หลังจากที่หลงอวิ๋นพาฉันไปยังห้องลับกลางสวนหิมะ
ไม่ทันได้ซักไซ้ต่อ เขาก็ถูกเรียกตัวไปโดยด่วนจากใครบางคนในระดับ “ราชวงศ์” ที่ดูเคร่งขรึมกว่าอุณหภูมินอกวังอีก
ผลลัพธ์ก็คือ... ฉันถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวในวังที่มีประตูเยอะกว่าพรม เยอะพอจะทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในเกมเขาวงกตเวทมนตร์แบบไม่ตั้งใจ
และใช่ค่ะ — ฉันก็ยังคงเป็นฉัน
เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ ผู้มีคติประจำใจว่า “ความอยากรู้ไม่เคยฆ่าแมว...แต่ฆ่าฉันมาหลายรอบแล้ว”
ฉันเดินสำรวจโซนฝั่งใต้ของวัง ที่ดูเงียบกว่าปกติราวกับถูกลืม ผนังห้องที่นี่ไม่มีคริสตัลประดับ ไม่มีลายมังกร ไม่มีแม้แต่เสียงวิญญาณรับใช้ที่ปกติจะลอยไปลอยมาเหมือนนกฮัมมิ่งเบา ๆ
และนั่นแหละ...
สิ่งที่สะดุดตาฉันคือ ‘ประตูน้ำแข็งขุ่น ๆ’ ที่ดูผิดฝาผิดฝั่งอย่างแรง มันตั้งโดดเดี่ยวอยู่ท้ายโถงทางเดิน บานประตูทำจากน้ำแข็งขุ่นปนเงา ไม่มีด้ามจับ ไม่มีวงเวทเรืองแสง ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์สาดผ่าน
นอกจากนั้น...มันมีเพียงตราประทับเวทกลมจาง ๆ ล้อมรอบตัวอักษรโบราณ
ซึ่งเวทของหลงอวิ๋นที่ยังฝังอยู่ในหัว ทำให้ฉัน อ่านมันออก
“ห้ามเปิด — ด้วยเหตุผลที่เกินกว่าจะอธิบาย”
“...หา?”
ฉันขมวดคิ้ว หัวเอียงนิด ๆ แบบไม่ตั้งใจ (แต่ถ้ามีใครเห็นก็คงคิดว่าตั้งใจแหละ)
“เขียนมาขนาดนี้…ยิ่งอยากรู้น่ะสิ”
คำว่า “ห้าม” กับ “เหตุผลเกินอธิบาย”
สำหรับคนทั่วไป ประโยคว่า “ห้ามเข้า” คือสัญญาณแดงแจ๋ที่แปลว่า ‘อย่าเสือก’ แต่สำหรับ เอลาเรีย...? มันคือป้ายบอกว่า
‘เชิญสิค้า~ ก็เห็นอยู่เต็มสองลูกกะตา!’
ฉันก้าวเข้าไปใกล้ช้า ๆ
ลมหายใจกลายเป็นไอขาวราวกับประตูนั้นปล่อยไอเย็นออกมาต้อนรับ
พื้นน้ำแข็งใต้เท้าดูเปราะบางกว่าปกติ — บางเหมือนกระจกเงาที่อาจพาใครล่วงลงไปยัง ‘อะไรบางอย่าง’
ฉันยกมือขึ้น แต่ยังไม่กล้าแตะประตูตรง ๆ
เพราะแม้ความอยากรู้จนฉุดไม่อยู่...แต่ในอกกลับมีเสียงหนึ่งแผ่วเบา เสียงของเขา —
หลงอวิ๋น ที่เคยเตือนฉันด้วยสายตาเสมอว่า “บางสิ่งในวังนี้...ไม่ใช่ทุกคนควรได้เห็น”
ฉันลังเล แต่...เสียง ‘ตึก...ตึก...’ ของหัวใจที่เต้นแรง ดึงฉันกลับมาสู่ความอยากรู้อันเป็นนิรันดร์อีกครั้ง
“...แค่ดูใกล้ ๆ เองมั้ง ไม่ได้จะเปิดซะหน่อย”
ฉันพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พร้อมยื่นมือเข้าไปช้า ๆ นิ้วของฉันแตะแสงเวทตรงขอบประตูเบา ๆ
พรึ่บ—
วงเวทสั่นไหวแผ่ว ๆ ราวกับมัน รับรู้
“เฮ้ย!? ไม่ต้องตอบรับก็ได้มะ!!”
ฉันผงะถอย แต่ประตูยังคงปิดเงียบเหมือนเดิม — ไม่มีเสียงเปิด ไม่มีคำร่ายเวท
แค่...วงแหวนเวทจางลงไปนิดหนึ่ง และในเสี้ยววินาทีนั้น
ฉันคิดว่าฉันได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงสะท้อนเบา ๆ จากด้านหลังประตู เหมือน...เสียง “ลมหายใจ”
แผ่ว...แต่น่าหวาดหวั่น และไม่ใช่ของมนุษย์
ฉันเบิกตากว้าง...ขนลุกซู่ ตั้งแต่ต้นคอจรดส้นเท้า
…เอ๊ะ หรือฉันควรถอยกลับไปก่อน?
แต่ก่อนที่ฉันจะได้ก้าวถอย เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากปลายทางเดินด้านหลัง
ฉันหันขวับ—
และพบว่า…หลงอวิ๋นยืนอยู่ตรงนั้น เงาของเขายาวทาบบนพื้นน้ำแข็ง ดวงตาสีฟ้าของเขา...วันนี้ไม่ได้เป็นน้ำแข็งใสบริสุทธิ์เหมือนเคย มันมืดครึ้มและลึกเหมือนทะเลที่ไม่มีพื้น
ฉันก็รู้ว่า...งานเข้าแล้ว...
“เจ้าทำอะไรอยู่?” เสียงเขาทุ้มต่ำ
ฉันชะงัก รีบชักมือกลับ
“ขะ...ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันแค่เห็นประตูมันดูแปลก...”
“ประตูนี้...ไม่ใช่แค่แปลก” เขาเอ่ยเสียงเบา แต่เด็ดขาด
“แต่มัน ต้องห้าม”
เขาก้าวมาขวางระหว่างฉันกับประตู ลมหายใจของเขาดูหนักกว่าปกติเล็กน้อย
“อย่าเข้าใกล้ที่นี่อีก...”
“โดยเฉพาะตอนที่ข้าไม่อยู่”
“...ในนั้นมีอะไรเหรอคะ?” ฉันถามเบา ๆ
หลงอวิ๋นเงียบไปนาน ก่อนตอบเพียงว่า
“บางสิ่ง...ที่ไม่ควรถูกปลุกขึ้นมา”
“แม้แต่ข้า...ยังไม่กล้าเปิดมัน”
เขาหันหลังกลับให้ประตู สายตาจับจ้องมาที่ฉันนิ่ง ๆ ใบหน้าเรียบเฉยเหมือนเคย
แต่ แววตานั้นสั่นไหว ราวกับเขากำลังซ่อนความทรงจำบางอย่างที่หนักอึ้ง
“เอลาเรีย” เขาเรียกชื่อฉันเบา ๆ
“ถ้าเจ้าคิดจะอยู่ในวังนี้ต่อไป...จงจำไว้อย่างหนึ่ง”
“อย่าเชื่อทุกอย่างที่เห็น”
“และอย่าคิดว่า ‘ข้า’ ...ไม่มีด้านที่เจ้าควรกลัว”
คำพูดของเขาทำให้ใจฉันสะดุด ไม่ใช่เพราะความกลัว
แต่เพราะ...ในดวงตาสีฟ้าที่มืดลงนั้น ฉันเห็นอะไรบางอย่างที่คล้าย ความเจ็บปวดลึก ๆ มากกว่าความโกรธ
แล้วเขาก็หมุนตัวกลับ ร่ายวงเวทผนึกขึ้นอีกชั้นที่ซับซ้อนยิ่งกว่าครั้งแรก ก่อนจะพาฉันเดินจากจุดนั้นมาโดยไม่พูดอะไรอีก...
แต่หัวใจของฉัน...ยังคงย้อนกลับไปที่ประตูบานนั้น และดวงตาของเขา...ที่วันนี้ไม่ใช่แค่เย็นชา แต่เต็มไปด้วย ความกลัว ที่ถูกปิดซ่อนไว้หลังหิมะพันปี
⋆꙳•❅*°⋆❆.ೃ࿔*:・*❆ ₊⋆
หลงอวิ๋นเดินนำฉันออกจากโซนด้านในอย่างเงียบเชียบ เสียงฝีเท้าของเรากระทบพื้นผลึกน้ำแข็งแผ่วเบา แต่ชัดเจนในความเงียบของวัง
เมื่อผ่านประตูคู่ใหญ่เข้าสู่โถงนอกวัง
อากาศพลันเย็นจัดขึ้นทันที — หนาวเย็นแบบที่แทรกซึมเข้าไปถึงกระดูก
ฉันกอดตัวเองแน่น สะบัดไหล่เล็กน้อยโดยไม่ทันได้พูดอะไร
แต่แล้วจู่ ๆ หลงอวิ๋นก็หยุด เขาขยับตัวเล็กน้อย ถอดเสื้อคลุมตัวยาวสีขาวเงินของเขาออกอย่างนุ่มนวล
ก่อนจะคลุมลงบนบ่าของฉัน... เบาและระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าฉันจะละลายไปกับสายลม
“แม้ตอนนี้ ที่นี่จะเป็นฤดูร้อน... แต่ด้านนอกวัง อากาศยังคงหนาวเย็นเสมอ”
“ข้าไม่อยากให้เจ้าหนาว”
มือของเขาเย็น แต่เนื้อผ้าของเสื้อคลุมนั้นอุ่นผิดคาด มีกลิ่นไอเย็นหอมสะอาดของหิมะ และกลิ่นซีดาร์อ่อน ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา
หลงอวิ๋นยื่นแขนให้ฉัน...ด้วยกิริยาสง่างามในแบบของราชวงศ์โบราณ และแน่นอน...ฉันจับแขนนั้นไว้ แม้หัวใจจะเต้นแรงกว่าอุณหภูมิภายนอกมากก็ตาม
“วังเทียนหลงสร้างขึ้นจากน้ำแข็งโบราณที่ไม่มีวันละลาย”
“และหินผลึกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ทุกส่วนของวัง...มีตำนานและความหมายเฉพาะตัว”
เสียงของเขาทุ้มนุ่ม...คล้ายกำลังเล่าเรื่องราวจากยุคที่ฉันไม่มีวันเข้าใจ แต่ฉันกลับรู้สึกว่า...เขากำลังเปิดโลกของเขาให้ฉันทีละน้อย
ก่อนที่เราจะเดินต่อ เขาหยุดกะทันหัน แล้วหันกลับมามองฉันด้วยสายตาจริงจัง
“เอลาเรีย...”
“วังนี้มีทั้งมิตรและศัตรู”
“ข้า...ไม่อาจอยู่เคียงเจ้าได้ทุกนาที”
“จงระวังคำพูด การกระทำ และจงสวมสิ่งนี้ไว้เสมอ”
เขาหยิบกำไลสีเงินวาวออกมา มีจี้รูปเกล็ดหิมะแกะสลักละเอียดประณีต ห้อยแกว่งเบา ๆ ตามแรงลม
เขาสวมมันให้ฉันด้วยมือนิ่งเยือกเย็น ปลายนิ้วสัมผัสข้อมือของฉันเบา ๆ จนหัวใจฉันพลันเต้นผิดจังหวะ
ทันทีที่กำไลแตะผิวหนัง — เกล็ดหิมะจิ๋วบนจี้ก็เรืองแสงฟ้าอ่อนขึ้นมา
“หากเจ้าตกอยู่ในอันตราย...เพียงแตะมัน”
“ไม่ว่าอยู่ที่ใด ข้าจะรู้...และจะมา”
“นี่คือ...?” ฉันมองกำไลในมือ
“ตราประทับขององค์ชายที่สาม” เขาตอบเรียบ ๆ
“มันแสดงว่าเจ้าคือผู้ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของข้า ใครที่กล้าทำร้ายเจ้า...จะต้องเผชิญกับราชันมังกรโดยตรง”
ฉันนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ขอบคุณค่ะ”
เขาไม่ตอบ แต่แค่พยักหน้าเล็กน้อย...อย่างที่เขามักทำเสมอ เวลารู้สึกมากกว่าที่เขายอมแสดงออก
เราเดินต่อไป ผ่านแนวพุ่มน้ำแข็งที่สูงตระหง่านจนแสงแดดแทบลอดผ่านไม่ได้
จนกระทั่ง...
ทัศนียภาพตรงหน้าก็เผยออก
ฉันตะลึงจนต้องหยุดเท้า
“...นี่มัน...”
“สวนน้ำแข็งบริสุทธิ์”
ดินแดนอีกโลกที่งดงามเหนือจินตนาการ
ต้นไม้น้ำแข็งสูงใหญ่กิ่งก้านโปร่งแสง ทอแสงระยิบระยับราวผลึกดาว
ดอกไม้น้ำแข็งหลากสี บานสะพรั่งอยู่สองข้างทางเดิน ลมเย็นหอบเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายไวโอเล็ตและมินต์มาปะทะปลายจมูก
ตรงกลางสวนคือ สระน้ำแข็งใสสะท้อนแสงฟ้า
มีปลาสีทองว่ายวนอยู่ข้างใต้ผิวน้ำ
น้ำพุน้ำแข็งพุ่งสูงเป็นเกลียว ก่อนแข็งตัวกลางอากาศ กลายเป็นประติมากรรมธรรมชาติที่ไม่มีใครปั้นได้
เราหยุดยืนใต้ซุ้มดอกไม้โค้งที่ปลายทางเดิน
หลงอวิ๋นเด็ดดอกไม้สีฟ้าอ่อนดอกหนึ่ง — ดอกไม้นั้นไม่ละลายแม้เขาจะถือมันไว้ในมือ
“ดอกไม้นี้ชื่อ... ‘หยกหิมะ’ ”
“มีเฉพาะในสวนนี้เท่านั้น มันบานปีละครั้ง...ในคืนเดือนเพ็ญหยางหิมะ”
“กลิ่นของมันสามารถรักษาโรคร้าย และฟื้นฟูพลังชีวิตได้”
เขาค่อย ๆ สอดดอกไม้นั้นไว้ที่ผมของฉัน นิ้วของเขาแตะข้างหูฉันอย่างเบา ๆ ราวกับฉันคือสิ่งเปราะบาง
“...ดอกไม้นี้ เข้ากับเจ้ามาก”
ฉันนิ่งไป หัวใจเต้นโครมครามจนแทบกลบเสียงหิมะตก ความเย็นที่เคยว่างเปล่าในอากาศ…เปลี่ยนไป กลายเป็นบางอย่างที่อ่อนโยน นุ่มนวล และอุ่นในแบบที่น้ำแข็งไม่ควรมี
เขาพาฉันเดินต่อจนถึงศาลาริมสระน้ำ สร้างจากหินอ่อนสีขาว ผสมแก้วผลึกและน้ำแข็งใส มีม้านั่งยาววางอยู่ข้างใน รายล้อมด้วยแสงสะท้อนจากผิวน้ำ
“ที่นี่สวยมากเลยค่ะ…”
“ข้ามักมาใช้เวลาที่นี่ตอนวิกาล ฝึกควบคุมเวทหิมะ”
“ไม่มีใครเคยเข้ามาที่นี่...นอกจากข้า”
“เจ้า...คือคนแรก”
ฉันหันไปมองเขาช้า ๆ ละอองน้ำแข็งบาง ๆ ลอยวนรอบตัวเราทั้งคู่ กระทบกับแสงแดดบ่ายจนกลายเป็นประกายคล้ายเกล็ดดาวระยิบระยับ
ฉันไม่พูดอะไร เพราะรู้ดีว่า...แค่นี้ ก็เกินกว่าคำพูดจะอธิบายได้แล้ว
⋆꙳•❅*°⋆❆.ೃ࿔*:・*❆ ₊⋆