหาทางจัดการมันได้ครับ" ทนายตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง
"แต่ทำไมต้องเป็นฉันล่ะคะ? ทำไมไม่ให้พี่ชายแทน? เขามีครอบครัวแล้ว ภรรยาของเขาก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม น่าจะเหมาะสมกว่าฉันตั้งเยอะ"
"คุณพูดเองนะครับว่าหมายถึงภรรยาของพี่ชาย ไม่ใช่ตัวเขาโดยตรง คุณพ่อของคุณอาจเห็นว่านั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านเคยพูดกับผมถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับลูกชาย และบอกว่าลูกชายของท่านชอบเลือกทางที่ง่ายเสมอ"
"ฟิลิโปอาจจะดูสบายๆ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่..."
"คำว่า 'สบายๆ' คงไม่ใช่คำที่ผมได้ยินจากคุณพ่อนะครับ แต่หน้าที่ของผมคือทำตามพินัยกรรม ไม่ใช่มาตัดสินใคร" ทนายกล่าวพลางยิ้มบางๆ
ฉันหลับตาลงแล้ววางมือบนหน้าท้อง ความคิดว้าวุ่นเริ่มสงบลงเล็กน้อย
"ถ้าพ่อเลือกแบบนั้น ฉันก็จะดูแลมันเอง แต่มีข้อแม้ข้อเดียวค่ะ"
"คุณผู้หญิงครับ คุณไม่สามารถตั้งเงื่อนไขอะไรได้ ทุกอย่างจะถูกโอนมาในชื่อของคุณ และคุณจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินนี้ทั้งหมด"
"แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตในบ้านของสามีก็คือ เงินไม่ใช่แค่อำนาจ แต่มันยังทำให้คุณกลายเป็นเป้าหมายของปัญหามากมาย ฉันไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันเกี่ยวข้องกับทรัพย์สมบัติพวกนี้ ฉันอยากอยู่ในเงามืด"
ทนายพยักหน้าเข้าใจ "เป็นคำขอที่ไม่ธรรมดา แต่ผมคิดว่าเราสามารถจัดการให้ได้ คุณไม่ต้องกังวลนะครับ"
"ขอบคุณค่ะ" ฉันพูดพลางส่งยิ้มจางๆ ก่อนที่ทนายจะขอตัวกลับ
เมื่ออยู่คนเดียว ฉันคิดถึงพี่ชาย เราไม่ได้คุยกันมาหลายปีแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เจอกันคือวันที่ฉันหมั้นกับน็อกซ์ วันเดียวกับที่รู้ว่าฟิลิโปแต่งงานกับผู้หญิงที่ร่ำรวย แต่เขาไม่เคยแนะนำเธอให้ครอบครัวรู้จัก ซึ่งตอนนั้นฉันก็รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน
"ลูกจ๋า..." ฉันพึมพำพร้อมกับลูบหน้าท้อง "คุณปู่ของหนูให้ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ไว้ให้หนูแล้วนะลูก แต่แม่อยากให้รู้ว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย แม่ไม่อยากให้เงินเปลี่ยนหนู หรือทำให้หนูเป็นเหมือนพ่อของหนูเลย"
พูดจบ น้ำตาก็เอ่อขึ้นมาทันที ฉันกลืนน้ำตาและสูดลมหายใจลึกๆ พยายามเรียกสติกลับมา มันไม่ใช่เวลาจะจมอยู่กับความเศร้า เพราะตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฉัน
เสียงกริ่งประตูดังขึ้น ฉันรีบไปเปิดประตู สิ่งแรกที่เห็นคือช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกจัดอย่างสวยงามจนกลิ่นหอมลอยฟุ้งไปทั่ว มันบังหน้าคนถือไว้จนฉันมองไม่เห็นว่าเป็นใคร
จนกระทั่งเขาขยับช่อดอกไม้ออก เผยให้เห็นรอยยิ้มอบอุ่นของเพื่อนรักที่ทำให้หัวใจฉันเริ่มรู้สึกเบาขึ้น...
"ดอกไม้สำหรับผู้หญิงคนสำคัญของ"
"นิโค..."
