กลุ่มหมอกสีขาวปกคลุมไปทั่วบริเวณตลอดระยะเวลาช่วงเช้าที่รถยนต์คันคุ้นตาเคลื่อนตัวไปตามเส้นถนน ศิลาที่นอนหลับคอพับอยู่ที่เบาะฝั่งคนนั่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นเมื่อรถคันที่โดยสารอยู่ขับผ่านลูกระนาด รถกระเด้งจนปลุกให้คนน้องตื่นขึ้นจากการหลับใหล
“อื้อ...”
“ขอโทษครับ” อาโปหันมาพูดกับศิลาเมื่อเห็นว่าคนน้องตื่น
“ถึงไหนแล้วอะครับ” ศิลาเอ่ยถามพลางมองออกไปด้านนอกตัวรถ
“อีกสักพักก็ถึงแล้วล่ะ ไม่เกินครึ่งชั่วโมง”
“อ่อ ครับ” ศิลาพยักหน้ารับแล้วประสานมือทั้งสองข้างเข้าหากันก่อนจะยืดแขนตรงเหยียดออกไปเพื่อขับไล่ความเมื่อยหล้าที่นั่งรถมาเป็นเวลานาน “เมื่อยจัง”
“พี่พาหนูมาลำบากหรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่หรอกครับ ชิลๆ พี่”
ศิลาตอบแล้วยิ้มกลับไปให้อาโปเพราะหวังว่าอีกฝ่ายจะได้สบายใจขึ้น จริงๆ เขาก็แอบรู้สึกว่ามันลำบากนิดหน่อยกับการที่ต้องนั่งรถนานๆ เพื่อมาเชียงใหม่ ทั้งที่จริงๆ แล้วการนั่งเครื่องบินก็สบายกว่ากันตั้งเยอะแถมยังประหยัดเวลากว่านี้ แต่เขาก็ไม่กล้าจะบ่นอะไรมากนักหรอกเพราะเขาก็รู้สึกอยากจะตามใจอาโปบ้างก็เท่านั้น
ดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวสูงขึ้นจากขอบฟ้าแสงสว่างและอุณหภูมิก็ของอากาศก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย กลุ่มหมอกที่ลอยหนาแน่นเมื่อตอนเช้าตรู่ก็เริ่มจางลงอย่างเห็นได้ชัดทำให้อาโปมองเห็นทางบนถนนได้สะดวกขึ้นมาก
“เดี๋ยวถึงโรงแรมผมขอนอนสักงีบนะครับ”
“นอนมาตลอดทางยังไม่หายง่วงอีกเหรอ” อาโปเอ่ยแซวพลางขำเบาๆ
“ก็มันไม่เหมือนกันนี่ครับ นอนในรถมันไม่สบายเหมือนนอนบนเตียงอะ” ศิลาตอบหน้ามุ่ยแล้วพลิกตัวหันออกไปมองบรรยากาศด้านนอก
ใช้เวลาเดินทางอยู่อีกพักใหญ่รถยนต์ของคนทั้งคู่จึงเดินทางมาถึงโรงแรมห้าดาวที่อาโปจองล่วงหน้าไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว ทันทีที่อาโปและศิลาเดินเข้ามาในบริเวณล็อบบี้ของโรงแรม พนักงานก็รีบเข้ามาทักทายต้อนรับโดยทันที พอเช็กอินเสร็จทั้งคู่ก็เดินตรงเข้าลิฟต์ขึ้นไปยังห้องพักเพราะอยากจะเอนหลังงีบสักหน่อยหลังจากขับรถมาเป็นระยะเวลานาน
อาโปแตะคีย์การ์ดเข้าที่ประตูหน้าห้องพอเสียงสัญญาณดังขึ้น มือขวาที่ว่างอยู่ก็เอื้อมขึ้นมาจับลูกบิดประตูแล้วออกแรงดึงก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปข้างใน สองเท้าของคนพี่ก้าวเข้าไปโดยมีคนน้องเดินตามเข้ามา ก่อนทั้งคู่จะถอดรองเท้าแล้วหยิบเอาสลิปเปอร์ของโรงแรมที่หย่อนไว้ในลิ้นชักของตู้เสื้อผ้าออกมาสวมแล้วเดินเข้าไป กระเป๋าสัมภาระถูกเลื่อนเข้าไปอยู่ในมุมของห้อง ส่วนตัวอาโปก็เดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทันที ฝ่ายศิลาก็เดินสำรวจไปรอบๆ ห้องเพื่อดูว่ามีอะไรยังไงบ้าง และสิ่งที่เรียกความตื่นเต้นให้กับศิลาได้นั่นก็คือพื้นที่บริเวณห้องน้ำนั่นเอง
ห้องน้ำของห้องนี้ที่ดูเหมือนเป็นพื้นที่ปิดแต่จริงๆ มันคือพื้นที่เปิด เพราะตั้งแต่ที่อาโปเลือกหาโรงแรมผ่านในเว็บไซต์รวบรวมโรงแรม เขาก็สะดุดตากับที่นี่ทันทีเพราะเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโรงแรมนี้ แถมห้องน้ำยังน่าสนใจอีกด้วย เหมาะสำหรับการมาท่องเที่ยวกับแฟนแบบสองต่อสอง
เพราะอะไรน่ะเหรอ...
เพราะว่าผนังห้องน้ำที่กั้นระหว่างพื้นที่ส่วนของห้องน้ำกับบริเวณห้องนอนมันสามารถเลื่อนเปิดออกได้น่ะสิ ถึงแม้จะมีกระจกกั้นอยู่หลังจากเลื่อนผนังบานนั้นออก แต่มันก็เป็นแผ่นกระจกใสกิ๊กที่สามารถมองเห็นทั้งสองด้านได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ภายในห้องน้ำมีอ่างจากุซซี่ขนาดใหญ่อยู่ด้านใน ศิลาเดินเข้าไปใกล้แล้วก้าวลงไปนั่งด้านใน มันใหญ่เสียจนคนสองคนลงไปนอนในนั้นแล้วก็ยังมีพื้นที่เหลือๆ
“ถ่ายรูปสวยแน่ๆ เลยมุมนี้” ศิลาเอ่ยพูดแล้วมองออกไปเห็นอาโปนอนตะแคงอยู่บนเตียงแล้วหันหน้ามามองเขา ศิลาก็เลยโบกมือให้พร้อมยิ้มกว้าง
อาโปนอนดูศิลาถ่ายเซลฟี่ด้วยความร่าเริงอยู่หลากหลายมุม โดยเฉพาะในอ่างจากุซซี่นั้นที่ดูว่าคนน้องจะชอบอกชอบใจเป็นพิเศษ เขานอนมองแฟนตัวเองที่กำลังร่าเริงอยู่แบบนั้นก่อนจะเผลอหลับไปเพราะความอ่อนเพลียที่กัดกินร่างกาย เนื่องมาจากการเดินทางอันแสนยาวนานกว่าสิบชั่วโมง
เวลาช่วงบ่ายผ่านไปแบบเรียบง่ายเพราะอาโปหลับยาวเสียจนศิลาไม่กล้าปลุก คนน้องจึงใช้เวลานอนดูหนังในไอแพดอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่นจนเกือบสี่โมงเย็นอันเป็นเวลาที่หนังจบลงพอดี ศิลามองนาฬิกาที่ปรากฏอยู่บนมุมจอไอแพดก่อนจะตัดสินใจลุกไปอาบน้ำ เพราะตอนเย็นเขาแพลนว่าจะชวนอาโปออกไปเดินหาอะไรกินที่ด้านนอก วันนี้มีถนนคนเดินซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมที่เขาพักอยู่เท่าไหร่นัก
เสื้อผ้าที่ปกคลุมอยู่บนตัวของศิลาถูกปลดเปลื้องออกลงไปกองอยู่บนพื้น ก่อนจะถูกหยิบไปโยนวางไว้บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ร่างกายเปลือยเปล่าเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วคว้าผ้าขนหนูเช็ดตัวที่ถูกพับวางไว้ใต้อ่างล่างหน้ามาสะบัดออกแล้วแขวนไว้ตรงประตู ขายาวก้าวลงไปในอ่างอาบน้ำแล้วมือเรียวก็ยื่นไปเปิดน้ำจากฝักบัวให้ไหลรินลงมาปะทะกับผิวกาย ความเย็นของน้ำเรียกให้ร่างบางสะดุ้งนิดหน่อย เขาเอื้อมไปบิดก๊อกน้ำให้เลื่อนไปทางซ้ายเพื่อปรับน้ำให้อุ่นขึ้น
เสียงน้ำจากฝักบัวที่ไหลลงกระทบพื้นกระเบื้องในห้องน้ำดังลอดผ่านกระจกใสออกมาเบาๆ ถึงจะไม่ได้มากแต่ก็สามารถปลุกให้อาโปตื่นขึ้นจากการหลับใหลได้ เปลือกตาของอาโปขยับเล็กน้อยแล้วค่อยๆ เปิดขึ้น เขาพลิกตัวกลับมาอีกฝั่ง พลันสายตาของเขาก็จดจ้องอยู่ที่ร่างกายเปลือยเปล่าเผยให้เห็นผิวสองสีของศิลาที่กำลังยืนให้น้ำไหลผ่านผิวกายลงสู่เบื้องล่าง
ภาพตรงหน้ามันช่างเย้ายวนกิเลสที่ซ่อนอยู่ภายในตัวของอาโปที่หลับใหลให้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับร่างกายของเขา อาโปยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วคว้าขวดน้ำที่วางอยู่ตรงหัวเตียงขึ้นดื่มก่อนจะค่อยๆ ลุกยืนปลดเสื้อผ้าของตัวเองออกแล้วเดินตรงเข้าห้องน้ำไป
แกร๊ก!
เสียงเปิดประตูห้องน้ำเรียกเอาศิลาที่กำลังเพลิดเพลินกับการอาบน้ำให้หันมามอง เมื่อเขาหันมาพบเข้ากับคนตรงหน้าศิลาก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะตกใจสักเท่าไหร่เพราะความคุ้นเคยมานานหลายปี สายตาจดจ้องไล่เรียงตั้งแต่ใบหน้าของอาโปเคลื่อนลงไปเรื่อยๆ จนทั่วทุกส่วนของร่างกาย ก่อนจะเงยขึ้นมองหน้าคนพี่อีกครั้งด้วยสายตาเย้ายวน
อาโปเดินก้าวลงไปในอ่างนั้น มือหนาสัมผัสเข้าที่ผิวกายของศิลา ก่อนที่ริมฝีปากจะค่อยๆ บรรจงกดจูบลงบริเวณหัวไหล่แล้วเริ่มไล้ขึ้นไปตามซอกคอ เสียงครางดังลอดออกมาเบาๆ จากลำคอของคนน้อง มือของทั้งสองคนปัดป่ายไปตามลำตัวของอีกฝ่ายอย่างช่ำชอง
“อื้อ...” ศิลาร้องออกมาเบาๆ เมื่ออาโปออกแรงขบกัดที่บริเวณลำคออย่างไม่แรงมากนัก
ริมฝีปากบดจูบกันอยู่ครู่ใหญ่เมื่ออาโปยินเสียงร้องออกมาจากปากนั้น มือหนาของอาโปโอบล้อมเข้าที่รอบเอวของศิลาก่อนจะค่อยๆ ประคองให้คนน้องนั่งลงในอ่างนั้น กลิ่นหอมจากสบู่บนตัวของคนน้องยิ่งเพิ่มกามารมณ์ในตัวของคนพี่ให้ทวีมากยิ่งขึ้น
“ตัวหอมจัง...”
“พี่โป...ผมจั๊กจี้” ศิลาเอ่ยบอกเสียงแผ่วเมื่ออีกฝ่ายใช้ลิ้นร้อนเลียใบหูเป็นการหยอกล้อ
“พี่ไม่แกล้งแล้วก็ได้”
อาโปใช้ริมฝีปากซุกไซ้และโลมเลียไปตามผิวกายของศิลา ลิ้นร้อนเลื่อนผ่านไปยังบริเวณหน้าอกก่อนหยุดแวะชิมยอดอกสีน้ำตาลนั้นอยู่พักใหญ่แล้วค่อยๆ เคลื่อนลงไปด้านล่างอย่างช่ำชอง
เมื่อลิ้นร้อนสัมผัสที่ตรงบริเวณนั้นสีหน้าของศิลาก็เปลี่ยนไปในนั้น เสียงครางลอดออกมาจากลำคอก่อนที่เขาจะเผลอขบกัดริมฝีปากล่างของตัวเอง เพราะความรู้สึกมันแผ่ซ่านเกินกว่าจะทนเฉยไว้ได้
“อื้อ... พี่โป...” มือบางขยุ้มเส้นผมบนศีรษะของคนพี่เมื่อเริ่มจะรับไม่ไหว
“...”
“พอก่อนครับ” ศิลาออกแรงดันหัวของอาโปออก
“ทำไมล่ะครับ”
“ให้ผมทำให้พี่บ้างดีกว่าครับ” ศิลาดึงตัวอาโปให้ยืนขึ้นก่อนตัวเองจะนั่งคุกเข่าลงไปเพื่อใช้ลิ้นร้อนสัมผัสแกนกลางของร่างกายอีกฝ่ายที่กำลังตั้งรับอย่างเอาจริงเอาจัง
“อ่า...” เสียงทุ้มครางออกมาพร้อมยกยิ้มมุมปาก เมื่อคนน้องขยับริมฝีปากมาครอบบริเวณส่วนนั้นจนมิด
“อื้อ...” เสียงร้องในลำคอดังขึ้นเมื่ออาโปเริ่มขยับตัวเข้าออก ศิลาใช้สองมือจับบริเวณสะโพกของคนพี่เพื่อเป็นหลักยึดเมื่ออาโปเริ่มเพิ่มแรงและความถี่มากขึ้น
เสียงหอบหายใจดังขึ้นสลับกับเสียงครางในลำคอตลอดเวลา นิ้วเรียวจิกเล็บลงไปบนผิวสะโพกเมื่อรู้สึกถึงความรุนแรงที่อีกมอบให้ มันทั้งหนักทั้งลึกขึ้นกว่าตอนที่เริ่มศิลาจึงตีที่ต้นขาของอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อเป็นสัญญาณว่าให้ชะลอลงหน่อย
ศิลาถอนริมฝีปากออกมาพร้อมกลืนน้ำลายเสียอึกใหญ่ก่อนจะนั่งหอบหายใจเงยหน้ามองอาโปแล้วยิ้มบางออกมา เวลานี้ขอนั่งพักหายใจก่อนแล้วกัน เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ทำเอาเขารู้สึกแทบจะขาดใจตาย
อาโปหย่อนตัวนั่งลงประชันหน้ากับศิลาก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปกดจูบอีกครั้งเพื่อเริ่มเกมต่อไปทันที เพราะในเวลานี้จะให้มาหยุดกลางคันก็คงไม่ใช่ แขนทั้งสองสอดเข้าช้อนขาทั้งสองข้างของศิลาให้ตั้งขึ้นแล้วจึงเริ่มกระทำการตามใจอยาก
เสียงผิวหนังที่กระทบกันดังก้องไปทั่วบริเวณห้องน้ำผสานทับกับเสียงน้ำจากฝักบัวที่แผ่ซ่านกระเซ็นไปตามจังหวะ คำร้องไม่เป็นภาษาดังแทรกออกมาบ้างอยู่เป็นระยะ ไอความร้อนจากร่างกายของคนทั้งคู่ปะทุออกมาจนไม่แน่ใจว่าน้ำที่กำลังอาบนั้น อุ่นเพราะเครื่องทำน้ำอุ่นหรือเพราะไฟราคะที่กำลังลุกโชนอยู่กันแน่
จากนั่งผลัดเป็นยืนจนบางครั้งก็เปลี่ยนเป็นนอนราบไปกับพื้นกว้างก็ไม่มีท่าทีของความเหน็ดเหนื่อยออกมาให้เห็น เพราะทั้งอาโปและศิลาต่างก็เต็มที่กับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่เป็นอย่างมาก แม้สีหน้าอาจจะดูเจ็บปวดในบางครั้งแต่มันเต็มอิ่มไปด้วยความสุขที่ฉายออกมาทางแววตา
นับเป็นการอาบน้ำที่เรียกได้ว่าแทบจะนานที่สุดในชีวิตของคนทั้งคู่ เพราะมีกิจกรรมบางอย่างสอดแทรกเข้ามาในช่วงเวลานั้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่ปะทุขึ้นมาพอดี แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ทั้งสองคนจะรู้สึกรู้สาอะไรนอกไปจากความตื่นเต้นที่ได้ลองทำอะไรๆ ในสถานที่แปลกใหม่ดูบ้างถึงแม้ว่ามือจะเปื่อยไปเสียหน่อยก็ตาม
อาโปและศิลาช่วยกันอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายจนเสร็จสรรพก็พากันเช็ดตัวแล้วเดินออกมาด้านนอก ต่างฝ่ายต่างก็หาเสื้อผ้าเพื่อแต่งตัวสำหรับการออกไปเดินเล่นหาของกินเป็นมื้อเย็นที่ถนนคนเดิน
“เราจะไปยังไงกันดี” อาโปเอ่ยถามหลังจากที่พากันเดินลงมาที่ล็อบบี้
“ผมถามพนักงานมาแล้วครับ เขาบอกว่าออกจากโรงแรมไปให้เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไปตามเส้นถนนแป๊บเดียวก็เจอแล้วครับ” ศิลาบอกแล้วคว้ามือของอาโปไว้ก่อนจะเดินออกไป
ฟ้าเริ่มมืดลงแล้วในตอนที่ทั้งคู่เดินออกจากบริเวณที่พักแสงไฟสีขาวสีส้มละลานตาไปหมดตลอดเส้นทางที่เขาทั้งคู่เดินมา ศิลาที่หันหลังกลับไปมองทางโรงแรมก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่า โรงแรมในตอนกลางคืนท่ามกลางแสงไฟสีส้มก็ดูสวยและโรแมนติกอยู่ไม่น้อย
เสียงพูดคุยของผู้คนเริ่มดังใกล้เข้ามาเมื่ออาโปและศิลาเดินมาจนใกล้ถึงถนนคนเดิน เสียงพ่อค้าแม่ขายที่ร้องเรียกนักท่องเที่ยวให้แวะซื้อข้าวของที่ตนน้ำมาขายก็ดังอยู่ตลอดทาง ทั้งคนพี่และคนน้องต่างก็มองซ้ายมองขวาไปตลอดทุกร้านเพราะมีแต่ของที่น่าสนใจ ของกินบางอย่างเขาทั้งคู่ก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“อยากกินขนมจีนน้ำเงี้ยวร้านนั้นจังครับ” ศิลาชี้ให้อาโปดู
“เอามั้ยล่ะ”
“ขอเดินเข้าไปดูก่อนได้มั้ยครับ”
“ไปสิ”
ศิลายิ้มแล้วก้าวขายาวพุ่งตรงเข้าไปที่หน้าร้านทันที สายตาของเขาจับจ้องกับน้ำเงี้ยวในหม้อที่ดูน่ากินเสียจนเขาอดจะกลืนน้ำลายไม่ได้ เขารีบสั่งทันทีก่อนจะหันมาถามอาโปที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ว่าจะกินด้วยกันมั้ย แต่คนพี่ก็ปฏิเสธไม่ใช่ว่าไม่ชอบแต่เพราะเขากินไม่เป็นต่างหาก
อาโปไม่ใช่คนเลือกกินหรอกนะ เพียงแต่ของที่กินได้มันน้อยต่างหาก
“เป็นไงมั่ง” อาโปเอ่ยถามหลังได้ยินเสียงสูดเส้นขนมจีนดังลั่น ก่อนคนน้องจะเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
“อื้มมม” ศิลาพยักหน้าแล้วส่งเสียงตอบรับแทนคำพูด เพราะขนมจีนคำโตทำให้ไม่สามารถอ้าปากตอบในตอนนี้ได้
“อร่อยก็ดีละ ปะ! ไปต่อกันเถอะ”
อาโปเดินนำไปทางที่มีแต่ร้านอาหารตั้งยาวทั้งแถบ ละลานตาไปหมดจนเขาก็ไม่รู้จะเลือกกินอะไรดีเพราะมันก็น่าชวนชิมไปซะทั้งหมด ขณะเดียวกับที่เขายังติดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้ออะไรดี แต่คนน้องอย่างศิลาก็แวะซื้อเกือบทุกร้านจนถุงของกินเต็มไม้เต็มมือไปหมด
เสียงดนตรีพื้นเมืองดังแว่วใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อาโปชะโงกมองหน้าว่าต้นตอของเสียงอยู่ที่ไหนก่อนจะเดินนำหน้าไปโดยมีศิลาเดินตามหลังต้อยๆ ถ้าเป็นเรื่องดนตรีมักจะดูดดึงความสนใจจากอาโปได้อยู่เสมอ
“เพราะจัง” อาโปเอ่ยพูดออกมาเมื่อยืนมองวงดนตรีเปิดหมวกไปได้สักพัก
“จริงครับ” เสียงอู้อี้ดังตอบทำเอาอาโปต้องหันไปดูแล้วหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆ กินให้หมดก่อนก็ได้ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก”
“ก็เพลงมันเพราะจริงๆ นี่ครับ”
“เนอะ อากาศก็ดีด้วย” อาโปพูดแล้วเอื้อมมือไปโอบเอวของศิลาเอาไว้
“เราขึ้นดอยกันพรุ่งนี้ใช่มั้ยครับพี่โป” ศิลาถามขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้
“ช่าย”
“อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ จัง” ศิลาพูดพลางหยิบน้ำขึ้นมาจิบ
“หนูอยากขึ้นดอยขนาดนั้นเลยหรอ”
“ช่ายยยย อากาศเย็นๆ แบบนี้ต้องรีบเลย กลัวเดี๋ยวจะร้อนซะก่อน จะเที่ยวดอยไม่สนุกเอาครับ”
“อดใจ อีกไม่กี่ชั่วโมงเอง ต้องตื่นตีห้านะ”
“ได้ดิครับ ผมพร้อม” ศิลาบอกพร้อมทำหน้าตามุ่งมั่นที่ดูจะน่ารักเสียมากกว่า
“จัดไป พี่จองที่พักแบบโดมไว้นะ จะได้ถ่ายรูปสวยๆ”
“อาเคครับ”
คืนนั้นจบทริปถนนคนเดินด้วยการที่ศิลากลับมานอนท้องอืดอยู่ที่โรงแรม แรกๆ อาโปก็สงสารอยู่หรอกแต่พอนึกขึ้นได้ว่าศิลากินเข้าไปเยอะแค่ไหนก็ได้แต่หัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู
สำหรับอาโปไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนศิลาก็ยังคงดูเป็นเด็กที่น่ารักสดใสเหมือนวันแรกที่เจอกันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง...
นาฬิกาปลุกดังแทรกความเงียบขึ้นมาในเช้าตรู่วันถัดมา อาโปสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยกมือมาขยี้ตาเบาๆ แล้วค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น จากนั้นจึงเอื้อมมือไปหยิบมือถือขึ้นมากดปิดเสียงปลุกนั้นพร้อมจ้องมองตัวเลขที่โชว์เด่นอยู่บนหน้าจอบอกเวลาตีห้า
อาโปผุดลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเร่งทำธุระส่วนตัวให้เสร็จตามเวลา ก่อนจะเดินมาปลุกศิลาที่ยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงให้ตื่นขึ้น เสียงงัวเงียราวกับบ่นดังงึมงำออกมาจากปากคนน้องก่อนจะลุกเดินเข้าห้องน้ำไป
“พร้อมนะ ไม่ลืมอะไรใช่มั้ย” อาโปเอ่ยถามเมื่อศิลาแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย
“ครับ” ศิลาพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยเหมือนยังไม่ตื่นดี
“งั้นไปกันเถอะหนู”
ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ทั้งอาโปและศิลาก็มาถึงที่พักบนม่อนแจ่ม ตอนแรกอาโปก็คาดเดาเอาไว้ว่าคนน่าจะต้องเยอะเพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนนิยม แต่ก็ผิดคาดเพราะคนบางตากว่าที่คิดเอาไว้ อาจจะเพราะเขาทั้งคู่เดินทางมาในช่วงเวลาที่ไม่ใช่ฤดูแห่งการท่องเที่ยวก็เป็นได้ ซึ่งเขาเองก็คิดว่าโชคดีแล้วที่คนไม่เยอะเพราะทางเดินรถเข้ามายังที่พักค่อนข้างแคบ เขาคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าถ้ามีจำนวนคนที่เยอะมากกว่านี้การจราจรจะวุ่นวายขนาดไหน
ที่พักของเขาทั้งคู่มีลักษณะเป็นโดมทรงกลมสีขาว มีระเบียงให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจชมวิวรอบๆ จากมุมที่พักหลังที่พวกเขากำลังเดินเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บซึ่งมันแทบจะเป็นมุมที่ดีที่สุดของที่พักนี้ มองออกไปเห็นวิวภูเขากว้างไกลโอบล้อมรอบทุกทิศทาง ดอกไม้หลากสีแต่งแต้มอยู่ทั่วทุกบริเวณราวกับเป็นศิลปะชิ้นหนึ่งที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นมา
“ไม่มีแอร์เลยหรอ” ศิลาพึมพำขึ้นมาเบาๆ เมื่อเดินเข้ามาภายในโดมที่พักแล้วเห็นแต่พัดลมไอน้ำตั้งอยู่
“จะมีทำไมล่ะครับ ที่นี่กลางคืนมันหนาวนะ” อาโปบอกเมื่อเดินตามเข้ามาภายในโดม
“ก็จริงครับ นี่กลางวันอากาศยังเย็นๆ เลย”
“ช่าย”
“แต่ผมกลัวจะหายใจไม่ออก มันไม่ชินอะพี่โป” ศิลาพูดพลางลูบแขนทั้งสองข้างของตัวเองเบาๆ
“หนาวเหรอ” อาโปเอ่ยถาม
“เย็นๆ นิดหน่อยอะครับ” ศิลาตอบก่อนจะเอนหลังทิ้งตัวลงบนที่นอน
อาโปยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาก่อนจะยกยิ้มมุมปากแล้วขยับตัวไปเอนนอนตะแคงมองหน้าคนน้อง แล้วเอามือเขี่ยที่จมูกของอีกฝ่ายเบาๆ “งั้นเราหาอะไรทำแก้หนาวกันก่อนดีมั้ยครับ”
“พี่โป เดี๋ยวคนอื่นเห็น”
“จะมาเห็นได้ไง โดมเราอยู่บนสุด ไม่มีใครขึ้นมารบกวนเราอยู่แล้วครับ”
“แต่เดี๋ยวคนอื่นได้ยินไง”
“หนูก็ร้องเบาๆ สิครับ”
“โห... งั้นพี่โปก็ทำให้มันเบาๆ สิครับ” ศิลายู่ปากแล้วบีบจมูกอาโปเบาๆ ก่อนจะใช้นิ้วไล้ไปตามสันจมูกลงมาที่ริมฝีปากแล้วค่อยๆ เลื่อนลงมาที่คาง
“จะพยายามแล้วกันนะครับ” แววตาเจ้าเล่ห์ของอาโปฉายชัดราวกับเป็นคนละคนจนศิลาที่เผชิญหน้าอยู่รู้สึกใจวูบไหว
ก็ไอ้แววตาแบบนี้แหละที่ศิลารู้สึกแพ้มาโดยตลอด...
อาโปบรรจงก้มลงประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของศิลาอย่างแผ่วเบา ทุกห้วงจังหวะเป็นไปแบบเนิบช้า เรียบง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยความเสน่หา ความต้องการของคนทั้งคู่เริ่มถูกปลุกให้ลุกโชนขึ้นทีละนิด มือหนาเคลื่อนไปตามต้นขาของคนน้องก่อนจะคลำสัมผัสที่ตื่นตัวผ่านกางเกงยีนตัวหนา ทันทีที่เขาสัมผัสได้ถึงสิ่งที่กำลังแสดงความพร้อม ใจของอาโปก็เริ่มเต้นแรง เพราะสิ่งเหล่านี้ยังคงดูน่าตื่นเต้นกับเขาอยู่เสมอ
น้องพร้อมตัวเขาก็พร้อมแล้วเหมือนกัน...
แม้ในใจอยากจะกระชากทุกอย่างที่ขวางออกให้หมดเพราะแทบจะอดรนทนไม่ไหว แต่อาโปก็ยังรู้สึกไม่ดีถ้าจะทำแบบนั้น ก็เพราะคนที่นอนอยู่ตรงหน้ามันช่างน่าทะนุถนอมเสียจนเขาไม่กล้าที่จะรุนแรงออกไป มือหนาเริ่มเปลื้องเข็มขัดและเครื่องแต่งกายที่ปิดคลุมผิวกายของศิลาออก ทีละชิ้น...ทีละชิ้น...
เมื่อร่างกายเปลือยเปล่าของศิลาเปิดเผยออกมาให้อาโปได้เห็นก็ยิ่งทวีความต้องการของเขาให้เพิ่มมากขึ้น ลิ้นร้อนของเขาโลมเลียไล้ไปทั่วทุกบริเวณ ขับเน้นตรงช่วงอกเป็นพิเศษเพราะนับว่าเป็นจุดที่คนพี่ค่อนข้างจะชอบอกชอบใจเป็นพิเศษ แต่ก็ยังคงเป็นรองกับส่วนที่อยู่ด้านล่างลงไปอีก
อาโปปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาออกอย่างรวดเร็วก่อนจะหันไปพบว่าผ้าม่านตรงหน้าต่างยังคงเปิดอยู่ เขาจึงเอื้อมมือไปดึงปิดสักหน่อยเพื่อความปลอดภัย ถึงแม้จะมั่นใจว่าคงไม่มีใครผ่านมาแถวนี้ก็ตาม เขากลับมาสนใจเรือนร่างชวนลุ่มหลงตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะทำการลงมือตอบสนองความต้องการของตัวเองสักที
บทเพลงรักเริ่มบรรเลงท่ามกลางอากาศเย็นๆ ในที่พักบนม่อนแจ่ม ลมโชยวูบไหวแผ่วเบาตามจังหวะที่อาโปมอบให้กับศิลา มือหนาของคนพี่คว้าหมับเข้าที่เอวบางของคนน้องเพื่อให้ท่วงท่านั้นกระชับและมั่นคงก่อนจะค่อยๆ ขยับอย่างเป็นจังหวะ ความเงียบจากบริเวณโดยรอบทำให้คนน้องไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมามากนักจึงทำให้ต้องพยายามกลั้นเสียงไว้ ถึงแม้ในบางจังหวะที่อาโปมอบให้จะรู้สึกวาบหวามจนอยากจะร้องออกมามากแค่ไหนก็ตาม
ใบหน้าเหยเกของศิลาทำเอาอาโปที่อยู่ด้านบนอดสงสารไม่ได้แต่เขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะความใคร่ในตอนนี้มันทวีความต้องการอย่างสูงส่งจนเขาเองก็ไม่อาจจะควบคุมร่างกายได้อีกต่อไป
“อ๊ะ!” ศิลาหลุดปากร้องออกมาเมื่ออาโปเพิ่มแรงกระแทกมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว สองมือจิกลงบนเตียงแน่น ริมฝีปากถูกขบเม้มเอาไว้เพื่อไม่ให้มีเสียงร้องหลุดรอดมาได้อีก
“อื้ออออ!” เสียงครางในลำคอดังขึ้นอีกครั้งเมื่อคนพี่เพิ่มความถี่ในการขยับตัว แต่คราวนี้ศิลาก็ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป เขาปล่อยตัวปล่อยใจให้รู้สึกตามที่ร่างกายจะตอบสนองเพราะไม่อาจอดทนกับความเร่าร้อนที่อีกฝ่ายกำลังมอบให้ได้ โชคดีที่บริเวณโดยรอบของห้องพักหลังนี้ยังไม่มีแขกมาเข้าพัก เสียงแห่งความสัมพันธ์ที่ดังแว่วเบาๆ ออกมาจึงไม่มีใครได้ยิน
“อ๊ะ! พี่โปครับ... บะ...เบาหน่อยครับ” ศิลาเอามือดันหน้าท้องของคนพี่เป็นสัญญาณให้ชะลอจังหวะลงสักหน่อย
“ทำไมล่ะ”
“ผมไม่ไหว กลัวคนได้ยิน”
“อ่า...ไม่รับปากนะ”
ลมพัดวูบใหญ่ปะทะเข้ากับตัวโดมที่พักเป็นจังหวะเดียวกับที่อาโปเริ่มปล่อยให้ความต้องการของร่างกายเป็นใหญ่กว่าความคิด ท่วงทีที่หนักหน่วงและร้อนแรงทำเอาทั้งสองคนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายแบบนี้ ศิลาไม่ได้รู้สึกกังวลอีกต่อไปปล่อยให้ร่างกายเป็นไปตามสัญชาตญาณจะตอบสนอง ความเร็วของแรงลมเป็นตัวบ่งชี้ถึงการกระทำของทั้งอาโปและศิลาในช่วงนี้ได้เป็นอย่างดี
คนพี่ก็เต็มที่ และคนน้องก็ไม่มียั้ง
เสียงพึบพับดังชัดจนไม่แน่ใจว่ามาจากเสียงลมพัดแรงหรือเสียงการกระทำของสองหนุ่มที่กำลังเสกความเร่าร้อนอยู่ภายในโดม แต่ก็เป็นเสียงที่ดังขึ้นไม่นานก่อนจะเงียบไปแล้วถูกแทนที่ด้วยเสียงหายใจหอบของทั้งอาโปและศิลา
“เห้ออ...” อาโปถอนหายใจแล้วนอนแผ่หลา
“ขอทิชชู่หน่อยครับ” ศิลาเอ่ยบอกคนตัวข้างๆ แล้วค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง
“นี่ครับ” อาโปยื่นทิชชู่ที่หันไปดึงมาจากกล่องทิชชู่ที่วางไว้ตรงหัวเตียงให้คนน้อง
ศิลาเช็ดทำความสะอาดคราบตามร่างกายจนเสร็จสรรพก่อนจะโยนทิ้งถุงขยะใบเล็กๆ ที่ทางที่พักเตรียมไว้ให้ แล้วนั่งมองคนพี่ที่นอนอยู่ข้างๆ
“ไหนบอกจะทำเบาๆ ไงพี่”
“หืม...”
“นิสัยไม่ดี แกล้งผมอะ” ศิลาตีเบาๆ เข้าที่หน้าท้องอีกฝ่าย
“แกล้งอะไร ก็บอกแล้วไงว่าไม่รับปาก” อาโปหัวเราะเบาๆ ในลำคอแต่ก็โดนศิลาฟาดมือไปที่หัวไหล่เบาๆ หนึ่งที
“พี่ก็รู้ว่าที่นี่ร้องดังไม่ได้ แต่พี่ก็ไม่ยอมอ่อนโยนเลย”
“เอาน่า ไม่มีใครรู้หรอกครับ” อาโปดันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปหยิบเสื้อผ้าของคนน้องมายื่นให้อีกฝ่ายใส่ แล้วเขาก็คลานไปคว้าหยิบเสื้อของตัวเองมาใส่ด้วย
“ตั้งใจมาขึ้นดอย ดันได้ขึ้นสวรรค์ก่อนเฉย” ศิลาแซว
“พี่เก่งปะล่ะ!” อาโปยักคิ้วถาม
“ก็...ดี...”
“เหรอ แค่ก็ดีเหรอ”
“พี่โปเก่งที่สุดเลยค้าบบบบบบ ไม่มีใครเก่งกว่าพี่แล้ววว” ศิลาเอ่ยประชดด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่ดูน่ารักจนอาโปที่นั่งมองอยู่อดเอ็นดูไม่ไหว
ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาและอากาศเย็นสบาย กลิ่นไอของความสุขอบอวลไปทั่วบริเวณนั้นเคล้าเสียงหัวเราะของทั้งอาโปและศิลาที่ยังคงหยอกล้อกันต่อดังแว่วออกมา
The End