bc

อาโปรักศิลา (น้ำหยดลงหินฯ เล่ม 2)

book_age18+
8
FOLLOW
1K
READ
HE
age gap
office/work place
like
intro-logo
Blurb

โบราณเขาว่ากันว่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน... หลังจากคบกันมาได้ 5 ปี อาโปก็เปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองโดยมีศิลาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แบบไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ทำให้เขาทั้งคู่ต้องเผชิญปัญหาที่มากกว่าแค่เรื่องความรักความสัมพันธ์ แต่มันยังต้องเผชิญกับปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นจากบุคคลรอบๆ ตัวซึ่งเกินจะควบคุมได้ แต่ทั้งคู่ก็ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้จนถึงตลอดรอดฝั่ง เป็นความรักในแบบผู้ใหญ่ที่ไม่ได้หวือหวาแต่ทว่ามั่นคง...

chap-preview
Free preview
Super Special Chapter 1 (18+)
กลุ่มหมอกสีขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณตลอดระยะเวลาช่วงเช้าที่รถยนต์คันคุ้นตาเคลื่อนตัวไปตามเส้นถนน ศิลาที่นอนหลับคอพับอยู่ที่เบาะฝั่งคนนั่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นเมื่อรถคันที่โดยสารอยู่ขับผ่านลูกระนาด รถกระเด้งจนปลุกให้คนน้องตื่นขึ้นจากการหลับใหล “อื้อ...” “ขอโทษครับ” อาโปหันมาพูดกับศิลาเมื่อเห็นว่าคนน้องตื่น “ถึงไหนแล้วอะครับ” ศิลาเอ่ยถามพลางมองออกไปด้านนอกตัวรถ “อีกสักพักก็ถึงแล้วล่ะ ไม่เกินครึ่งชั่วโมง” “อ่อ ครับ” ศิลาพยักหน้ารับแล้วประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากันก่อนจะยืดแขนตรงเหยียดออกไปเพื่อขับไล่ความเมื่อยหล้าที่นั่งรถมาเป็นเวลานาน “เมื่อยจัง” “พี่พาหนูมาลำบากหรือเปล่าเนี่ย” “ไม่หรอกครับ ชิลๆ พี่” ศิลาตอบแล้วยิ้มกลับไปให้อาโปเพราะหวังว่าอีกฝ่ายจะได้สบายใจขึ้น จริงๆ เขาก็แอบรู้สึกว่ามันลำบากนิดหน่อยกับการที่ต้องนั่งรถนานๆ เพื่อมาเชียงใหม่ ทั้งที่จริงๆ แล้วการนั่งเครื่องบินก็สบายกว่ากันตั้งเยอะแถมยังประหยัดเวลากว่านี้ แต่เขาก็ไม่กล้าจะบ่นอะไรมากนักหรอกเพราะเขาก็รู้สึกอยากจะตามใจอาโปบ้างก็เท่านั้น ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวสูงขึ้นจากขอบฟ้าแสงสว่างและอุณหภูมิก็ของอากาศก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย กลุ่มหมอกที่ลอยหนาแน่นเมื่อตอนเช้าตรู่ก็เริ่มจางลงอย่างเห็นได้ชัดทำให้อาโปมองเห็นทางบนถนนได้สะดวกขึ้นมาก “เดี๋ยวถึงโรงแรมผมขอนอนสักงีบนะครับ” “นอนมาตลอดทางยังไม่หายง่วงอีกเหรอ” อาโปเอ่ยแซวพลางขำเบาๆ “ก็มันไม่เหมือนกันนี่ครับ นอนในรถมันไม่สบายเหมือนนอนบนเตียงอะ” ศิลาตอบหน้ามุ่ยแล้วพลิกตัวหันออกไปมองบรรยากาศด้านนอก ใช้เวลาเดินทางอยู่อีกพักใหญ่รถยนต์ของคนทั้งคู่จึงเดินทางมาถึงโรงแรมห้าดาวที่อาโปจองล่วงหน้าไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว ทันทีที่อาโปและศิลาเดินเข้ามาในบริเวณล็อบบี้ของโรงแรม พนักงานก็รีบเข้ามาทักทายต้อนรับโดยทันที พอเช็กอินเสร็จทั้งคู่ก็เดินตรงเข้าลิฟต์ขึ้นไปยังห้องพักเพราะอยากจะเอนหลังงีบสักหน่อยหลังจากขับรถมาเป็นระยะเวลานาน