รสสุคนธ์สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะตัดสินใจเคาะประตูไม้หนาหลังจากลังเลมาหลายนาที เมื่อได้ยินเสียงตอบรับ หญิงสาวก็กลั้นใจก่อนจะผลักประตูเข้าไปช้าๆ เกรียงไกรที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานเงยหน้าขึ้นมอง แววตาเคร่งขรึมอ่อนโยนขึ้นทันทียามทอดมองบุตรสาวที่ค่อยๆ เดินมานั่งในฝั่งตรงข้ามกับเขา
“มีอะไรหรือเปล่าลูก”
“คือ...รสจะมาถามคุณพ่อค่ะว่าคุณพ่อกับอาอรรถคิดจะให้รสแต่งงานกับพี่คีหรือคะ”
เกรียงไกรวางปากกาก่อนจะประสานมือกันไว้บนโต๊ะด้วยท่าทีเป็นการเป็นงานมากขึ้น
“ผู้ชายคนนั้นบอกลูกสินะ” ชายวัยกลางคนถามกลับอย่างรู้ทันเมื่อนึกเดาได้และยิ่งมั่นใจมากขึ้นเมื่อเด็กสาวเลี่ยงจะตอบคำถามของเขา
“แสดงว่าจริงหรือคะคุณพ่อ” รสสุคนธ์ถามย้ำอย่างตกใจ “แต่...แต่...พี่คีเป็นคนรักของน้ำ น้ำเป็นเพื่อนของรส...”
“เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอกนะลูก” เกรียงไกรขัดขึ้นพร้อมกับ เอื้อมมือข้างหนึ่งไปกุมมือบุตรสาวเพื่อปัดเป่าความสับสนและความกระวนกระวายให้ “มันสำคัญแค่ที่ว่าลูกสาวของพ่อคิดยังไงกับพี่คีของลูกกันแน่”
“คุณพ่อ...” รสสุคนธ์ครางไม่กล้าสบตาบิดาอีกต่อไป หัวใจของเธอเต้นแรงเมื่อคาดไม่ถึงว่าจะมีใครรู้ความในใจเรื่องนี้
“อย่าคิดว่าพ่อไม่รู้นะ ที่อยู่ๆ ลูกของพ่อก็ลุกขึ้นมาใส่ใจตัวเองและพยายามสอบเข้าคณะบริหารทั้งๆ ที่เคยอยากเรียนอักษรนั้นมันเป็นเพราะใคร พ่อใส่ใจลูกเสมอนะรส” เกรียงไกรบีบมือบางที่เริ่มเย็นเฉียบขึ้นมา ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายเมื่ออีกฝ่ายค่อยๆ เงยหน้าสบตากับเขาอีกครั้ง “คิดดูดีๆ นะลูก ความสุขของลูกอยู่ในมือของลูกแล้ว ตอนนี้ก็อยู่ที่ลูกแล้วล่ะว่าจะเก็บมันไว้หรือจะยอมปล่อยมือไปทั้งที่มันอาจจะไม่มีโอกาสกลับมาอีกแล้วก็ตาม”
คนฟังเม้มปากแน่น ก่อนจะรับคำเบาๆ แล้วลุกขึ้นเดินจากมาซึ่ง ผู้สูงวัยกว่าก็ยอมปล่อยให้เธอได้มีโอกาสทบทวนหัวใจตัวเอง หญิงสาวปิดประตูห้องนอน ไตร่ตรองทุกอย่างช้าๆ ภาพความทรงจำในวันวานที่ไม่เคยพร่าเลือนเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง...
‘เป็นอะไรหรือเปล่า’ เสียงทุ้มต่ำน่าฟังดังขึ้นเหนือศีรษะก่อนจะมีมือยื่นแว่นตามาตรงหน้า รสสุคนธ์ที่ทรุดอยู่บนพื้นรับมาสวมไว้ทำให้เด็กสาวดูจืดชืดมากขึ้นก่อนเงยหน้ามองคนที่ช่วยตนแล้วต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นใบหน้าหมดจดของเขา
‘เด็กสมัยนี้แย่จริงๆ ชนคนก็ไม่ยอมขอโทษ ไม่รู้จะรีบอะไรนักหนา มา...ค่อยๆ ลุกนะ’ เสียงบ่นดังตามมาก่อนที่ฝ่ามือหนาแสนอบอุ่นจะช่วยประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืน อัคคีในชุดนักศึกษาพาเด็กสาวผ่านกลุ่มคนที่ยืนดูเหตุการณ์ไปนั่งพักตรงเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลก่อนจะช่วยรับหนังสือที่มีคนเก็บให้มาวางไว้บนโต๊ะข้างๆ เจ้าของ
‘มีอะไรหรือคะพี่คี’ ธาราที่เพิ่งออกจากห้องเรียนพิเศษและเห็นกลุ่มคนยืนอออยู่เดินเข้ามาทักด้วยความแปลกใจ
‘พอดีน้องคนนี้เขาโดนชนจนล้มค่ะน้ำ’ อัคคีหันไปตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนทำให้คนที่ลอบมองเขาอยู่ต้องมองตามสายตาและได้เห็นเด็กสาวที่เป็นเหมือนดาวของสถาบันแห่งนี้กำลังมองมาที่เธอ
‘ตายจริง แล้วนี่เป็นอะไรมากไหมจ๊ะ’ ธาราถามด้วยความห่วงใยก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วย่อตัวลงเพื่อสบตาด้วย รสสุคนธ์ก้มหน้าหนีก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ ไม่กล้าสู้สายตาวาวหวานที่ดูสดใสกว่าของเธอยิ่งนัก
‘มะ...ไม่เป็นไร’
‘เฮ้อ...งั้นก็โล่งอกไปที’ ธาราทอดเสียงอย่างสบายใจขึ้น อัคคีที่ยืนมองอยู่ลูบหัวของน้องน้อยด้วยความเอ็นดูก่อนจะเอ่ยชวน
‘ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะค่ะน้ำ เดี๋ยวอัณกับภูจะรอนาน’
‘ค่ะ พี่คี’ คนตัวเล็กตอบรับก่อนที่ชายหนุ่มจะเอื้อมมือมาช่วยถือของให้อีกฝ่าย ทั้งสองหันมายิ้มให้กับรสสุคนธ์อีกครั้งก่อนจะพากันเดินเคียงคู่กันไปและเรียกสายตาของหลายๆ คนให้มองตาม
‘พี่คนนั้นดูดีจังเนอะ แฟนของน้ำเหรอ’ เสียงเด็กสาวแถวนั้นสะกิดถามเพื่อน
‘พี่ชายของอัณไง เพื่อนสนิทของน้ำนั่นแหละ เห็นว่าเรียนอยู่บริหารมหา’ลัยดังเลยนะแก’ คนรู้ดีรีบเอ่ยเล่า รสสุคนธ์แอบฟังอย่างสนใจจึงได้เห็นว่าคนถามกำลังทำท่าเคลิ้มฝันอย่างเปิดเผย
‘จริงเหรอ เท่ห์จัง อยากมีพี่ชายหล่อๆ กับเขาบ้างเนอะ สงสัยต้องไปตีซี้กับอัณบ้างแล้ว’ เด็กสาวพูดต่ออย่างทีเล่นทีจริงจึงเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนของเธอ
‘เหอะ...พี่เขาคงจะสนแกหรอก ถ้าพี่เขาจะจีบใคร เขาจีบน้ำไม่ดีกว่าเหรอ ทั้งสวยทั้งเก่งขนาดนั้นแถมนิสัยก็ดี เขาจะไปมองคนอื่นโดยเฉพาะแกทำไม’
‘เชอะ ก็ไม่แน่หรอก’ คนถูกขัดตอบเสียงสะบัดก่อนจะพากันหัวเราะอย่างไม่จริงจังนักแล้วพากันเดินจากไป ในขณะที่รสสุคนธ์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม...
คณะบริหารหรือ...
...รสสุคนธ์ลูบใบหน้าของตนก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่กระจกบานใหญ่ภายในห้อง หญิงสาวสบตากับเงาในกระจก ภาพเด็กผมม้าใส่แว่นเฉิ่มเชยเกือบจะถูกเธอลืมเลือนไปแล้วเมื่อเป็นเธอเองที่พยายามหนีอดีตที่เคยเป็นคนไร้ตัวตนในวันนั้น เค้าหน้าที่เปลี่ยนไปแทบไม่ทิ้งร่องรอยว่า ครั้งหนึ่งเธอต้องแลกสิ่งเหล่านี้มากับความเจ็บปวดเพียงเพื่อหวังว่าวันหนึ่งเธอจะได้อยู่ในสายตาของเขา...ชายหนุ่มที่เธอปักใจตั้งแต่แรกเห็น ชายหนุ่ม...ที่เป็นดังรักแรกหนึ่งเดียวที่อยู่ในใจของเธอเสมอมา ชายหนุ่ม...ที่เป็นคนรักของเพื่อนสนิทคนแรกในชีวิตของเธอ...
‘โอ๊ย’ รสสุคนธ์ในชุดนักศึกษาน้องใหม่ต้องเสียหลักเมื่อถูกกลุ่มนักศึกษาหญิงกลุ่มหนึ่งเบียดชนจนล้ม หนึ่งในนั้นหันมามองพร้อมกับเหยียดยิ้ม รสสุคนธ์ตาวาวจำได้ดีว่าเป็นกลุ่มนักเรียนจากโรงเรียนเก่าของเธอที่เคยมีปัญหาด้วยและเป็นกลุ่มเดียวกับที่ชนเธอที่สถาบันเรียนพิเศษจึงค่อยๆ ลุกขึ้นเพื่อตั้งใจเอาคืน แต่ความเจ็บปวดที่ข้อเท้าก็ทำให้เธอแทบ
จะทรุดลงไปอีกครั้ง
‘เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ’ เสียงหวานคุ้นหูมาพร้อมกับการปรากฏตัวของธาราที่เข้ามาช่วยด้วยความห่วงใย
‘มีอะไรหรือเปล่า ทำไมต้องทำรุนแรงกันด้วย’ ธาราหันไปถามคู่กรณีของคนที่เธอช่วยไว้ คนที่ยืนด้านหน้าจึงเบนสายตามาที่เธอแทน
‘อย่ามายุ่งดีกว่า ยายนี่มันงูพิษ ถึงหน้าจะเปลี่ยน แต่นิสัย...ยังไงก็เหมือนเดิม’
‘แต่ที่นี่คือ สถานศึกษา ไม่ใช่ที่ๆ เราจะใช้กำลังกัน ถ้ามีอะไรค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันดีกว่านะ พวกเธอคงไม่อยากเข้าพบอาจารย์ด้วยเรื่องทะเลาะกันส่วนตัวตั้งแต่มาเรียนวันแรกใช่ไหม’ คนฟังหน้าซีดมองไปรอบๆ ที่เริ่มมีกลุ่มคนมายืนมองพวกตน บางส่วนก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาไว้ พวกเธอจึงสบตากันก่อนจะทิ้งสายตาไม่พอใจแล้วพากันเดินหนีไปทันที
‘เฮ้อ...’ ธาราถอนหายใจส่ายหน้าด้วยความระอาก่อนจะหันไปสบตาและยิ้มให้กับคนข้างกาย
‘ขอบใจมากนะ’ รสสุคนธ์เอ่ยกับหญิงสาวที่เธอเคยใช้เปรียบเทียบกับตัวเองอยู่บ่อยครั้ง คนฟังยิ้มรับทำท่าจะผละไป
‘ไม่เป็นไรหรอก เราไปก่อนนะ’
‘ดะ...เดี๋ยวก่อนสิ’ รสสุคนธ์คว้าแขนหญิงสาวไว้ท่าทีเงอะงะ ก่อนจะสูดลมหายใจแล้วส่งยิ้มกว้างด้วยท่าทางที่มั่นใจขึ้น ‘เราชื่อรสนะ’
ธาราที่หันกลับมามองอย่างแปลกใจระบายยิ้มอย่างอ่อนโยน
‘จ้ะรส...เราชื่อน้ำนะ’...
...รสสุคนธ์ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงด้วยความสับสน ริมฝีปากบางเม้มแน่น เข้าหากันอีกครั้งเมื่อหัวใจว้าวุ่นไปหมด
คนหนึ่งก็เพื่อน...อีกคนก็คนที่เธอรัก...
ถึงเวลาที่เธอต้องเลือกแล้วสินะ...