๕
ไม่ศรัทธา
อารัญกลับมาเยี่ยมมารดาเป็นครั้งที่สองหลังจากหย่าร้างกับประกายดาว เขาเห็นได้ชัดว่าท่านดูเหงาและชราภาพลงกว่าเก่า แม้ว่าลูกชายจะมาหาบ่อยขึ้นแต่เห็นชัดว่ามารดาจะไม่ได้ดีใจสักเท่าไรนัก
“แม่ครับ”
คนเป็นมารดาหันไปตามเสียงเรียกหลังจากนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่อย่างนั้น โดยข้างกายของท่านมีสาวใช้คนสนิทคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ
“ตาอาร์ม” มารดาเอ่ยเรียกบุตรชาย ดวงหน้าที่ปกคลุมด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาเจือยิ้มเพียงเล็กน้อย
ชายหนุ่มลอบผ่อนลมหายใจขณะก้าวเข้าไปนั่งข้างท่าน เวลานั้นสาวใช้คนสนิทก็ปลีกตัวออกไปอย่างรู้หน้าที่
“เป็นยังไงบ้างครับ”
คนที่นั่งมองหน้าลูกชายเพียงคนเดียวหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้ออกจากปากของอารัญ
“ก็ตามอัตภาพของคนแก่พิการ” ท่านตอบตามตรง น้ำเสียงเจือหัวเราะบางๆ ทำให้คนถามต้องจ้องมองเข้าไปในดวงตาของท่านอย่างค้นคว้า แต่ไม่พบความประชดประชันในแววตา เขาหลุบตาลงแวบหนึ่ง ความรู้สึกผิดโฉบเข้ามาในความคิด
“อย่าคิดแบบนั้นสิครับ” เขาเอ่ย พลางเงียบกันไปอีกครู่ ก่อนเอ่ย “อาทิตย์หน้าผมว่าง ไปต่างจังหวัดกับผมนะครับ ผมจะพาไปเปิดหูเปิดตา”
เขาบอกพร้อมรอยยิ้มเต็มดวงหน้า ทำให้คนเป็นมารดาต้องมองลูกชายอย่างค้นคว้าขึ้นมาบ้าง นานแค่ไหนแล้วที่ท่านกับลูกไม่ได้ท่องเที่ยวร่วมกัน อย่าว่าแต่เที่ยวด้วยกันเลย แค่จะหาโอกาสเจอหน้ายังยาก
“อย่าเลย แม่ไม่อยากรบกวนเวลางานของลูก”
คำตอบของมารดาทำให้ลูกชายเพียงคนเดียวสะอึกในอก เขาเริ่มทบทวนอีกครั้งว่าได้เผลอทอดทิ้งมารดาให้อยู่อย่างเงียบเหงามานานแค่ไหนแล้ว
ชายหนุ่มพยายามยิ้มตอบมารดาแล้วบอก
“ไม่เลยครับ เอาเป็นว่าแม่ไปกับผมนะ” เขากล่าว รอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนที่ท่านไม่เคยเห็นมานานกระจ่างบนใบหน้าคมคายหล่อเหลาของอารัญ
คุณอัญชันนิ่งงันไปหลายอึดใจ แล้วรอยยิ้มอ่อนโยนที่ดูจะสดใสกว่าทุกวันก็เบ่งบานบนใบหน้า
“ตามใจอาร์มแล้วกัน แม่ยังไงก็ได้”
คำตอบของท่านทำให้ลูกชายยิ้มได้อีกครั้ง เช่นเดียวกับมารดาที่รู้สึกเต็มตื้นและดีใจที่ลูกชายหันมาสนใจนางบ้าง แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวเศษเวลาของเขาก็ตาม
หลังจากปลีกตัวออกมาจากมารดา ชายหนุ่มก็มาหยุดยืนอยู่อีกห้องหนึ่ง ในอดีตเคยเป็นห้องส่วนตัวของเขา เมื่อแต่งงานเขายกมันให้กับประกายดาวได้ครอบครอง แล้วอัปเปหิตัวเองออกไปอยู่ข้างนอก ใช้ชีวิตสวนทางกับฐานะทางสังคม ดวงตาสีเข้มมองนิ่งไปยังกรอบภาพกรอบหนึ่ง เป็นภาพคู่หญิงชายอยู่ในชุดแต่งงาน เขาขมวดคิ้ว ไม่คิดว่ามันยังอยู่ตรงนี้ ที่เดิมของมัน ชายหนุ่มเดินไปหยุดและนั่งลงบนเตียง หยิบกรอบภาพบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาพินิจ
ใครเห็นก็คงต้องคิดว่าช่างอบอุ่น งดงาม แต่ในความเป็นจริงนั้นกลับตรงกันข้าม
เขาวางภาพนั้นลงตามเดิม ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะกำจัดทิ้งไปให้พ้นสายตา ก่อนจะเอนตัวลงนอนราบไปกับเตียงนอน มือทั้งสองข้างวางประสานบนท้อง
คิดถึงตัวเองและอดีตภรรยาในนามคนนั้น ย้อนไปไกล จำได้ว่าครั้งแรกที่พบว่าที่เมีย เจ้าหล่อนยังตัวกะเปี๊ยกเดียว เด็กน้อยแก้มแดงฉ่ำยุ้ยน่าฟัด พูดเก่งจนนึกเอ็นดู เขาเคยอุ้มหล่อนเดินเล่นไปตามชายหาดด้วยซ้ำ จากกันครานั้นก็ไม่ได้เจอกันนาน กระทั่งหล่อนเริ่มโตเป็นสาวเขาได้พบหล่อนตามงานเลี้ยงไม่กี่ครั้ง ต่างคนเพียงต่างมองกันอยู่ห่างๆ เขาแทบลืมหล่อนไปแล้วด้วยซ้ำ กระทั่งกลับมาจากต่างประเทศและได้พบกับครอบครัวของหล่อนหลายหน
ประกายดาวในวัยสาวสะพรั่งมีความน่ารักงดงามตามแบบของหล่อน ท่าทางเรียบร้อยไร้เดียงสาวางตัวดีทำให้เขาต้องเว้นระยะห่าง แม้หลายครั้งหล่อนทำให้เขาสนใจจนต้องแอบมองตาม แต่พอนึกถึงตัวเองก็คิดได้ว่าเขาไม่เหมาะกับหล่อน พอๆ กับที่หล่อนไม่เหมาะกับเขานั่นเอง เขาไม่ใช่พวกจะรักใครได้นานๆ หากเขาได้พบกับผู้หญิงดีๆ สักคนเขาจึงเลือกเว้นระยะห่าง และคบหาเพียงผิวเผิน เพราะไม่ต้องการให้ใครมาเสียใจเพราะเขา
วันที่ได้รู้ว่ามารดาเอ่ยขอประกายดาวให้มาเป็นภรรยา เขานิ่งงันไปอย่างตกใจ เมื่อได้สติจึงพยายามบอกมารดาว่าเขาไม่คิดเช่นนั้นกับหญิงสาว ทว่าท่านกลับทวงสัญญาที่เคยให้ไว้กับท่านหลังจากสูญเสียบิดา
มารดาให้อิสระในการใช้ชีวิตกับเขามาโดยตลอด แต่ขออย่างเดียวคือหากต้องแต่งงาน ท่านขอเป็นคนเลือกเจ้าสาว เวลานั้นเขาเองไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้นัก จึงรับปากท่านไปส่งเดช เพราะรู้จักตัวเองดีว่าคงไม่รักใครจริงจัง จะแต่งกับคนไหนคงไม่ต่างกัน
แต่เมื่อได้พบประกายดาวอีกครั้ง ความรู้สึกของเขาเวลานั้นช่างก้ำกึ่ง ทั้งยินดีที่ได้พบแต่ก็หวั่นใจไปพร้อมกัน
ประกายตาสดใสของเจ้าหล่อนเหมือนดาวที่ส่องแสงสุกสกาวยามค่ำคืน ดูอบอุ่น อ่อนโยน บอบบาง อ้อนแอ้น น่าทะนุถนอม ไร้เดียงสาและควรอยู่ในความปกป้องคุ้มครองของใครสักคนที่มีจิตใจมั่นคง มากกว่ามาอยู่ในมือของคนที่ไม่เคยให้คุณค่ากับคำว่ารักหรือแม้แต่คำว่าครอบครัว และสุดท้ายอาจถูกทิ้งขว้างในภายหลัง
เขาคิดว่าตนเองทำถูกแล้ว ที่บีบหล่อนด้วยวิธีนั้น หันหลังให้โดยไม่กลับมามองอีก เพราะรู้ดีกว่าใครว่าหากกลับมาอีกครั้ง สุดท้ายก็จะต้องลงเอยด้วยความเจ็บช้ำด้วยกันทั้งหมด
สักวันประกายดาวจะต้องเข้าใจความปรารถนาดีที่เขามีต่อหล่อน
ประกายดาวกลับมาถึงบ้านในเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาที หญิงสาวลงจากรถแล้วขมวดคิ้วนิ่วหน้า เพราะเห็นที่ด้านหน้ามุขมีรถยนต์ที่ไม่คุ้นจอดอยู่
สาวใช้เดินผ่านมาหญิงสาวจึงเรียกเข้ามาถาม
“พี่จี่ ใครมาหรือคะ”
สาวใช้ยิ้มตอบนายจ้างสาว ก่อนจะบอกออกไปเบาๆ พร้อมกับลอบชำเลืองไปด้วย
“เอ่อ คุณอัญชันค่ะ มาตั้งแต่บ่ายสามแล้ว”
คำตอบของสาวใช้ทำให้ประกายดาวนิ่งงัน เพราะไม่คิดว่าคุณอัญชันจะมาที่นี่
“ขอบใจจ้ะ” บอกกับสาวใช้แล้วเดินเข้าไปภายในห้องรับแขก ทันทีที่หญิงสาวเดินไปถึง ทั้งมารดาและคุณอัญชันก็หันมายิ้มให้ทันที
“สวัสดีค่ะ...คุณป้า” หญิงสาวเกือบเรียกท่านตามความเคยชินขณะเข้าไปนั่งข้างมารดา แต่พอนึกได้จึงเปลี่ยนสรรพนามเสียใหม่ “คุณป้ามาถึงตั้งแต่เมื่อไรคะ”
“มาถึงตั้งแต่บ่ายสามแล้วลูก” คุณอัญชันเอ่ยถามด้วยความรู้สึกรักใคร่เอ็นดู และรู้สึกเสียดายหญิงสาวตรงหน้าไม่คลาย ลูกชายของท่านมีตาแต่หามีแววไม่
คุณอัญชันคิด แต่ท่านไม่เคยล่วงรู้ว่าลูกชายของท่านนั้นมีความคิดที่ลึกซึ้งไปกว่านั้นหลายเท่านัก
“หนูสบายดีไหม”
“สบายดีค่ะ คุณป้าล่ะคะ” หญิงสาวยิ้มอ่อนหวาน ทั้งน้ำเสียงและสีหน้ายังคงเป็นประกายดาวคนเดิมที่ท่านรู้จักไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งคิดถึงวันวานก็ยิ่งให้ทดท้อใจยิ่งนัก โดยเฉพาะความเสียดายไม่ต้องพูดถึง มหาศาลเกินประมาณได้
“เรียกแม่เหมือนเดิมเถอะนะ”
คำพูดของคุณอัญชันทำให้หญิงสาวนิ่งงันไปอึดใจ
“ถึงแม้ตอนนี้หนูดาวจะไม่ได้อยู่ในฐานะลูกสะใภ้ของแม่อีกแล้ว แต่สำหรับแม่ หนูดาวคือลูกสาวเสมอ”