อาโปแตะคีย์การ์ดเข้าที่ประตูหน้าห้องพอเสียงสัญญาณดังขึ้น มือขวาที่ว่างอยู่ก็เอื้อมขึ้นมาจับลูกบิดประตูแล้วออกแรงดึงก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปข้างใน สองเท้าของคนพี่ก้าวเข้าไปโดยมีคนน้องเดินตามเข้ามา ก่อนทั้งคู่จะถอดรองเท้าแล้วหยิบเอาสลิปเปอร์ของโรงแรมที่หย่อนไว้ในลิ้นชักของตู้เสื้อผ้าออกมาสวมแล้วเดินเข้าไป กระเป๋าสัมภาระถูกเลื่อนเข้าไปอยู่ในมุมของห้อง ส่วนตัวอาโปก็เดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทันที ฝ่ายศิลาก็เดินสำรวจไปรอบๆ ห้องเพื่อดูว่ามีอะไรยังไงบ้าง และสิ่งที่เรียกความตื่นเต้นให้กับศิลาได้นั่นก็คือพื้นที่บริเวณห้องน้ำนั่นเอง ห้องน้ำของห้องนี้ที่ดูเหมือนเป็นพื้นที่ปิดแต่จริงๆ มันคือพื้นที่เปิด เพราะตั้งแต่ที่อาโปเลือกหาโรงแรมผ่านในเว็บไซต์รวบรวมโรงแรม เขาก็สะดุดตากับที่นี่ทันทีเพราะเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโรงแรมนี้ แถมห้องน้ำยังน่าสนใจอีกด้วย เหมาะสำหรับการมาท่องเที่ยวกับแฟนแบบสองต่อสอง เพราะอะไรน่ะเหรอ... เพราะว่าผนังห้องน้ำที่กั้นระหว่างพื้นที่ส่วนของห้องน้ำกับบริเวณห้องนอนมันสามารถเลื่อนเปิดออกได้น่ะสิ ถึงแม้จะมีกระจกกั้นอยู่หลังจากเลื่อนผนังบานนั้นออก แต่มันก็เป็นแผ่นกระจกใสกิ๊กที่สามารถมองเห็นทั้งสองด้านได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายในห้องน้ำมีอ่างจากุซซี่ขนาดใหญ่อยู่ด้านใน ศิลาเดินเข้าไปใกล้แล้วก้าวลงไปนั่งด้านใน มันใหญ่เสียจนคนสองคนลงไปนอนในนั้นแล้วก็ยังมีพื้นที่เหลือๆ “ถ่ายรูปสวยแน่ๆ เลยมุมนี้” ศิลาเอ่ยพูดแล้วมองออกไปเห็นอาโปนอนตะแคงอยู่บนเตียงแล้วหันหน้ามามองเขา ศิลาก็เลยโบกมือให้พร้อมยิ้มกว้าง อาโปนอนดูศิลาถ่ายเซลฟี่ด้วยความร่าเริงอยู่หลากหลายมุม โดยเฉพาะในอ่างจากุซซี่นั้นที่ดูว่าคนน้องจะชอบอกชอบใจเป็นพิเศษ เขานอนมองแฟนตัวเองที่กำลังร่าเริงอยู่แบบนั้นก่อนจะเผลอหลับไปเพราะความอ่อนเพลียที่กัดกินร่างกาย เนื่องมาจากการเดินทางอันแสนยาวนานกว่าสิบชั่วโมง เวลาช่วงบ่ายผ่านไปแบบเรียบง่ายเพราะอาโปหลับยาวเสียจนศิลาไม่กล้าปลุก คนน้องจึงใช้เวลานอนดูหนังในไอแพดอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่นจนเกือบสี่โมงเย็นอันเป็นเวลาที่หนังจบลงพอดี ศิลามองนาฬิกาที่ปรากฏอยู่บนมุมจอไอแพดก่อนจะตัดสินใจลุกไปอาบน้ำ เพราะตอนเย็นเขาแพลนว่าจะชวนอาโปออกไปเดินหาอะไรกินที่ด้านนอก วันนี้มีถนนคนเดินซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่เขาพักอยู่เท่าไหร่นัก เสื้อผ้าที่ปกคลุมอยู่บนตัวของศิลาถูกปลดเปลื้องออกลงไปกองอยู่บนพื้น ก่อนจะถูกหยิบไปโยนวางไว้บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ร่างกายเปลือยเปล่าเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วคว้าผ้าขนหนูเช็ดตัวที่ถูกพับวางไว้ใต้อ่างล่างหน้ามาสะบัดออกแล้วแขวนไว้ตรงประตู ขายาวก้าวลงไปในอ่างอาบน้ำแล้วมือเรียวก็ยื่นไปเปิดน้ำจากฝักบัวให้ไหลรินลงมาปะทะกับผิวกาย ความเย็นของน้ำเรียกให้ร่างบางสะดุ้งนิดหน่อย เขาเอื้อมไปบิดก๊อกน้ำให้เลื่อนไปทางซ้ายเพื่อปรับน้ำให้อุ่นขึ้น เสียงน้ำจากฝักบัวที่ไหลลงกระทบพื้นกระเบื้องในห้องน้ำดังลอดผ่านกระจกใสออกมาเบาๆ ถึงจะไม่ได้มากแต่ก็สามารถปลุกให้อาโปตื่นขึ้นจากการหลับใหลได้ เปลือกตาของอาโปขยับเล็กน้อยแล้วค่อยๆ เปิดขึ้น เขาพลิกตัวกลับมาอีกฝั่ง พลันสายตาของเขาก็จดจ้องอยู่ที่ร่างกายเปลือยเปล่าเผยให้เห็นผิวสองสีของศิลาที่กำลังยืนให้น้ำไหลผ่านผิวกายลงสู่เบื้องล่าง ภาพตรงหน้ามันช่างเย้ายวนกิเลสที่ซ่อนอยู่ภายในตัวของอาโปที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับร่างกายของเขา อาโปยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วคว้าขวดน้ำที่วางอยู่ตรงหัวเตียงขึ้นดื่มก่อนจะค่อยๆ ลุกยืนปลดเสื้อผ้าของตัวเองออกแล้วเดินตรงเข้าห้องน้ำไป แกร๊ก! เสียงเปิดประตูห้องน้ำเรียกเอาศิลาที่กำลังเพลิดเพลินกับการอาบน้ำให้หันมามอง เมื่อเขาหันมาพบเข้ากับคนตรงหน้าศิลาก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะตกใจสักเท่าไหร่เพราะความคุ้นเคยมานานหลายปี สายตาจดจ้องไล่เรียงตั้งแต่ใบหน้าของอาโปเคลื่อนลงไปเรื่อยๆ จนทั่วทุกส่วนของร่างกาย ก่อนจะเงยขึ้นมองหน้าคนพี่อีกครั้งด้วยสายตาเย้ายวน อาโปเดินก้าวลงไปในอ่างนั้น มือหนาสัมผัสเข้าที่ผิวกายของศิลา ก่อนที่ริมฝีปากจะค่อยๆ บรรจงกดจูบลงบริเวณหัวไหล่แล้วเริ่มไล้ขึ้นไปตามซอกคอ เสียงครางดังลอดออกมาเบาๆ จากลำคอของคนน้อง มือของทั้งสองคนปัดป่ายไปตามลำตัวของอีกฝ่ายอย่างช่ำชอง “อื้อ...” ศิลาร้องออกมาเบาๆ เมื่ออาโปออกแรงขบกัดที่บริเวณลำคออย่างไม่แรงมากนัก ริมฝีปากบดจูบกันอยู่ครู่ใหญ่เมื่ออาโปยินเสียงร้องออกมาจากปากนั้น มือหนาของอาโปโอบล้อมเข้าที่รอบเอวของศิลาก่อนจะค่อยๆ ประคองให้คนน้องนั่งลงในอ่างนั้น กลิ่นหอมจากสบู่บนตัวของคนน้องยิ่งเพิ่มกามารมณ์ในตัวของคนพี่ให้ทวีมากยิ่งขึ้น “ตัวหอมจัง...” “พี่โป...ผมจั๊กจี้” ศิลาเอ่ยบอกเสียงแผ่วเมื่ออีกฝ่ายใช้ลิ้นร้อนเลียใบหูเป็นการหยอกล้อ “พี่ไม่แกล้งแล้วก็ได้” อาโปใช้ริมฝีปากซุกไซ้และโลมเลียไปตามผิวกายของศิลา ลิ้นร้อนเลื่อนผ่านไปยังบริเวณหน้าอกก่อนหยุดแวะชิมยอดอกสีน้ำตาลนั้นอยู่พักใหญ่แล้วค่อยๆ เคลื่อนลงไปด้านล่างอย่างช่ำชอง เมื่อลิ้นร้อนสัมผัสที่ตรงบริเวณนั้นสีหน้าของศิลาก็เปลี่ยนไปในนั้น เสียงครางลอดออกมาจากลำคอก่อนที่เขาจะเผลอขบกัดริมฝีปากล่างของตัวเอง เพราะความรู้สึกมันแผ่ซ่านเกินกว่าจะทนเฉยไว้ได้ “อื้อ... พี่โป...” มือบางขยุ้มเส้นผมบนศีรษะของคนพี่เมื่อเริ่มจะรับไม่ไหว “...” “พอก่อนครับ” ศิลาออกแรงดันหัวของอาโปออก “ทำไมล่ะครับ” “ให้ผมทำให้พี่บ้างดีกว่าครับ” ศิลาดึงตัวอาโปให้ยืนขึ้นก่อนตัวเองจะนั่งคุกเข่าลงไปเพื่อใช้ลิ้นร้อนสัมผัสแกนกลางของร่างกายอีกฝ่ายที่กำลังตั้งรับอย่างเอาจริงเอาจัง “อ่า...” เสียงทุ้มครางออกมาพร้อมยกยิ้มมุมปาก เมื่อคนน้องขยับริมฝีปากมาครอบบริเวณส่วนนั้นจนมิด “อื้อ...” เสียงร้องในลำคอดังขึ้นเมื่ออาโปเริ่มขยับตัวเข้าออก ศิลาใช้สองมือจับบริเวณสะโพกของคนพี่เพื่อเป็นหลักยึดเมื่ออาโปเริ่มเพิ่มแรงและความถี่มากขึ้น เสียงหอบหายใจดังขึ้นสลับกับเสียงครางในลำคอตลอดเวลา นิ้วเรียวจิกเล็บลงไปบนผิวสะโพกเมื่อรู้สึกถึงความรุนแรงที่อีกมอบให้ มันทั้งหนักทั้งลึกขึ้นกว่าตอนที่เริ่มศิลาจึงตีที่ต้นขาของอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อเป็นสัญญาณว่าให้ชะลอลงหน่อย ศิลาถอนริมฝีปากออกมาพร้อมกลืนน้ำลายเสียอึกใหญ่ก่อนจะนั่งหอบหายใจเงยหน้ามองอาโปแล้วยิ้มบางออกมา เวลานี้ขอนั่งพักหายใจก่อนแล้วกัน เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ทำเอาเขารู้สึกแทบจะขาดใจตาย อาโปหย่อนตัวนั่งลงประชันหน้ากับศิลาก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปกดจูบอีกครั้งเพื่อเริ่มเกมต่อไปทันที เพราะในเวลานี้จะให้มาหยุดกลางคันก็คงไม่ใช่ แขนทั้งสองสอดเข้าช้อนขาทั้งสองข้างของศิลาให้ตั้งขึ้นแล้วจึงเริ่มกระทำการตามใจอยาก เสียงผิวหนังที่กระทบกันดังก้องไปทั่วบริเวณห้องน้ำผสานทับกับเสียงน้ำจากฝักบัวที่แผ่ซ่านกระเซ็นไปตามจังหวะ คำร้องไม่เป็นภาษาดังแทรกออกมาบ้างอยู่เป็นระยะ ไอความร้อนจากร่างกายของคนทั้งคู่ปะทุออกมาจนไม่แน่ใจว่าน้ำที่กำลังอาบนั้น อุ่นเพราะเครื่องทำน้ำอุ่นหรือเพราะไฟราคะที่กำลังลุกโชนอยู่กันแน่ จากนั่งผลัดเป็นยืนจนบางครั้งก็เปลี่ยนเป็นนอนราบไปกับพื้นกว้างก็ไม่มีท่าทีของความเหน็ดเหนื่อยออกมาให้เห็น เพราะทั้งอาโปและศิลาต่างก็เต็มที่กับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่เป็นอย่างมาก แม้สีหน้าอาจจะดูเจ็บปวดในบางครั้งแต่มันเต็มอิ่มไปด้วยความสุขที่ฉายออกมาทางแววตา นับเป็นการอาบน้ำที่เรียกได้ว่าแทบจะนานที่สุดในชีวิตของคนทั้งคู่ เพราะมีกิจกรรมบางอย่างสอดแทรกเข้ามาในช่วงเวลานั้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่ปะทุขึ้นมาพอดี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ทั้งสองคนจะรู้สึกรู้สาอะไรนอกไปจากความตื่นเต้นที่ได้ลองทำอะไรๆ ในสถานที่แปลกใหม่ดูบ้างถึงแม้ว่ามือจะเปื่อยไปเสียหน่อยก็ตาม อาโปและศิลาช่วยกันอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายจนเสร็จสรรพก็พากันเช็ดตัวแล้วเดินออกมาด้านนอก ต่างฝ่ายต่างก็หาเสื้อผ้าเพื่อแต่งตัวสำหรับการออกไปเดินเล่นหาของกินเป็นมื้อเย็นที่ถนนคนเดิน “เราจะไปยังไงกันดี” อาโปเอ่ยถามหลังจากที่พากันเดินลงมาที่ล็อบบี้ “ผมถามพนักงานมาแล้วครับ เขาบอกว่าออกจากโรงแรมไปให้เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไปตามเส้นถนนแป๊บเดียวก็เจอแล้วครับ” ศิลาบอกแล้วคว้ามือของอาโปไว้ก่อนจะเดินออกไป ฟ้าเริ่มมืดลงแล้วในตอนที่ทั้งคู่เดินออกจากบริเวณที่พักแสงไฟสีขาวสีส้มละลานตาไปหมดตลอดเส้นทางที่เขาทั้งคู่เดินมา ศิลาที่หันหลังกลับไปมองทางโรงแรมก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า โรงแรมในตอนกลางคืนท่ามกลางแสงไฟสีส้มก็ดูสวยและโรแมนติกอยู่ไม่น้อย เสียงพูดคุยของผู้คนเริ่มดังใกล้เข้ามาเมื่ออาโปและศิลาเดินมาจนใกล้ถึงถนนคนเดิน เสียงพ่อค้าแม่ขายที่ร้องเรียกนักท่องเที่ยวให้แวะซื้อข้าวของที่ตนน้ำมาขายก็ดังอยู่ตลอดทาง ทั้งคนพี่และคนน้องต่างก็มองซ้ายมองขวาไปตลอดทุกร้านเพราะมีแต่ของที่น่าสนใจ ของกินบางอย่างเขาทั้งคู่ก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ “อยากกินขนมจีนน้ำเงี้ยวร้านนั้นจังครับ” ศิลาชี้ให้อาโปดู “เอามั้ยล่ะ” “ขอเดินเข้าไปดูก่อนได้มั้ยครับ” “ไปสิ” ศิลายิ้มแล้วก้าวขายาวพุ่งตรงเข้าไปที่หน้าร้านทันที สายตาของเขาจับจ้องกับน้ำเงี้ยวในหม้อที่ดูน่ากินเสียจนเขาอดจะกลืนน้ำลายไม่ได้ เขารีบสั่งทันทีก่อนจะหันมาถามอาโปที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ว่าจะกินด้วยกันมั้ย แต่คนพี่ก็ปฏิเสธไม่ใช่ว่าไม่ชอบแต่เพราะเขากินไม่เป็นต่างหาก อาโปไม่ใช่คนเลือกกินหรอกนะ เพียงแต่ของที่กินได้มันน้อยต่างหาก “เป็นไงมั่ง” อาโปเอ่ยถามหลังได้ยินเสียงสูดเส้นขนมจีนดังลั่น ก่อนคนน้องจะเคี้ยวจนแก้มตุ่ย “อื้มมม” ศิลาพยักหน้าแล้วส่งเสียงตอบรับแทนคำพูด เพราะขนมจีนคำโตทำให้ไม่สามารถอ้าปากตอบในตอนนี้ได้ “อร่อยก็ดีละ ปะ! ไปต่อกันเถอะ” อาโปเดินนำไปทางที่มีแต่ร้านอาหารตั้งยาวทั้งแถบ ละลานตาไปหมดจนเขาก็ไม่รู้จะเลือกกินอะไรดีเพราะมันก็น่าชวนชิมไปซะทั้งหมด ขณะเดียวกับที่เขายังติดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้ออะไรดี แต่คนน้องอย่างศิลาก็แวะซื้อเกือบทุกร้านจนถุงของกินเต็มไม้เต็มมือไปหมด เสียงดนตรีพื้นเมืองดังแว่วใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อาโปชะโงกมองหน้าว่าต้นตอของเสียงอยู่ที่ไหนก่อนจะเดินนำหน้าไปโดยมีศิลาเดินตามหลังต้อยๆ ถ้าเป็นเรื่องดนตรีมักจะดูดดึงความสนใจจากอาโปได้อยู่เสมอ “เพราะจัง” อาโปเอ่ยพูดออกมาเมื่อยืนมองวงดนตรีเปิดหมวกไปได้สักพัก “จริงครับ” เสียงอู้อี้ดังตอบทำเอาอาโปต้องหันไปดูแล้วหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ กินให้หมดก่อนก็ได้ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก” “ก็เพลงมันเพราะจริงๆ นี่ครับ” “เนอะ อากาศก็ดีด้วย” อาโปพูดแล้วเอื้อมมือไปโอบเอวของศิลาเอาไว้ “เราขึ้นดอยกันพรุ่งนี้ใช่มั้ยครับพี่โป” ศิลาถามขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ “ช่าย” “อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ จัง” ศิลาพูดพลางหยิบน้ำขึ้นมาจิบ “หนูอยากขึ้นดอยขนาดนั้นเลยหรอ” “ช่ายยยย อากาศเย็นๆ แบบนี้ต้องรีบเลย กลัวเดี๋ยวจะร้อนซะก่อน จะเที่ยวดอยไม่สนุกเอาครับ” “อดใจ อีกไม่กี่ชั่วโมงเอง ต้องตื่นตีห้านะ” “ได้ดิครับ ผมพร้อม” ศิลาบอกพร้อมทำหน้าตามุ่งมั่นที่ดูจะน่ารักเสียมากกว่า “จัดไป พี่จองที่พักแบบโดมไว้นะ จะได้ถ่ายรูปสวยๆ” “อาเคครับ” คืนนั้นจบทริปถนนคนเดินด้วยการที่ศิลากลับมานอนท้องอืดอยู่ที่โรงแรม แรกๆ อาโปก็สงสารอยู่หรอกแต่พอนึกขึ้นได้ว่าศิลากินเข้าไปเยอะแค่ไหนก็ได้แต่หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู สำหรับอาโปไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนศิลาก็ยังคงดูเป็นเด็กที่น่ารักสดใสเหมือนวันแรกที่เจอกันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง... นาฬิกาปลุกดังแทรกความเงียบขึ้นมาในเช้าตรู่วันถัดมา อาโปสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยกมือมาขยี้ตาเบาๆ แล้วค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น จากนั้นจึงเอื้อมมือไปหยิบมือถือขึ้นมากดปิดเสียงปลุกนั้นพร้อมจ้องมองตัวเลขที่โชว์เด่นอยู่บนหน้าจอบอกเวลาตีห้า อาโปผุดลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเร่งทำธุระส่วนตัวให้เสร็จตามเวลา ก่อนจะเดินมาปลุกศิลาที่ยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงให้ตื่นขึ้น เสียงงัวเงียราวกับบ่นดังงึมงำออกมาจากปากคนน้องก่อนจะลุกเดินเข้าห้องน้ำไป “พร้อมนะ ไม่ลืมอะไรใช่มั้ย” อาโปเอ่ยถามเมื่อศิลาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย “ครับ” ศิลาพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยเหมือนยังไม่ตื่นดี “งั้นไปกันเถอะหนู” ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ทั้งอาโปและศิลาก็มาถึงที่พักบนม่อนแจ่ม ตอนแรกอาโปก็คาดเดาเอาไว้ว่าคนน่าจะต้องเยอะเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนนิยม แต่ก็ผิดคาดเพราะคนบางตากว่าที่คิดเอาไว้ อาจจะเพราะเขาทั้งคู่เดินทางมาในช่วงเวลาที่ไม่ใช่ฤดูแห่งการท่องเที่ยวก็เป็นได้ ซึ่งเขาเองก็คิดว่าโชคดีแล้วที่คนไม่เยอะเพราะทางเดินรถเข้ามายังที่พักค่อนข้างแคบ เขาคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าถ้ามีจำนวนคนที่เยอะมากกว่านี้การจราจรจะวุ่นวายขนาดไหน ที่พักของเขาทั้งคู่มีลักษณะเป็นโดมทรงกลมสีขาว มีระเบียงให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจชมวิวรอบๆ จากมุมที่พักหลังที่พวกเขากำลังเดินเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บซึ่งมันแทบจะเป็นมุมที่ดีที่สุดของที่พักนี้ มองออกไปเห็นวิวภูเขากว้างไกลโอบล้อมรอบทุกทิศทาง ดอกไม้หลากสีแต่งแต้มอยู่ทั่วทุกบริเวณราวกับเป็นศิลปะชิ้นหนึ่งที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นมา “ไม่มีแอร์เลยหรอ” ศิลาพึมพำขึ้นมาเบาๆ เมื่อเดินเข้ามาภายในโดมที่พักแล้วเห็นแต่พัดลมไอน้ำตั้งอยู่ “จะมีทำไมล่ะครับ ที่นี่กลางคืนมันหนาวนะ” อาโปบอกเมื่อเดินตามเข้ามาภายในโดม “ก็จริงครับ นี่กลางวันอากาศยังเย็นๆ เลย” “ช่าย” “แต่ผมกลัวจะหายใจไม่ออก มันไม่ชินอะพี่โป” ศิลาพูดพลางลูบแขนทั้งสองข้างของตัวเองเบาๆ “หนาวเหรอ” อาโปเอ่ยถาม “เย็นๆ นิดหน่อยอะครับ” ศิลาตอบก่อนจะเอนหลังทิ้งตัวลงบนที่นอน อาโปยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาก่อนจะยกยิ้มมุมปากแล้วขยับตัวไปเอนนอนตะแคงมองหน้าคนน้อง แล้วเอามือเขี่ยที่จมูกของอีกฝ่ายเบาๆ “งั้นเราหาอะไรทำแก้หนาวกันก่อนดีมั้ยครับ” “พี่โป เดี๋ยวคนอื่นเห็น” “จะมาเห็นได้ไง โดมเราอยู่บนสุด ไม่มีใครขึ้นมารบกวนเราอยู่แล้วครับ” “แต่เดี๋ยวคนอื่นได้ยินไง” “หนูก็ร้องเบาๆ สิครับ” “โห... งั้นพี่โปก็ทำให้มันเบาๆ สิครับ” ศิลายู่ปากแล้วบีบจมูกอาโปเบาๆ ก่อนจะใช้นิ้วไล้ไปตามสันจมูกลงมาที่ริมฝีปากแล้วค่อยๆ เลื่อนลงมาที่คาง “จะพยายามแล้วกันนะครับ” แววตาเจ้าเล่ห์ของอาโปฉายชัดราวกับเป็นคนละคนจนศิลาที่เผชิญหน้าอยู่รู้สึกใจวูบไหว ก็ไอ้แววตาแบบนี้แหละที่ศิลารู้สึกแพ้มาโดยตลอด... อาโปบรรจงก้มลงประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของศิลาอย่างแผ่วเบา ทุกห้วงจังหวะเป็นไปแบบเนิบช้า เรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยความเสน่หา ความต้องการของคนทั้งคู่เริ่มถูกปลุกให้ลุกโชนขึ้นทีละนิด มือหนาเคลื่อนไปตามต้นขาของคนน้องก่อนจะคลำสัมผัสที่ตื่นตัวผ่านกางเกงยีนตัวหนา ทันทีที่เขาสัมผัสได้ถึงสิ่งที่กำลังแสดงความพร้อม ใจของอาโปก็เริ่มเต้นแรง เพราะสิ่งเหล่านี้ยังคงดูน่าตื่นเต้นกับเขาอยู่เสมอ น้องพร้อมตัวเขาก็พร้อมแล้วเหมือนกัน... แม้ในใจอยากจะกระชากทุกอย่างที่ขวางออกให้หมดเพราะแทบจะอดรนทนไม่ไหว แต่อาโปก็ยังรู้สึกไม่ดีถ้าจะทำแบบนั้น ก็เพราะคนที่นอนอยู่ตรงหน้ามันช่างน่าทะนุถนอมเสียจนเขาไม่กล้าที่จะรุนแรงออกไป มือหนาเริ่มเปลื้องเข็มขัดและเครื่องแต่งกายที่ปิดคลุมผิวกายของศิลาออก ทีละชิ้น...ทีละชิ้น... เมื่อร่างกายเปลือยเปล่าของศิลาเปิดเผยออกมาให้อาโปได้เห็นก็ยิ่งทวีความต้องการของเขาให้เพิ่มมากขึ้น ลิ้นร้อนของเขาโลมเลียไล้ไปทั่วทุกบริเวณ ขับเน้นตรงช่วงอกเป็นพิเศษเพราะนับว่าเป็นจุดที่คนพี่ค่อนข้างจะชอบอกชอบใจเป็นพิเศษ แต่ก็ยังคงเป็นรองกับส่วนที่อยู่ด้านล่างลงไปอีก อาโปปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาออกอย่างรวดเร็วก่อนจะหันไปพบว่าผ้าม่านตรงหน้าต่างยังคงเปิดอยู่ เขาจึงเอื้อมมือไปดึงปิดสักหน่อยเพื่อความปลอดภัย ถึงแม้จะมั่นใจว่าคงไม่มีใครผ่านมาแถวนี้ก็ตาม เขากลับมาสนใจเรือนร่างชวนลุ่มหลงตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะทำการลงมือตอบสนองความต้องการของตัวเองสักที บทเพลงรักเริ่มบรรเลงท่ามกลางอากาศเย็นๆ ในที่พักบนม่อนแจ่ม ลมโชยวูบไหวแผ่วเบาตามจังหวะที่อาโปมอบให้กับศิลา มือหนาของคนพี่คว้าหมับเข้าที่เอวบางของคนน้องเพื่อให้ท่วงท่านั้นกระชับและมั่นคงก่อนจะค่อยๆ ขยับอย่างเป็นจังหวะ ความเงียบจากบริเวณโดยรอบทำให้คนน้องไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมามากนักจึงทำให้ต้องพยายามกลั้นเสียงไว้ ถึงแม้ในบางจังหวะที่อาโปมอบให้จะรู้สึกวาบหวามจนอยากจะร้องออกมามากแค่ไหนก็ตาม ใบหน้าเหยเกของศิลาทำเอาอาโปที่อยู่ด้านบนอดสงสารไม่ได้แต่เขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะความใคร่ในตอนนี้มันทวีความต้องการอย่างสูงส่งจนเขาเองก็ไม่อาจจะควบคุมร่างกายได้อีกต่อไป “อ๊ะ!” ศิลาหลุดปากร้องออกมาเมื่ออาโปเพิ่มแรงกระแทกมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว สองมือจิกลงบนเตียงแน่น ริมฝีปากถูกขบเม้มเอาไว้เพื่อไม่ให้มีเสียงร้องหลุดรอดมาได้อีก “อื้ออออ!” เสียงครางในลำคอดังขึ้นอีกครั้งเมื่อคนพี่เพิ่มความถี่ในการขยับตัว แต่คราวนี้ศิลาก็ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป เขาปล่อยตัวปล่อยใจให้รู้สึกตามที่ร่างกายจะตอบสนองเพราะไม่อาจอดทนกับความเร่าร้อนที่อีกฝ่ายกำลังมอบให้ได้ โชคดีที่บริเวณโดยรอบของห้องพักหลังนี้ยังไม่มีแขกมาเข้าพัก เสียงแห่งความสัมพันธ์ที่ดังแว่วเบาๆ ออกมาจึงไม่มีใครได้ยิน “อ๊ะ! พี่โปครับ... บะ...เบาหน่อยครับ” ศิลาเอามือดันหน้าท้องของคนพี่เป็นสัญญาณให้ชะลอจังหวะลงสักหน่อย “ทำไมล่ะ” “ผมไม่ไหว กลัวคนได้ยิน” “อ่า...ไม่รับปากนะ” ลมพัดวูบใหญ่ปะทะเข้ากับตัวโดมที่พักเป็นจังหวะเดียวกับที่อาโปเริ่มปล่อยให้ความต้องการของร่างกายเป็นใหญ่กว่าความคิด ท่วงทีที่หนักหน่วงและร้อนแรงทำเอาทั้งสองคนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายแบบนี้ ศิลาไม่ได้รู้สึกกังวลอีกต่อไปปล่อยให้ร่างกายเป็นไปตามสัญชาตญาณจะตอบสนอง ความเร็วของแรงลมเป็นตัวบ่งชี้ถึงการกระทำของทั้งอาโปและศิลาในช่วงนี้ได้เป็นอย่างดี คนพี่ก็เต็มที่ และคนน้องก็ไม่มียั้ง เสียงพึบพับดังชัดจนไม่แน่ใจว่ามาจากเสียงลมพัดแรงหรือเสียงการกระทำของสองหนุ่มที่กำลังเสกความเร่าร้อนอยู่ภายในโดม แต่ก็เป็นเสียงที่ดังขึ้นไม่นานก่อนจะเงียบไปแล้วถูกแทนที่ด้วยเสียงหายใจหอบของทั้งอาโปและศิลา “เห้ออ...” อาโปถอนหายใจแล้วนอนแผ่หลา “ขอทิชชู่หน่อยครับ” ศิลาเอ่ยบอกคนตัวข้างๆ แล้วค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง “นี่ครับ” อาโปยื่นทิชชู่ที่หันไปดึงมาจากกล่องทิชชู่ที่วางไว้ตรงหัวเตียงให้คนน้อง ศิลาเช็ดทำความสะอาดคราบตามร่างกายจนเสร็จสรรพก่อนจะโยนทิ้งถุงขยะใบเล็กๆ ที่ทางที่พักเตรียมไว้ให้ แล้วนั่งมองคนพี่ที่นอนอยู่ข้างๆ “ไหนบอกจะทำเบาๆ ไงพี่” “หืม...” “นิสัยไม่ดี แกล้งผมอะ” ศิลาตีเบาๆ เข้าที่หน้าท้องอีกฝ่าย “แกล้งอะไร ก็บอกแล้วไงว่าไม่รับปาก” อาโปหัวเราะเบาๆ ในลำคอแต่ก็โดนศิลาฟาดมือไปที่หัวไหล่เบาๆ หนึ่งที “พี่ก็รู้ว่าที่นี่ร้องดังไม่ได้ แต่พี่ก็ไม่ยอมอ่อนโยนเลย” “เอาน่า ไม่มีใครรู้หรอกครับ” อาโปดันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปหยิบเสื้อผ้าของคนน้องมายื่นให้อีกฝ่ายใส่ แล้วเขาก็คลานไปคว้าหยิบเสื้อของตัวเองมาใส่ด้วย “ตั้งใจมาขึ้นดอย ดันได้ขึ้นสวรรค์ก่อนเฉย” ศิลาแซว “พี่เก่งปะล่ะ!” อาโปยักคิ้วถาม “ก็...ดี...” “เหรอ แค่ก็ดีเหรอ” “พี่โปเก่งที่สุดเลยค้าบบบบบบ ไม่มีใครเก่งกว่าพี่แล้ววว” ศิลาเอ่ยประชดด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่ดูน่ารักจนอาโปที่นั่งมองอยู่อดเอ็นดูไม่ไหว ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาและอากาศเย็นสบาย กลิ่นไอของความสุขอบอวลไปทั่วบริเวณนั้นเคล้าเสียงหัวเราะของทั้งอาโปและศิลาที่ยังคงหยอกล้อกันต่อดังแว่วออกมา The End

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

Light in the Dark เปลี่ยนร้ายให้เป็นรัก

read
1K
bc

ตราบมนตรา

read
1.1K
bc

ผมรักนายmy bad boy (Mpreg)

read
3.2K
bc

ขยับเพื่อนเลื่อนเป็นรัก

read
1K
bc

ไฟผลาญ

read
1K
bc

ตรวนใจนายหัว

read
1.5K
bc

หนุ่มร้อนรัก

read
2.1K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook