บทที่ 7 ความเครียดถาโถม

3900 Words
“เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จละใช่ปะ” เสียงกานต์เอ่ยถามเอ็มหลังเดินออกมาจากเต็นท์เปลี่ยนเสื้อผ้า “ครับ แต่กระเป๋าผมอยู่ในห้องแต่งหน้าอะครับ” “เดี๋ยวพี่ไปเอาให้ รอแป๊บนะ” กานต์พูดจบก็เดินหายเข้าไปในห้องแต่งหน้าที่อยู่ใกล้ๆ กัน ไม่นานก็เดินออกมาพร้อมกระเป๋าสะพายใบโปรดที่เอ็มมักหิ้วไปที่สตูดิโอตอนเรียนเป็นประจำ “ขอบคุณครับ” “ไป เสร็จแล้วก็กลับกันเถอะ” กานต์เดินนำหน้าเอ็มออกไปก่อนจะหันมากระซิบข้างหูของเอ็ม “อย่าลืมลาพี่ๆ ทีมงานทุกคนด้วยล่ะ” “ครับผม” เอ็มเอ่ยตอบเสียงเบาก่อนจะหันไปมองหาว่ามีทีมงานอยู่ตรงไหนบ้าง เขายกมือไหว้แล้วบอกว่ากลับแล้วนะครับรัวๆ ไม่ว่าใครจะอยู่ตำแหน่งไหนเอ็มก็ทักทายด้วยน้ำเสียงแจ่มใสแถมยังแจกรอยยิ้มสวยให้แบบไม่มีลำเลียง ตั้งแต่ลูกค้า ผู้กำกับ ไปจนแม่ๆ ที่อยู่ฝ่ายสวัสดิการ ช่างไฟ ช่างกล้อง ทุกคน แบบไม่มีขาดตกบกพร่อง เพราะอาโปกำชับมาเป็นอย่างดี กานต์ขับรถพาเอ็มออกจากสถานที่ถ่ายแบบโฆษณาเพื่อที่จะพาไปส่งที่บ้าน ทันทีที่เอ็มกระโดดขึ้นมานั่งเบาะฝั่งด้านข้างคนขับเขาก็โยนกระเป๋าของตัวเองไปไว้เบาะหลัง แล้วเอนตัวพิงเบาะก่อนจะหลับตาทันทีด้วยความเหนื่อย “อย่าลืมคาดเข็มขัด” กานต์เอ่ยเตือนก่อนออกรถ เอ็มลืมตาขึ้นแล้วเอื้อมมือไปคว้าเข็มขัดนิรภัยมาคาดตามคำสั่ง “จะแวะหาไรกินก่อนมั้ย” กานต์ถามเพราะนี่ก็เลยเวลาข้าวเย็นมาพักใหญ่แล้ว “แล้วแต่พี่เลยครับ” “หิวมั้ยล่ะ” “หิวแต่คงกินไม่ลงอะพี่ มันเหนื่อย” เอ็มตอบพลางยืดแขนบิดขี้เกียจ “งั้นกลับบ้านเลยนะ” “ครับ” กานต์ขับรถพาเอ็มไปส่งจนถึงหน้าบ้านแล้วรอจนน้องเดินเข้าบ้านไปถึงจะขับรถออกมา เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่ก็รู้ที่เขาต้องมาทำหน้าที่เป็นคนดูแลศิลปินให้กับเอ็ม หลังจากที่อาโปเริ่มหางานมาให้เอ็มได้เริ่มลองทำ เพราะเห็นว่าอยากให้มีประสบการณ์หน้ากล้องไว้บ้างก่อนที่จะได้ไปถ่ายซีรีส์จริงกับเต เพื่อที่เอ็มจะได้ไม่ตื่นกล้องมากนัก เขาเองก็เริ่มสงสัยมากว่าจริงๆ แล้วไอ้งานที่สตูดิโอนี่คงไม่ต้องทำแล้วล่ะมั้ง เหมือนจะต้องผันตัวมาเป็นผู้จัดการไอ้เอ็มแบบจริงจัง... พอออกตัวจากหน้าบ้านของเอ็มได้ กานต์ก็รีบเหยียบเร่งความเร็วเพื่อบึ่งตรงไปยังสตูดิโอทันทีเพื่อที่จะต้องไปหาอาโปเพื่อสรุปความเป็นมาเป็นไปของงานวันนี้ว่าเป็นยังไงบ้าง เอ็มทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะได้เก็บไว้ไปปรับปรุงและพัฒนาตัวน้องต่อไปในการทำงานครั้งหน้า เขาเลี้ยวรถเข้ามาจอดรถด้านหน้าตึกก่อนจะเดินลงจากรถแล้วตรงเข้าไปด้านในทันที “เสร็จงานแล้วเหรอครับ” ศิลาเอ่ยทักเมื่อเงยหน้ามาเจอกานต์ “อื้อ ส่งไอ้เอ็มเสร็จก็ตรงมานี่เลย พี่อาโปอะ” “อยู่ข้างบนอะ” “เค เดี๋ยวขึ้นไปคุยกับพี่แกก่อน” กานต์เอ่ยบอกก่อนจะก้าวขาขึ้นบันได แต่ไม่ทันที่จะได้ออกเดินก็พบกับอาโปและนาโนที่เดินสวนลงมาพอดี “ไง เรียบร้อยดีมั้ยวันนี้” อาโปทักเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย นาโนที่เดินตามลงมาจ้องหน้ากานต์นิ่งก่อนจะทำเมินแล้วเดินไปนั่งรอแม่มารับที่โซฟา “ดีพี่ มีตื่นกล้องนิดหน่อย แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ลูกค้าชอบมากด้วยพี่ เขาว่าเอ็มมันขึ้นกล้องแล้วก็เหมาะกับสินค้าของเขา” “เออดีละ ค่อยสบายใจหน่อย” กริ๊งงง “ฮัลโหลครับแม่” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแล้วตามด้วยเสียงขานรับสายของนาโนทำเอาทุกคนหันไปมองพร้อมกัน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าการรับรู้ว่าแม่น้องมารับแล้วนั่นเอง “กลับดีๆ นะน้องนาโน” ศิลาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร “ครับ” นาโนตอบเสียงนิ่งก่อนโค้งหัวให้นิดๆ แล้วเดินออกไปเพื่อขึ้นรถของแม่ที่ขับมาจอดรับอยู่ด้านหน้า “พวกเราก็กลับกันเถอะ จะได้ไปพักผ่อน” อาโปบอกก่อนจะเอื้อมมือไปตบไหล่กานต์ “ขอบใจมากนะวันนี้” “อ้าว แล้วที่พี่บอกให้กลับมาคุยกันเพื่อสรุปงานวันนี้อะ” กานต์เอ่ยถามอย่างสงสัย “ไว้พรุ่งนี้แล้วกัน วันนี้แกเหนื่อยมาทั้งวัน กลับไปนอนเหอะ” กานต์ยิ้มรับแล้วพยักหน้า “เจอกันพี่” ศิลายิ้มแล้วโบกมือลาก่อนจะเดินตามอาโปที่เดินนำหน้าไป --------- The Story of Water and Stone 2 --------- ค่ำคืนผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่ายดังเช่นที่เคยเป็นมา ทำให้เช้านี้แต่ละคนต่างก็มาทำงานกันแบบสดใสและร่าเริงกันโดยไม่ทันได้เอะใจว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นในวันอันแสนธรรมดาแบบนี้ ตึงๆๆ เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังปึงปังเข้ามาที่หน้าเคาน์เตอร์ของสตูฯ ศิลาเงยหน้ามองก็พบกับร่างของหญิงสาววัยกลางคนที่คุ้นตาใกล้เข้ามาก่อนจะฟาดฝ่ามือกระแทกลงบนโต๊ะดังสนั่น ทำเอาทั้งศิลาและป้าพรตกอกตกใจไปตามๆ กัน ปัง!! “ทำไมทำกับลูกชั้นแบบนี้!” น้ำเสียงแหลมสูงบาดหูพุ่งตรงมาปะทะเข้าโสตประสาทเต็มสองรูหูของศิลา “เดี๋ยวนะครับ คุณแม่ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” ศิลาพยายามปราม “มีอะไรก็ขึ้นไปคุยกันที่ห้องคุณอาโปดีกว่านะครับ” ศิลาพาคุณแม่ของนาโนเดินขึ้นไปที่ชั้นสามเพื่อไปคุยกันในห้องของอาโป