"หรือจะเป็นช็อกโกแลตดีล่ะ?" เขายิ้มพลางยกกล่องช็อกโกแลตโปรดของฉันในมืออีกข้าง "ผมว่าเจ้าตัวเล็กในท้องคงอนุมัติแล้วล่ะ"
ฉันยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะเชิญเขาเข้ามานั่งในบ้าน
------
หลายวันต่อมา ฉันเริ่มจัดการกับทุกอย่างในบ้านที่เคยเป็นของพ่อ ซึ่งมันให้ความรู้สึกแปลกใหม่และว่างเปล่าในเวลาเดียวกัน ลมที่พัดผ่านหน้าต่างเหมือนจะกระซิบเตือนให้ระลึกถึงคำสั่งเสียของพ่อว่า ฉันจะไม่มีวันโดดเดี่ยว
แต่ในตอนนั้น ฉันต้องการพ่อมากเหลือเกิน เพราะข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วเรื่องฉันกับสามีเก่าเริ่มหนักข้อขึ้นทุกที มีการบิดเบือนว่า ฉันเป็นฝ่ายนอกใจ และเขาจับได้จนต้องหย่ากัน
มันง่ายเหลือเกินสำหรับคนที่ไม่รู้อะไรเลยจะพูดถึงเรื่องนี้...
"บ้าสิ้นดี!" ฉันพูดพลางปิดทีวี รู้สึกเหมือนมีบางอย่างหนักอึ้งในอก พยายามกดกลั้นความโกรธเพราะรู้ว่ามันไม่ดีต่อฉัน โดยเฉพาะในสภาพนี้
แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ฉันรีบเดินไปเปิดโดยหวังว่าจะเป็นนิโค แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่เขา
"นิโค... อ้าว เธอ!?"
ดวงตาของฉันเบิกกว้างเมื่อเห็นเอเลน่า เธอเดินเข้ามาในบ้านอย่างไม่ขออนุญาต แถมยังแสดงท่าทีหยิ่งผยอง
"นี่เหรอบ้านที่เธออยู่? นึกว่าจะโทรมกว่านี้อีกนะ แต่ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่" เธอยิ้มเย้ย "สมกับเธอดี"
"เธอรู้ที่นี่ได้ยังไง? ใครบอกเธอ?" ฉันถามเสียงแข็ง
"เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ฉันมาที่นี่เพราะเรื่องเดียว และเธอคงเดาได้" เธอพูดพลางลูบท้องตัวเองอย่างจงใจ
"นี่คือทายาทเพียงคนเดียวที่แท้จริงของน็อกซ์และตระกูลคอฟเลอร์"
แม้จะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วจากปากนิโค แต่การได้เห็นด้วยตาตัวเองทำให้ใจฉันกระตุกวูบ
"ดูจากหน้าเธอแล้วคงรู้อยู่แล้วสินะ... ก็ดี จะได้ง่ายขึ้น เพราะจริงๆ แล้วเราไม่ได้ต่างกันเลย ใช่ไหม?"
"เธอพูดอะไร? อย่าเอาตัวเองมาเปรียบกับฉัน" ฉันตอบกลับอย่างเคร่งเครียด
"ฉันรู้ว่าเธอกำลังตั้งท้องลูกของเขา เพราะงั้นจะพูดตรงๆ เลย เธอต้องการเท่าไหร่ถึงจะเอาเด็กออก?"
ฉันอ้าปากค้างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
"ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้!" ฉันตะโกน
"ฉันเสนอเงินให้เธอมากกว่าที่เธอจะหาได้ทั้งชีวิต!"
"ออกไป!" เสียงของฉันดังขึ้นกว่าเดิมจนรู้สึกเจ็บท้อง
เอเลน่าก้าวถอยเล็กน้อยก่อนจะยิ้มเย้ยอีกครั้ง
"เธอจะเสียใจทีหลัง เชื่อฉันสิ ลูกของเธอจะไม่มีวันเป็นที่ยอมรับเพราะเด็กที่ฉันอุ้มท้องนี่แหละคือตัวจริง"
ฉันไม่ตอบอะไรนอกจากชี้ไปที่ประตูอย่างเด็ดขาด เอเลน่าหมุนตัวเดินออกไป ทิ้งความโกรธเคืองไว้ในหัวใจฉัน
ฉันแตะที่ท้องตัวเอง น้ำตาคลอเต็มดวงตา "แม่ขอโทษนะลูก... แม่ไม่น่าปล่อยให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย"
ฉันพยายามหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อควบคุมสติ เดินขึ้นไปที่ห้องนอนอย่างหมดแรง หวังเพียงจะได้พักและคิดถึงสิ่งที่ควรทำต่อไป
เมื่อฉันยืนอยู่หน้ากระจกในห้อง ภาพสะท้อนของตัวเองทำให้รู้สึกเหมือนกำลังดูคนแปลกหน้า ใบหน้าซีดเซียว ผมเผ้ารกรุงรัง
"ลูเซีย ลูเชลลี่" ฉันพูดกับตัวเองช้าๆ พลางมองเข้าไปในดวงตาตัวเองในกระจก "เธอคือคนที่ได้รับมรดกมหาศาล และแม้จะต้องผ่านอะไรมามากมาย เธอจะยืนหยัดเพื่ออนาคตของตัวเองและลูก"
"เมื่อเจ้าตัวเล็กเกิดมา หนูจะเห็นแม่เป็นคนที่แข็งแกร่งและไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค หนูจะได้ทุกอย่างที่แม่สร้างไว้ให้... แม่สัญญา"
-----
หลายเดือนผ่านไป
ฉันทุ่มเทเวลากับการจัดการมรดกที่พ่อทิ้งไว้ และยังลงทุนในบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์การแพทย์และห้องปฏิบัติการอีกด้วย ถึงแม้ว่าการทำธุรกิจจะไม่มีคำว่าการันตีความสำเร็จ แต่ฉันยินดีจะเสี่ยง เพราะเป้าหมายของฉันไม่ใช่แค่การเพิ่มพูนทรัพย์สมบัติ แต่ฉันอยากสร้างประโยชน์ให้สังคม ด้วยการสนับสนุนความก้าวหน้าด้านการวิจัย
จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉันไม่คุ้นเคย เพราะก่อนแต่งงาน ฉันเคยทำงานในสายนี้มาก่อน และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันได้พบกับน็อกซ์
เช้าวันหนึ่ง นิโคมาหาฉันเหมือนเคย แต่วันนี้เขามีสีหน้าหม่นหมองจนฉันสัมผัสได้
"นิโค ดีใจที่เจอ แต่... มีอะไรหรือเปล่า?" ฉันถามเขา
"ผมคิดว่าคุณอาจจะไม่อยากได้ยินข่าวนี้"
"ข่าวอะไรล่ะ?"
"เขาเกิดแล้ว..."
"ใคร?" ฉันถามอย่างงุนงง
"ลูกของน็อกซ์กับผู้หญิงคนนั้น"
ฉันนิ่งไปชั่วขณะก่อนตอบเบาๆ "ก็ดีสำหรับพวกเขา" แล้วฉันก็หันกลับไปทำงานตรงหน้าต่อ
"ลูเซีย คุณโอเคไหม?" นิโคถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
"ทำไมฉันต้องไม่โอเคล่ะ?"
"เพราะว่าเด็กคนนั้น..."
"เด็กคนนั้นไม่ใช่คนผิดอะไร" ฉันพูดโดยไม่ละสายตาจากหน้าจอ "เขาก็แค่เด็กบริสุทธิ์คนหนึ่ง อีกอย่าง น็อกซ์เพิ่งส่งทนายมาเมื่ออาทิตย์ก่อน เราหย่ากันเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวเขาคงเปิดตัวเอเลน่าในฐานะแม่ของลูกเร็วๆ นี้"
"แล้วคุณล่ะ? คุณไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ?"
"ฉันรู้สึกดีมาก ลูกในท้องของฉันก็สุขภาพแข็งแรง และฉันมีงานที่ทำให้ยุ่งจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น"
"แต่คุณรู้ใช่ไหมว่าคุณพึ่งพาผมได้เสมอ?"
"ฉันรู้ค่ะ และฉันซาบซึ้งมาก แต่คุณก็มีชีวิตของคุณเองนะ นิโค ฉันไม่อยากให้คุณต้องมาลำบากเพราะฉัน"
เราคุยกันอีกสักพักจนกระทั่งนิโคได้รับโทรศัพท์จากงานและต้องรีบกลับ หลังจากเขาไป ฉันนั่งคิดอะไรหลายอย่างในบ้านที่เงียบสงัด
"บ้านหลังนี้มันใหญ่เกินไปสำหรับฉันคนเดียว..." ฉันถอนหายใจเบาๆ ขณะเดินขึ้นบันได แต่แล้วฉันก็บอกตัวเอง "พอได้แล้ว! ฉันเคยสัญญาไว้ว่าจะไม่ร้องไห้อีก และฉันจะทำให้ได้ ฉันไม่ใช่คนแรกหรือคนสุดท้ายที่จะต้องเลี้ยงลูกคนเดียว ยังมีอะไรอีกมากที่ต้องทำ"
หลังจากประชุมเสร็จ ฉันได้รับโทรศัพท์ที่รอคอยมานาน หมอบอกว่าผลตรวจเพศลูกในท้องออกแล้ว
"เดี๋ยวฉันจะไปถึงค่ะ" ฉันรีบตอบและเรียกแท็กซี่ไปที่ที่ฉันวางแผนไว้
ชั่วโมงต่อมา ฉันเดินบนพื้นหญ้าสดใหม่ในสุสาน มือถือกล่องเค้กเล็กๆ ที่ถูกห่อไว้อย่างดี สีของข้างในกล่องจะเป็นคำตอบของฉัน
"พ่อคะ..." ฉันคุกเข่าลงวางกล่องเค้กไว้ตรงหน้าหลุมศพ น้ำเสียงสั่นเทา "หนูไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดี..."
สายลมที่พัดผ่านทำให้ดอกไม้ที่นำมาวางไว้ไหวไปมา ใบไม้จากต้นไม้ใกล้ๆ ปลิวลงมากระทบพื้นเบาๆ ขณะที่หัวใจฉันเต้นแรงจนรู้สึกได้
ฉันเปิดกล่อง และเมื่อเห็นสีด้านใน น้ำตาก็ไหลออกมา
"ลูกสาว... พ่อคะ ลูกของหนูเป็นผู้หญิง" ฉันพึมพำทั้งน้ำตา "พ่อได้หลานสาวนะคะ พ่อ..." ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้า "ลูกสาวของหนู..."
----
ฉันสาบานกับตัวเองมาตลอดว่าจะทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ไม่มีอะไรในโลกนี้จะมาหยุดฉันได้
ความพยายามและความมุ่งมั่นที่ทุ่มเทมาตลอดหลายปี ในที่สุดก็ให้ผลลัพธ์ที่ฉันเฝ้าฝันถึง วันนั้นหลังจากประชุมกับนักลงทุนเสร็จ ฉันได้ลงนามในเอกสารที่ทำให้ "ห้องปฏิบัติการในฝัน" กลายเป็นจริง
"สำเร็จแล้ว!" ฉันร้องออกมาอย่างดีใจทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้าน "ต้องรีบโทรบอกนิโคแล้ว ให้เขารู้ข่าวดีสุดๆ นี้"
แต่ก่อนที่ฉันจะกดโทรออก เสียงหัวเราะใสๆ ก็ดังมาจากอีกห้องหนึ่ง เสียงนั้นทำให้ใจฉันอบอุ่นขึ้นมาเหมือนกับว่าเป็นชิ้นส่วนสุดท้ายที่เติมเต็มวันพิเศษนี้ให้สมบูรณ์แบบ
"แม่คะ!" น้ำเสียงเล็กๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนที่ร่างน้อยๆ จะวิ่งพรวดเข้ามากอดฉัน ฉันหันไปมอง แล้วก็ได้เจอกับรอยยิ้มสดใสของลูกสาวแสนรัก
เพียงเท่านั้น... ในวินาทีนั้นเอง ฉันรู้ได้ทันทีว่า วันนี้ไม่ใช่แค่วันแห่งความสำเร็จ แต่เป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน...