เพราะเห็นขาเธอเริ่มแดง ขยับนิดหน่อยก็เจ็บเลยไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรมากไหม ไปให้หมอตรวจเช็กจะดีกว่า
พรีมลังเล จะโทรหาเพื่อน กว่าเพื่อนจะมาอย่างน้อย ๆ ก็ครึ่งชั่วโมง จะเรียกรถกลับก็เกิดความกลัวขึ้นมา ก่อนหน้านี้เธอมัวแต่เสียใจจึงไม่ได้สนใจเรื่องอื่น
“ไปก็ได้ค่ะ แต่เราคงปีนข้ามไปไม่ไหว”
“ไม่ใช่ปัญหา”
ชายหนุ่มยื่นแขนมาให้เธอจับ แม้จะลังเลบ้างแต่เธอก็ยอมจับในที่สุด เขาช่วยประคองให้ขยับไปใกล้กำแพง วาดขายาวก้าวข้ามไป
“โทษทีนะ” หันมาจับเอว ยกร่างบางลอยข้ามไปหาเขาอย่างง่ายดาย
การแนบชิดชั่วขณะนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลก ๆ เธอไม่ได้ไว้ใจเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ หากในสถานการณ์ตรงหน้าจำต้องรับความช่วยเหลือ เขาช่วยให้เธอขึ้นไปนั่งบนรถหรูราคาแพงก่อนจะพารถออกจากบริเวณนั้น เลี้ยวไปอีกทางที่เธอพอจำได้ว่าเป็นโรงพยาบาลของมหา’ลัย D นั่นเอง
ในยามกลางคืนแบบนี้ ไม่ค่อยมีผู้มาใช้บริการ พรีมจึงได้รับการตรวจรักษาทันที สรุปว่าข้อเท้าเธอแพลงจริง ๆ ต้องพักอย่างน้อยสามวัน
“เดี๋ยวเราไปส่ง”
“เราเรียกรถกลับเองดีกว่า” เธอเดาว่าเขาน่าจะอายุพอ ๆ กันจึงใช้คำแทนตัวง่าย ๆ อย่างเช่นที่เขาทำ
“ดึกแล้วรถหายาก ไปเถอะ ”
เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวถูกช้อนอุ้มจากหนุ่มแปลกหน้า ท่าทางสุภาพกับสีหน้าแววตาจริงจังทำให้เธอปฏิเสธไม่เต็มปาก
“ให้ไปส่งที่ไหน”
“เจซีอพาร์ตเมนต์”
อพาร์ตเมนต์ดังกล่าวอยู่แถวมหาวิทยาลัย K
“แล้วมาทำอะไรแถวนี้คนเดียว”
มหา’ลัย K อยู่ในละแวกเดียวกับมหา’ลัย D ก็จริง หากไม่ได้ใกล้กันมากมาย โซ่นึกแปลกใจที่เจอเธออยู่ตามลำพังตั้งแต่บนสะพานแล้ว
“มาหาแฟน” พรีมตอบไปตามความจริง แม้ว่าพอพูดออกไปจะทำให้ความเจ็บหน่วงรุมเร้าหัวใจขึ้นมาอีก
“อ้าว แล้วแฟนไปไหน เธอถึงอยู่คนเดียว”
“เลิกกันแล้ว”
“...”
“เพิ่งเลิกวันนี้”
“...”
“เราไปเจอเขากำลังเอากับผู้หญิง”
“เหี้ย!!” ชายหนุ่มหลุดสบถ ครั้นเห็นตาแดง ๆ ของคนนั่งข้างก็เสียงอ่อน “อ่า โทษที ๆ”
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนในกลุ่มเขา เราเคยเห็นหน้าประจำ”
โซ่นึกอยากก่นด่าไอ้ผู้ชายเฮงซวยพรรค์นั้น ถ้ามันรักสนุก มั่วไม่เลือกจะมีแฟนทำสากกะเบืออะไรวะ แล้วยังปล่อยให้แฟนออกมาเดิมท่อม ๆ ดึกดื่นจนบาดเจ็บอีก ถึงแถวนี้จะไม่เปลี่ยวก็เถอะ
คนข้างกายเริ่มสูดน้ำมูก เขาจึงหยิบกล่องทิชชูยื่นให้ เธออุบอิบขอบคุณ
“ถ้ามันเจ็บมากก็ร้องได้นะ เราไม่เอาไปเมาท์หรอก”
“อือ...ฮึก ฮึก...ฮือๆ”
พรีมไม่อยากร้อง หากไม่รู้อะไรทำให้เธอเก็บกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ยกมือกุมหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา เจ้าของรถทำตัวเงียบเชียบเสมือนว่าไม่ได้อยู่ในรถด้วย เขาไม่ได้ปลอบ หากก็ไม่ได้เอ่ยขัดหรือซ้ำเติม
เธอร้องไห้จนสร่างซาเหลือเพียงอาการสะอึกสะอื้นเป็นบางครั้ง ประจวบเหมาะกับเสียงมือถือของอีกฝ่ายดัง
เขาหันมามองเธอ เหมือนจะขออนุญาต ทั้งที่ไม่จำเป็น เพราะนี่มันรถของเขา
“ตาม...สบาย...”
ทันทีที่เขากดรับ เสียงจากปลายสายดังขึ้นในรถ เนื่องจากโซ่ต่อโฟนกับรถเอาไว้แบบอัตโนมัติ
[“มึงอยู่ไหน”]
“มึงมีไร กูอยู่ข้างนอก”
[“ทำเหี้ยไรอยู่วะ กูเข้าบ้านไม่ได้”]
“ทำไม”
[“ลืมกุญแจบ้านมั้ง หรือทำหายที่ไหนก็ไม่รู้ ถ้ารู้กูต้องโทรหามึงมั้ยไอ้สัส”]
“อ้าว ด่ากูเฉย มึงเสือกโง่เอง นอนหน้าบ้านไปเหอะ”
[“ไอ้โซ่ มึงอย่าลีลา กูกลับมาเอางาน เพื่อนกูรออยู่ให้ไว”]
“เรื่องของมึง กูมีธุระ”
[“พาธุระมึงมาด้วย ให้ไว ไม่งั้นกูฟ้องแม่ว่ามึงออกเที่ยวทุกคืน”]
“สัสเอ๊ย รอ!”
โซ่เสียงเข้มใส่คนในสาย ก่อนจะหันมาคุยกับคนที่ติดรถมาด้วย
“ขอแวะบ้านแป๊บนะ พี่เรามันลืมกุญแจบ้าน”
“เมื่อกี้พี่ชายเหรอ”
“อือ มันเรียนปีสี่วิศวะ ช่วงนี้กำลังทำโครงงานโปรเจคจบน่ะ บ้านเราอยู่ทางเดียวกับหอเธอนั่นแหละ”
“อื้อ ตามสบาย”
“ขอบใจมาก”
พรีมละสายตาจากใบหน้าเปื้อนยิ้มละไม จู่ ๆ ความรู้สึกเขินก็อาบไล้ผิวแก้ม หากไม่มัววุ่นวายกับเธอ ป่านนี้เขาคงถึงบ้านตั้งนานแล้ว
ใช้เวลาไม่นาน รถคันสวยปราดมาจอดหน้าบ้านสองชั้นหลังหนึ่งในโครงการที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก คนที่รออยู่พุ่งตัวออกมาจากบริเวณหน้าบ้านด้านใน เขาลดกระจกลง โยนกุญแจให้
“ฝากกุญแจไว้ป้อมให้กูด้วย”
“เออ แต้งไอ้น้องชาย”
“ทีงี้ทำเป็นพี่น้องนะไอ้สัส”
โซ่โยนคำใส่หน้าคนเป็นพี่ก่อนจะพารถออกเพราะขี้เกียจฟังคำด่าจากอีกฝ่าย ซึ่งมีมาแน่นอน
เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นทำให้คนมองอย่างพรีมนึกไปถึงพี่สาวทั้งสองของตัวเองเช่นกัน เธอกับ พลอยชนันท์ และ พัณณ์ชิตา สนิทสนมกันมาก พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง พี่สาวทั้งสองยังเห็นดีเห็นงามเรื่องที่เธอกับโปรดคบกัน หากว่าพี่ ๆ รู้ว่าเขาทำยังไงกับเธอ คงโกรธเกลียดถึงขั้นไม่เผาผีกันแน่
ใจหนึ่งอยากโทรไปปรับทุกข์กับพี่สาว อีกใจก็ไม่อยากให้ทั้งสองเป็นกังวลไปด้วย
“ทำไมเงียบ”
“เราไม่รู้จะคุยอะไร”
“นึกว่ากำลังตกใจที่เห็นเรากับพี่คุยกัน ผู้ชายอะนะ ฮาร์ดคอกันนิดหน่อย”
“ไม่ตกใจหรอก เราก็มีพี่เหมือนกัน พี่สาวสองคนน่ะ สนิทกันมากเหมือนกัน”
“ดี ๆ ไว้แนะนำให้เรารู้จักด้วยดิ”
“ไม่เอาหรอก พี่เราสวย เดี๋ยวนายจีบ”
“เป็นงั้นไป”
พรีมหัวเราะออกมาเบา ๆ รถกลับจอดลงหน้าหอพักของเธอแล้ว ช่วงเวลาที่ได้ต่อปากต่อคำกับเขาทำให้ลืมความเศร้าใจ จนอดคิดไม่ได้ว่า บางทีผู้ชายใจดีคนนี้คงชวนเธอคุยเพื่อให้ลืมเรื่องแย่
“เดินไหวไหม”
“ไหว เราแชตหาเพื่อนให้ลงมารับแล้ว นั่นไง” เธอบุ้ยหน้าไปตรงประตูตึก ซึ่งตอนนี้มีผู้หญิงสองคนเดินออกมา “ขอบคุณนายมากนะที่ช่วย”
“ไม่เป็นไร ไว้เจอกันใหม่”
หญิงสาวไม่ได้ตอบกลับ เพราะในใจคิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วเพราะเธอจะไม่ไปแถว มหา’ลัย D อีกแล้ว หรือหากวันหนึ่งจะเจอกัน บางทีต่างคนต่างอาจจะลืมหน้ากันไปแล้วก็ได้
โซ่มองตามร่างบางระหงกระทั่งเธอถูกเพื่อนประคองเข้าไปในตึกเขาถึงพารถเคลื่อนออก หวนนึกถึงเรื่องราวตลอดชั่วโมงที่ผ่านมาแล้วหัวเราะ
“นึกไปได้ไงวะว่าเธอเป็นผี”
ผีที่ไหนจะสวยน่ารักขนาดนี้ พลันนั้น ชายหนุ่มชะงัก ดวงตาคมกล้าขุนมัวเมื่อนึกถึง ไอ้หน้าตัวเมียแฟนเธอ มีแฟนสวยขนาดนี้ยังจะไปมั่วกับคนอื่นอีก