ทีแรกเขาก็ไม่พอใจที่แม่ของน้องเดินเข้ามาถึงก็แว้ดๆ ใส่ โดยที่เขาเองก็ยังไม่ทันได้รู้เรื่องรู้ความอะไรทั้งนั้น ถ้าไม่ติดว่ามีคนอื่นๆ อยู่เยอะก็อยากจะฟาดกลับไปซะบ้าง ถือว่าเป็นโชคดีของคุณแม่น้องที่วันนี้ในสตูดิโอมีแขกเยอะ ไม่งั้นก็เจอไอ้ศิลาสวนกลับแน่ ปกติยอมใครง่ายๆ ซะที่ไหนล่ะ พอเข้ามาถึงด้านในห้องของอาโปได้ คุณแม่ของนาโนก็ตรงบึ่งเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ทันทีแล้ววางกระเป๋าดังปึงบนโต๊ะ ฝั่งอาโปเองก็ทั้งตกใจทั้งงุนงงว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้มีน้ำโหขนาดนี้ “คุณแม่เป็นอะไรครับ” “ทำไมคุณทำกับลูกชั้นแบบนี้!” “ใครทำอะไรใครครับคุณแม่ ผมไม่เข้าใจ” อาโปพยายามหันหน้าขอความช่วยเหลือจากศิลาที่อยู่แต่ก็ไม่ได้ความนักนอกเสียจากที่คนน้องทำหน้าแหยแล้วส่ายหน้า “ก็คุณให้เอ็มออกไปทำงานแล้ว แต่ปล่อยให้ลูกชั้นต้องซ้อมคนเดียวในห้องซ้อมเนี่ยนะ” แม่ของนาโนบอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เอ่อ คุณแม่ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ พอดีเราส่งโปรไฟล์ไปทั้งคู่นะครับ แต่ทางลูกค้าเขาเลือกน้องเอ็มมาครับ สตูฯ ไม่ได้ลำเอียงนะครับคุณแม่” อาโปพยายามเกลี้ยกล่อมถึงให้คุณแม่ใจเย็นลง “แล้วทำไมคุณถึงไม่ช่วยผลักดันให้มากกว่านี้ล่ะคะ ลูกชั้นไม่ดีตรงไหน ออกจะเก่งกว่าน้องเอ็มด้วยซ้ำ” อาไปได้ยินแบบนั้นก็สะอึกไปนิดหน่อย ถ้าว่ากันตามจริงสิ่งที่คุณแม่พูดมันก็ถูก แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดซะทีเดียว เพราะตอนนี้เอ็มก็พัฒนาขึ้นมามากทั้งทักษะด้านการแสดง การเต้น รวมถึงการร้อง อีกทั้งบุคลิกภายนอกก็ถูกพัฒนาโดยทีมของสตูดิโอไปเยอะแล้ว ทำให้ตอนนี้ออร่าของเอ็มเปล่งประกายพร้อมใช้งานแล้ว ซึ่งตรงกันข้ามกับนาโนที่ถึงแม้จะมีของติดตัวมา แต่เพราะอีโก้ของตัวเองจึงทำให้ประกายของความเป็นศิลปินไม่ฉายแสงออกมาเลย เป็นเรื่องที่อาโปก็หนักใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน “จริงๆ ทางเราก็พยายามจะหาสิ่งที่เหมาะสมกับตัวน้องนาโนที่สุดอยู่นะครับ เพราะอยากให้เปิดตัวทีเดียวแล้วปัง จะได้มีภาพลักษณ์ที่ดีครับ” อาโปเอ่ยพูดต่อ แต่คนเป็นแม่ก็ดูยังไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ “งั้นเอาแบบนี้มั้ยคะ” คุณแม่เอ่ยพูดขึ้นพลางเอามือลากกระเป๋าแบรนด์ใบหรูเข้ามาวางไว้ที่ตัก “ครับ?” คุณแม่ของนาโนล้วงมือลงในกระเป๋าก่อนจะหยิบเอาสมุดเช็คขึ้นมาเขียนแล้วยื่นมาให้อาโป “ชั้นให้คุณเพิ่มอีกห้าแสน ช่วยทำเพลงให้ลูกชั้นหน่อย” อาโปได้ยินก็หันขวับไปมองศิลาทันที ฝ่ายศิลาเองก็ได้แต่ขยับปากแบบไม่มีเสียงว่า... ไม่รู้ แล้วแต่พี่โปเลย... “ยังไงเราก็ต้องประเมินน้องก่อนนะครับ แล้วจะหาโปรดิวเซอร์ที่เหมาะกับสไตล์ของน้องมาทำเพลงให้นะครับ” “ขอบคุณค่ะ ชั้นจะรอดูนะคะ ฝากน้องด้วยค่ะ” คุณแม่ยิ้มเย็นก่อนจะลุกเดินออกไป โดยมีศิลารีบเดินตามออกไปส่ง “เห้ออออ” อาโปถอนหายใจแรงเมื่อประตูห้องปิดลง ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้... พอแม่ออกไปลูกชายก็มาต่อกันเลย ก่อนหน้านี้ก็คงถูกแม่สั่งให้นั่งรออยู่ในรถนั่นแหละ พอจะกลับก็เลยให้ลูกลงมาได้สักที เอาจริงๆ ก็แอบสงสารน้องอยู่เหมือนกันนะ ที่ต้องทำอะไรตามแม่สั่งอยู่ตลอด บางทีน้องอาจจะไม่ได้ชอบร้องชอบเต้นก็ได้ หรือถ้าชอบ แต่การถูกแม่บังคับอยู่ตลอดเวลาให้ทำนู่นนี่ ใช้ชีวิตอยู่บนความคาดหวังของครอบครัวตลอดเวลาก็เป็นเรื่องที่น่าทรมานอยู่เหมือนกันสำหรับเด็กในวัยเจริญเติบโตที่กำลังอยู่ในช่วงค้นหาตัวตนของตัวเอง “ไม่ซ้อมหรอ” ศิลาเอ่ยทักเมื่อเห็นนาโนเล่นมือถืออยู่ที่โซฟาโดยไม่มีท่าทีกระตือรือร้นว่าจะขึ้นไปซ้อมเลยสักนิด “เดี๋ยวรอครูมาถึงแล้วค่อยขึ้นไปเรียนทีเดียวละกันครับ” ศิลาได้ยินคำตอบก็หันไปมองหน้ากานต์ทันที ทั้งคู่ไม่รู้จะแสดงสีหน้าออกไปในทิศทางไหนดี เพราะมันก็อดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าระหว่างนาโนกับเอ็มนั้นมีความแตกต่างกันอยู่มากเหมือนกัน เพราะตั้งแต่ที่เริ่มโปรแกรมฝึกอย่างจริงจัง วันไหนที่ครูจะมาสอนเอ็มก็จะขึ้นไปเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าเป็นชั่วโมงๆ เพื่อเตรียมความพร้อมร่างกายและฝึกซ้อมสิ่งที่ครูได้สอนไปเมื่อครั้งก่อนๆ นี่ล่ะมั้งจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เอ็มมีพัฒนาการด้านความสามารถก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด กริ๊งๆ เสียงกระดิ่งตรงหน้าประตูสตูดิโอดังขึ้นก่อนจะมาด้วยเสียงของเด็กหนุ่มลอยตามมา “หวัดดีครับ” เอ็มยกมือไหว้กานต์และศิลาที่อยู่ตรงบริเวณนั้นก่อนจะหันไปเห็นนาโนที่นั่งเล่นมือถืออยู่ที่โซฟา พอนาโนเงยหน้ามาเจอก็ชักสีหน้าไม่พอใจทันทีแล้วคว้ากระเป๋าก่อนจะเดินฉับๆ เสียงดังปึงปังขึ้นห้องซ้อมไป บรรยากาศในห้องซ้อมเป็นไปอย่างอึมครึมเมื่อเอ็มเดินเข้ามาภายในห้อง นาโนหยิบหูฟังมาใส่แล้วเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยหางตาเมื่อเอ็มเห็นดังนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่ใช่เพราะความหนักใจแต่เป็นเพราะรู้สึกรำคาญที่ต้องมาใช้ห้องซ้อมร่วมกับคนแบบนาโน ความอิจฉาริษยาจากอีกฝ่ายที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดทำให้บรรยากาศของห้องซ้อมเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนตั้งแต่เอ็มเริ่มได้งานในวงการ แรกๆ ก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่พอเอ็มเริ่มทำงานในวงการมาได้สักพักในขณะที่นาโนยังทำได้แค่ซ้อมอยู่แต่ในห้องซ้อม ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป แบบที่เอ็มเองก็รู้สึกว่าต่างคนต่างอยู่เสียดีกว่า... เสียงเพลงดังขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเริ่มต้นการซ้อมของคนทั้งคู่ เอ็มเริ่มยืดเหยียดเส้นสายและกล้ามเนื้อของตัวเองเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนคลาสเรียนเต้นจะเริ่ม ซึ่งปกติก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง และจะมีนาโนคอยทำตามบ้าง ไม่สนใจบ้าง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่... เพราะนาโนเองก็ยังคงใส่หูฟังแล้วอยู่ในโลกของตัวเองต่อไป โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่เอ็มก็ไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่ เพราะเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของใครของมัน ถ้าคิดว่าตัวเองเก่งแล้วจะไม่ต้องขยันซ้อมก็เป็นเรื่องของนาโน ส่วนตัวเขามีเป้าหมายชัดเจนว่าเขาต้องการอะไร และจะต้องทำยังไงเพื่อให้ได้ซึ่งความสำเร็จที่เขาต้องการ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องซ้อมของคนทั้งคู่ที่ดูเผินๆ เหมือนจะไม่มีอะไร แต่จริงๆ แล้วก็อยู่ในสายตาของอาโปตลอด เพราะถึงแม้ว่าเขาจะต้องทำงานหนักจนเหมือนไม่ได้ใส่ใจเด็กในบริษัท แต่เขาก็แอบมองอยู่ห่างๆ เสมอ อาโปสังเกตเห็นพฤติกรรมของคนทั้งคู่ผ่านกล้องวงจรปิดที่ฉายตรงมาจากห้องซ้อม ก่อนจะตัดสินใจเดินลงมาแอบมองจากประตูผ่านบานกระจกใสเข้าไปภายในห้อง โดยที่ทั้งเอ็มและนาโนไม่รู้ตัว ความเครียดเกาะกุมภายในใจของเขา เพราะสิ่งที่เขาเห็นจากนาโนมาตลอดกับสิ่งที่แม่ของน้องพูดมาในวันนี้มันช่างขัดแย้งกัน เพราะถึงแม้ว่าแม่ของน้องจะพยายามยัดเงินเพื่อให้สร้างผลงานให้น้องมากสักแค่ไหน แต่ความสามารถของน้องที่ว่าเก่งก็ยังไม่ได้ส่องประกายความพร้อมเพื่อจะก้าวไปสู่ศิลปินได้เลย “เห้อ...” อาโปถอนหายใจเฮือกใหญ่ จนศิลาที่เดินขึ้นมาเห็นต้องเอ่ยทัก “เครียดอะไรครับพี่โป” ศิลาวางมือบนไหล่หนาของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยถาม “ก็ดูดิ เห็นข้อแตกต่างของสองคนนี้มั้ยล่ะ” ศิลามองตามเข้าไปในห้องก็เห็นภาพเอ็มที่กำลังซ้อมเต้นอย่างมุ่งมั่น ในขณะที่นาโนยังคงใส่หูฟังแล้วยืนนิ่งอยู่แบบนั้น เขาก็เลยเข้าใจว่าความหนักใจที่อาโปกำลังแบกอยู่นั้นคือเรื่องอะไร “เอาน่ะพี่ เดี๋ยวค่อยๆ ช่วยกันแก้ปัญหาไปเนอะ” “อื้อ” อาโปพยักหน้ารับ “เอ้าคุณอาโป คุณศิลา มายืนทำอะไรครับเนี่ย” ครูเบย์เดินดุ่มๆ แบกกระเป๋าขึ้นมาถึงหน้าห้องซ้อมเอ่ยทัก “สวัสดีครับครู ก็แวะมาแอบดูเด็กๆ ซ้อมนี่แหละครับ” อาโปยิ้มตอบ “เชิญครูเบย์ตามสบายเลยครับ เดี๋ยวผมไปทำงานต่อก่อน” “ครับ” ครูเบย์ยิ้มแล้วเดินเข้าห้องซ้อมไป “เดี๋ยวพี่ขึ้นไปทำงานต่อก่อนนะครับ” อาโปบอกก่อนจะหันหลังเพื่อเดินขึ้นห้องทำงานที่อยู่ชั้นสามไป หมับ “เดี๋ยวพี่” ศิลาคว้าเข้าที่มือหนาของคนตัวสูงทำเอาอีกฝ่ายต้องหยุดชะงักแล้วหันมามอง “หืม” “มีอะไรบอกผมได้ตลอดนะพี่” ศิลากุมมืออาโปแน่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตัวเองจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายอย่างมั่นคงตลอดไป ไม่ว่าอาโปจะเจออะไรเขาก็ยินดีที่จะช่วยคลายความหนักหนาที่อยู่ภายในใจของคนตัวสูงนั้นให้ได้ “ช่างมันเถอะ เดี๋ยวก็ดีขึ้นครับ” วันนั้นทั้งวันผ่านไปด้วยความรู้สึกหน่วงของทุกคน ไม่ใช่แค่อาโปแต่ทั้งศิลาที่เป็นห่วงแฟนตัวเอง กานต์ที่คอยมองคอยเป็นห่วงทั้งรุ่นพี่อย่างอาโปและรุ่นน้องอย่างศิลา ป้าพรที่เป็นห่วงทุกคน จนบรรยากาศทั้งสตูฯ อึมครึมหม่นหมองเหมือนดังวันที่ฝนกำลังตั้งเค้าจนท้องฟ้ามืดครึ้ม อาโปโยนกระเป๋าทิ้งไปที่พื้นบ้านทันทีที่เข้ามาในบ้าน ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาราวกับผ่านสมรภูมิอย่างหนักมาทั้งวัน ศิลาเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้เข้าไปกวนหรือรบเร้าถามว่าเป็นอะไร เขาเพียงเดินหายเข้าไปในครัวแล้วรินน้ำเย็นเจี๊ยบใส่แก้วมายื่นให้ “น้ำครับพี่โป” อาโปลืมตาตื่นขึ้นเมื่อได้ยิน “ขอบคุณครับ” “พี่โปหิวมั้ยครับ เดี๋ยวผมทำอะไรให้กิน” “ครับ” อาโปพยายามยิ้มแล้วพยักหน้าอ่อน ไม่นานอาหารร้อนๆ อย่างสเต๊กปลาแซลมอนพร้อมผักสลัดและน้ำสลัดงาญี่ปุ่นถูกเสิร์ฟบนโต๊ะหน้าโซฟา อาหารมีกลิ่นหอมและหน้าตาน่ากินจนดวงตาของอาโปเบิกกว้างทันทีที่เห็นจานอาหารถูกวางลงตรงหน้า “โห ขนาดนี้เลยเหรอครับ” อาโปเอ่ยถาม “ผมเห็นมีแซลมอนเหลืออยู่ตู้เย็นอะครับ ก็เลยหยิบมาทำ ผักสลัดนี่ก็ที่เราซื้อเอาไว้เมื่อวันก่อน” “ขอบคุณนะครับที่รัก” อาโปเอ่ยบอกด้วยเสียงอบอุ่น “ที่รงที่รักอะไรเล่าพี่ กินได้แล้วเดี๋ยวเย็นแล้วไม่อร่อย” ศิลาได้ยินก็รู้สึกเขินเลยพยายามบอกปัดไปเรื่องอื่น ก่อนจะเดินไปหยิบไวน์เทใส่แก้ว หนึ่งแก้วเป็นของตัวเอง ส่วนอีกแก้วก็เอาไปยื่นให้อาโป จากนั้นก็นั่งลงที่โซฟาข้างๆ อาโปแล้วเปิดทีวีเพื่อหาอะไรดูฆ่าเวลา “แล้วหนูไม่กินอะไรเหรอ” “ยังไม่ค่อยหิวอะพี่” “กินด้วยกันมั้ยครับ พี่เหนื่อยๆ กินไม่ค่อยลงเท่าไหร่” อาโปบอกพลางดึงศิลาให้เข้ามานั่งใกล้ๆ ตัวเอง “พี่โปกินก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมป้อน” ศิลาหั่นสเต๊กปลาแซลมอนเป็นชิ้นเล็กแล้วใช้ซ้อมจิ้มก่อนจะยื่นไปตรงปากของอีกฝ่าย อาโปค่อยๆ อ้าปากงับแต่สายตายังคงจ้องมองคนตัวเล็กตรงหน้านิ่ง “อร่อยจัง...” อาโปบอก “ไวน์สักหน่อยมั้ยครับ” ศิลายกแก้วไวน์ให้อาโปจิบ แต่อาโปดื่มเข้าเสียจนหมดแก้ว “เดี๋ยวก็เมาก่อนจะกินข้าวหมดหรอกครับ” “นานๆ ที ช่างมันเถอะ วันนี้พี่เครียดครับ” “อ่า...” “ขอกอดหนูหน่อยได้มั้ย” อาโปเอ่ยเสียงอ้อนก่อนจะเอาคางมาเกยไหล่ศิลาอย่างหมดแรง “มาครับ” ศิลาสวมกอดอาโปแน่น สัมผัสที่คุ้นเคยส่งผ่านความอบอุ่นและสบายใจให้กับร่างหนาได้เป็นอย่างดี “...” “พี่โปครับ” ศิลาเอ่ยเรียกเมื่อผ่านไปสักพักแล้วรู้สึกว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบจนเกินไป “...” “พี่โป...” ศิลาเริ่มเป็นกังวลเมื่ออีกฝ่ายไม่ส่งเสียงตอบรับ มีเพียงความสั่นเทาเล็กๆ ที่ศิลาสัมผัสได้จากการกอดนั้น “...” “พี่โปร้องไห้หรอครับ” คนตัวเล็กเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงสูดน้ำมูกของคนตัวโต ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงสะอื้นแต่สัญญาณเพียงเท่านี้ก็คงบ่งบอกอาการของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ศิลาผละออกจากอ้อมกอดเพื่อหวังจะมองหน้าของอาโปชัดๆ เขาค่อยๆ เคลื่อนมือขึ้นมาจับไหล่ของคนตัวโตแล้วดันออกห่างจากตัว ใบหน้าของอาโปเปรอะเปื้อนด้วยคราบน้ำตาที่ไหลออกมาอาบทั้งสองแก้ม คงไม่ไหวจริงๆ นั่นแหละ... ศิลามองอยู่อย่างนั้นถึงแม้ในใจจะรู้สึกเศร้าตามอาโป แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ต้องส่งผ่านรอยยิ้มบนใบหน้าเท่านั้น เพราะเขาอยากให้กำลังใจมากกว่าที่จะต้องพากันเศร้าและจมดิ่งต่อไป “พี่...ขอจูบได้มั้ยครับ” อาโปเอ่ยถามทั้งน้ำตา ศิลาไม่ได้ตอบแต่ใช้สองมือคว้าใบหน้าของอาโปแล้วค่อยๆ ดึงเข้ามาประทับจูบอย่างแผ่วเบา เนิ่นนานและนุ่มนวลกว่าที่เคยเป็น... อาโปตอบรับจูบนั้นอย่างอ่อนโยนก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนผ่านไปสู่ความเร่าร้อนอย่างคนโหยหา คนตัวสูงค่อยๆ โอบเอวของอีกฝ่ายแล้วประคองให้เอนนอนลงบนโซฟา ก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงรักอันเร่าร้อนจนเมนูสเต๊กปลาแซลมอนที่วางอยู่บนโต๊ะต้องเป็นหม้าย และเหล่าบรรดาเครื่องใช้ภายในบ้านต้องหันหน้าหนี กลิ่นและรสชาติแซลมอนในปากของอาโปยังคงอบอวลจนศิลารู้สึกได้จากปลายสัมผัสเมื่อลิ้นของทั้งคู่แตะกัน มือหนาปัดป่ายไปทั่วร่างกายของคนตัวเล็กที่นอนอยู่ข้างใต้ ส่วนศิลาก็ดูเหมือนจะยอมแพ้ในทีแรกแต่ก็ฮึดสู้กลับมาถาโถมอารมณ์เสน่หาตอบรับอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ---------- The Story of Water and Stone 2 --------- "พี่ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว" อาโปเปิดปากพูดกับศิลาหลังจากที่พากันเดินออกมาจากห้องน้ำ “เรื่องนาโนสินะครับ” “พี่เข้าใจว่าแม่น้องอยากให้ลูกตัวเองได้ทำงานสักที ได้มีผลงานเหมือนคนอื่นบ้าง แต่น้องยังไม่พร้อมไง” “แต่เราก็แทบไม่ต้องเสียเงินเลยนะครับ เพราะแม่น้องออกเองทั้งหมด” ศิลาแย้ง “แต่ถ้าปล่อยงานออกมาแล้วโดนคนด่า สตูฯ เราก็เสียชื่อนะ” “ก็จริง” “พี่รู้ว่าเขากำลังต่อสู้กับเอ็ม พยายามจะต้องนำหน้าเอ็มให้ได้ แต่หนูก็เห็นว่าแพสชั่นของเอ็มกับนาโนมันต่างกัน ถ้ายังเป็นแบบนี้ยังไงนาโนก็ไม่มีทางที่จะก้าวไปเป็นศิลปินได้แน่ๆ” “แต่พี่โปก็จะต้องมาทนปวดหัวกับคุณแม่ของน้องนะครับ” “นั่นน่ะสิ แล้วจะให้พี่ทำยังไงครับ” อาโปเอ่ยถามด้วยความอยากรู้จริงๆ ไม่ใช่เพียงตัดพ้อ “ก็ถ้าเขาอยากให้เราทำเพลงให้ลูกเขาด้วยเงินของเขา เราก็ตอบตกลงไปเลยครับ แต่นาโนจะต้องเข้ากระบวนการฝึกฝนและเตรียมความพร้อมเพื่อเป็นศิลปินอย่างเข้มข้นจากทางเราโดยไม่มีข้อแม้ ทุกอย่างต้องทำตามแผนที่เรากำหนดและคุณแม่ไม่มีสิทธิ์เข้ามาก้าวก่าย เพราะไม่งั้นจะถือเป็นโมฆะทั้งสิ้น และเราก็ยินดีคืนเงินทั้งหมดที่เหลืออยู่จากการหักค่าใช้จ่ายในช่วงเป็นเด็กฝึกให้คุณแม่ด้วย ดีมั้ยครับ” “น่าสนใจ” “จะได้จบๆ ไป ผมไม่อยากเห็นพี่โปเครียดอีก” “ขอบคุณนะครับที่รัก” อาโปเอ่ยบอกก่อนจะหอมไปฟอดใหญ่ “อย่าเรียกที่รักได้มั้ยพี่โป มันขนลุก” “ก็ได้ๆ” อาโปยิ้มกว้างเพราะอดที่จะเอ็นดูคนข้างๆ ไม่ได้ “เนี่ย! พี่โปยิ้มแบบนี้เหมาะกับพี่มากกว่าอีก ไม่ชอบเลยตอนพี่ร้องไห้” ศิลาบอกพลางเอามือขึ้นลูบแก้มของอาโป “พี่จะไม่ร้องแล้วครับ” “ถ้าไม่ไหวก็ร้องได้ครับ อย่าเก็บไว้มันจะอึดอัด ผมแค่หมายถึงว่าไม่อยากให้พี่ต้องมาเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องร้องไห้อีกต่างหากครับ” “ค้าบบบ ขอบคุณน้าคนเก่งของพี่”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD