หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปความเบื่อเริ่มเข้าครอบงำนาโนมากขึ้น จากที่มาซ้อมตรงเวลาทุกวันขยันซ้อมอย่างหนัก จนเริ่มกลายเป็นว่าอยู่ในห้องซ้อมก็ซ้อมบ้าง เล่นมือถือบ้าง ถึงแม้ว่าจะโดนศิลาเตือนไปแล้วบ้างแต่ก็ไม่ได้นำพาสักเท่าไหร่ เพราะเขาก็รู้สึกว่าเขาทำได้แล้ว การที่ครูไม่ยอมเข้ามาสอนต่างหากที่ทำให้เขาทำงานได้ช้าลงเพราะไม่รู้จะซ้อมอะไรเนื่องจากท่าเก่าๆ ก็ซ้อมจนจำได้ทั้งหมดแล้ว
อาโปเองที่คอยเฝ้าติดตามอยู่ตลอดก็หนักใจไม่แพ้กันแต่ก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาด้วยวิธีใด เพราะถ้าตัวเด็กไม่กระตือรือร้นที่จะไขว่คว้าโอกาสที่ได้มาเอาไว้ มันก็ยากอยู่เหมือนกันที่จะให้ใครมาคอยบอก
ห้องซ้อมเงียบสงัดทั้งๆ ที่เป็นเวลาซ้อม อาโปที่แอบเดินลงมาส่องดูก็ได้แต่แปลกใจจนต้องเปิดห้องเข้าไปดู ปรากฏว่าว่างเปล่าไม่มีแม้แต่เงาของนาโนอยู่ในนั้น ความสงสัยผุดขึ้นในหัวจนต้องหยิบตารางซ้อมขึ้นมาเปิดดูว่าเป็นวันหยุดหรือเปล่า แต่ก็ไม่ใช่ เขาจึงตัดสินใจเดินลงไปยังชั้นล่างเพื่อถามหาจากศิลาที่กำลังนั่งหน้าเคร่งเครียดอยู่กับกานต์
“นาโนไม่มาซ้อมหรอวันนี้”
“เพิ่งออกไปไม่นานนี้เองพี่” กานต์เอ่ยตอบในพลางแตะไหล่ศิลาที่ยังคงนั่งหน้าเครียดอยู่ตรงนั้น สายตาที่มองกลับมาหาอาโปทำให้คนพี่รับรู้ได้ว่ามีเรื่องไม่ปกติเกิดขึ้น
“ออกไปไหนอะ” อาโปยังคงถามย้ำสีหน้าแสดงความสงสัยเด่นชัดมากขึ้นกว่าเดิม
“ไม่รู้ครับ...” ศิลาตอบเสียงนิ่งแต่แววตาเครือด้วยน้ำตาที่กำลังรื้น
“หนูเป็นอะไร” อาโปเดินเข้ามาใช้สองมือหนาประคองใบหน้าหวานของอีกฝ่ายขึ้นมอง
“เมื่อกี้ผมเผลอพูดกับนาโนว่าถ้าไม่จะไม่ซ้อมก็ไม่ต้องมา น้องคงโมโหเลยหนีออกไปครับ”
“อ่อ ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องเครียดนะ” อาโปโอบคนน้องเข้ามาปลอบ ใบหน้าศิลาสัมผัสกับกล้ามเนื้อหน้าท้องผ่านเสื้อยืดที่ใส่เอาไว้ทำให้ศิลาสบายใจขึ้นมาได้บ้าง เขาหลับตาลงแล้วโอบแขนตอบรับผ่อนคลายนั้น
มือหนาของอาโปลูบหัวเบาๆ ของศิลาในใจก็นึกเป็นห่วงและเอ็นดูความอ่อนโยนของคนในอ้อมกอดที่รู้สึกผิดกับคำพูดของตัวเองจนทำให้นาโนไม่พอใจ แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาสักหน่อยเพราะสิ่งที่นาโนทำมันก็สมควรแล้วที่จะต้องถูกตำหนิกันบ้าง ได้รับโอกาสมาทั้งทีแต่ไม่รู้จักทำให้เต็มที่ แบบนี้เสียดายเวลาที่จะมานั่งหายใจทิ้งไปวันๆ สู้เอาทรัพยากรที่มีอยู่ของสตูฯ ไปให้เด็กคนอื่นที่มีความพร้อมมากกว่านี้ใช้ยังจะดีเสียกว่า
หรืออาจเพราะนาโนคิดว่าจ่ายเงินทำเพลงเองทั้งหมดอย่างนั้นหรือเปล่า...
จากเหตุการณ์นี้ก็เลยทำให้อาโปต้องคิดหนักเพื่อที่จะหาทางออกของปัญหานี้เพราะเขาคงไม่ยอมให้สตูดิโอที่อุตส่าห์สร้างมากับมือต้องมาดูไม่มืออาชีพเพราะผลงานของเด็กที่ไม่เอาไหนคนนี้
เมื่อเช้าวันใหม่เดินทางมาถึง สตาฟหลายคนก็เดินกันขวักไขว่วุ่นวายเพราะวันนี้อาโปตั้งใจจะแกล้งเด็กดื้ออย่างนาโนสักหน่อย ซึ่งพอเล่าเรื่องที่เขาตั้งใจจะทำให้กานต์กับศิลาฟัง ทั้งคู่ก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าถึงจะไม่ได้ช่วยให้นาโนหันกลับมาสนใจเป้าหมายที่ตัวเองจะต้องทำ แต่อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็จะได้เห็นว่าสิ่งที่เขามั่นใจนักมั่นใจหนาว่าเก่งแล้วนั้นจริงๆ ในวงการนี้มันไม่ได้ดูกันแค่ที่ความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่มันยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกเยอะที่จำเป็นจะต้องมีด้วยถ้าหากอยากจะโดดเด่นและเป็นที่จับตามองในฐานะศิลปิน
“เอ็ม พร้อมมั้ยวันนี้” ศิลาทักเมื่อเห็นน้องคนสนิทอย่างเอ็มที่หน้าผมถูกจัดแต่งจนเต็มแล้วเดินเข้ามาในห้องซ้อมที่เซ็ตติ้งไว้พร้อมสำหรับถ่ายทำสกู๊ปสัมภาษณ์ในวันนี้
“พร้อมละพี่”
ระหว่างเสียงพูดคุยดังอยู่นั้นจู่ๆ ประตูห้องซ้อมก็ถูกผลักออกอย่างแรงจนทุกคนในนั้นต้องเหลียวหน้าหันไปดูพร้อมกันแบบไม่ได้นัดกันเอาไว้ ร่างสูงเพรียวของนาโนเดินเข้ามาด้วยท่าทางเย่อหยิ่งนิดๆ ตรงเข้ามาหาเอ็มที่ยืนอยู่คู่กับศิลา
“มาด้วยเหรอ นึกว่ามีกูคนเดียวซะอีก” นาโนเอ่ยทักเอ็มเสียงนิ่ง
“อืม พี่อาโปนัดมาให้ถ่ายสกู๊ปเด็กฝึกไว้ลงโปรโมทช่องยูทูบของสตูฯ”
“งั้นจริงๆ ก็ควรนัดมึงคนเดียวมากกว่านะ” นาโนกอดอกแล้วเดินเข้าไปใกล้เอ็มแล้วกระซิบ “เพราะมึงเป็นเด็กฝึก ส่วนกูกำลังจะได้เป็นศิลปิน”
“...” เอ็มไม่ตอบอะไร ได้แต่เพียงหันไปเหล่มองศิลาที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นว่าอีกฝ่ายส่ายหัวเบาๆ ให้เพราะไม่อยากให้ทั้งสองคนทะเลาะกัน
อาโปและเตชินท์เดินเข้ามาก่อนจะมองไปรอบห้อง พลันสายตาอาโปมองเห็นร่างบางของแฟนตัวเองก็รีบก้าวเท้ายาวเข้าไปหาทันทีโดยมีรุ่นน้องอย่างเตชินท์เดินตามหลังไปเงียบๆ
“พร้อมกันมั้ย จะได้เริ่มถ่ายกันเลย” อาโปเอ่ยถาม
“ผมพร้อมแล้วครับ” เอ็มพูดพร้อมสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะหันไปมองหน้านาโน
“อืม พร้อมครับ” นาโนตอบเสียงนิ่งพลางยืนเอามือกอดอกตัวเองเอาไว้
“งั้นเดี๋ยวบรีฟเลยละกันเนอะ จะได้เริ่มกันเลย” อาโปพูดจบก็ยกมือขึ้นตบไหล่เตชินท์เบาๆ เป็นเชิงว่าฝากให้จัดการต่อให้ด้วยแล้วตัวเองก็ไปนั่งรออยู่อีกมุมหนึ่ง บริเวณที่ตากล้องและสตาฟคนอื่นๆ ยืนอยู่
“เดี๋ยววันนี้จะแบ่งสองช่วงนะน้อง ช่วงแรกจะเป็นการสัมภาษณ์เรื่องราวของแต่ละคนก่อนนะ แล้วเซสชั่นต่อไปก็จะให้ซ้อมเต้นนู่นนี่นั่น เก็บบรรยากาศตอนซ้อมเผื่อเอาไปตัดแทรกตอนสัมภาษณ์”
“เต้นเดี่ยวใช่มั้ยครับ” เอ็มถาม
“ทั้งเดี่ยวทั้งคู่เลย พี่ขอถ่ายเก็บไว้ก่อนเผื่อไว้ๆ” เตชินท์ตอบพร้อมยิ้มบางๆ เพื่อให้เด็กๆ รู้สึกไม่เกร็ง เวลาถ่ายจะได้ราบรื่น
“เห้อ ต้องเต้นคู่ด้วยหรอครับ” เสียงถอนหายใจพร้อมคำพูดที่ดูเซ็งๆ ของนาโนทำเอาเอ็มก็ไม่ค่อยจะพอใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็ต้องปล่อยผ่านเพราะพวกเขากำลังอยู่ในเวลางาน
เตชินท์ที่ได้ยินเสียงถอนหายใจและการชักสีหน้าจากนาโนก็พลางนึกในใจว่าเด็กคนนี้มันวอนเสียแล้ว ออกลายตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มถ่ายด้วยซ้ำ แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะใส่ใจมากนัก เพราะก่อนหน้านี้กานต์ก็เคยได้มาเล่ามาบ่นให้ฟังอยู่เรื่อยๆ บ้าง ทำให้วันนี้เขาไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่ที่เจอท่าทางแบบนี้
“มา! เริ่มถ่ายกันดีกว่า” เตชินท์เอ่ยบอกแล้วเดินกลับไปนั่งในส่วนที่เขาต้องรับผิดชอบ
การสัมภาษณ์เริ่มต้นขึ้นจากการให้แต่ละคนแนะนำตัว บอกกล่าวทั้งชื่อ นามสกุล อายุ ส่วนสูง น้ำหนัก รวมไปถึงความสามารถพิเศษที่มีติดตัวมาก่อนจะมาเป็นเทรนนีของที่นี่ และอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือประสบการณ์ของการทำงานในวงการบันเทิง
เอ็มบอกกล่าวถึงผลงานของตัวเองที่เริ่มจะพอมีให้เห็นกันอยู่บ้างไม่ว่าจะเป็นเอ็มวีหรือโฆษณาที่เริ่มทยอยปล่อยออกอากาศไปบ้างบางส่วนแล้ว ในขณะที่พอเตชินท์วกกลับมาถามเรื่องนี้กับนาโน นาโนก็ออกอาการอย่างเห็นได้ชัด เพราะรู้ตัวดีว่ายังไม่มีผลงานอะไรในวงการบันเทิงและยิ่งไม่พอใจเมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองนั้นกำลังพ่ายแพ้เอ็มในเรื่องนี้
อาโปเห็นท่าทีของนาโนก็รู้ได้ทันทีว่าต้องมูฟออนไปทำอย่างอื่นเพื่อเลี่ยงไม่ให้โฟกัสเรื่องนี้อีกต่อไป เพราะคนแพ้ใครไม่เป็นอย่างนาโนคงจะระเบิดออกมาเป็นแน่หากยังทู่ซี้ขยี้ให้เขาต้องรู้สึกว่าตัวเองนั้นกำลังด้อยกว่าเอ็ม
“พี่ว่าเราเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นเถอะ” อาโปสะกิดเตชินท์แล้วกระซิบเบาๆ
“ได้พี่” เตชินท์ตอบรับแล้วหันไปหาเอ็มและนาโน “คำถามต่อไปนะครับ แต่ละคนมีแรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้อยากเป็นศิลปินครับ”
“จริงๆ ต้องบอกว่าค่อนข้างเป็นเรื่องบังเอิญครับ เพราะก่อนหน้านี้ว่างอยู่ครับแล้วเบื่อที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวก็เลยมาสมัครเรียนเต้นแก้เซ็งครับ” เอ็มเริ่มตอบเป็นคนแรก “หลังจากนั้นก็ได้โอกาสจากทางสตูดิโอให้เข้ามาเป็นเด็กฝึกครับ”
“แล้วนาโนล่ะครับ” เตชินท์ถามต่อ
“ผมเรียนเต้น เรียนร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กครับ ก็คลุกคลีอยู่กับเรื่องพวกนี้มาตลอด จนกระทั่งได้มาออดิชั่นที่นี่แล้วทางสตูฯ ก็เห็นว่าผมเก่ง มีความสามารถหลากหลายพร้อมใช้งานไรงี้ครับ ก็เลยได้เข้ามาเป็นเด็กฝึกที่นี่ครับ”
ศิลากับกานต์หันมองหน้ากันด้วยสายตาเลิ่กลั่กเพราะรู้อยู่ว่าสิ่งที่นาโนพูดมันก็ไม่ใช่เรื่องจริงซะทั้งหมด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาสองคนจะต้องมานั่งสนใจอะไร เพราะใครอยากพูดอะไรก็พูดได้ แต่สุดท้ายผลงานและความสามารถมันจะเป็นตัวพิสูจน์ให้คนอื่นได้มองเห็นเอง
การสัมภาษณ์เป็นไปอย่างค่อนข้างราบรื่น แม้ว่าทั้งเอ็มและนาโนจะมีช่วงเวลาที่เหล่ตามองขวางกันอยู่บ้างด้วยความหมั่นไส้อีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้รุนแรงจนเกิดปากเสียงกันเหมือนทุกครั้ง และทันทีที่เตชินท์บอกว่าเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์แล้วนั้น ทั้งคู่ก็รีบลุกจากเก้าอี้แล้วเดินแยกออกไปคนละทางทันที
“เดี๋ยวหลังจากนี้พี่จะถ่ายเต้นนะ เก็บภาพรวมๆ ก่อนละกัน แบบให้นาโนกับเอ็มเต้นด้วยกันสองคนไรงี้” เตชินท์พูดเสียงดังเพื่อให้คนในห้องซ้อมตรงนั้นได้ยินทั่วกัน ส่วนหนึ่งก็เพราะหลังจากเห็นเด็กสองคนเดินหนีออกจากกันก็คิดว่าถ้าไปบอกทีละคนก็คงจะเหนื่อยน่าดู เลยอาศัยพูดลอยๆ เสียงดังๆ แบบนี้น่าจะเวิร์คกว่า
ดนตรีดังต่อเนื่องหลังจากช่วงเวลาพักเบรกที่ผ่านไปก่อนหน้านี้ ทั้งเอ็มและนาโนต่างก็ออกสเต็ปท่าเต้นจากเพลงที่เคยเรียนด้วยกันมาก่อน เตชินท์กับตากล้องอีกคนพยายามจะเก็บภาพให้ได้หลายๆ มุมที่จะสามารถนำไปใช้แล้วดูน่าตื่นตาตื่นใจได้ เลยทำให้เด็กทั้งสองคนต้องเต้นกันอยู่หลายรอบจนสีหน้าของนาโนเริ่มเปลี่ยนไป
“เอาล่ะ องค์เริ่มมาละ กำลังจะลงแล้วมั้งเนี่ย” กานต์สะกิดศิลาให้หันไปมองตามสายตาของกานต์ที่ทอดมองไป ส่วนอาโปที่นั่งอยู่ข้างๆ แฟนของเขาเมื่อได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองด้วยเหมือนกัน
“ต้องแก้ด่วนเลยนิสัยแบบนี้” อาโปพูดขึ้น “เก็บสีหน้าไม่เคยอยู่เลย”
“จริงพี่” กานต์เออออตามสิ่งที่รุ่นพี่ของตัวเองบอก “เออว่าแต่ พี่อาโปสังเกตเห็นอะไรป้ะ”
“อะไรเหรอ”
“ก็ดูดิ พอมาเต้นคู่กันแบบนี้ยิ่งเห็นชัดเลยว่าสกิลต่างกันจัดๆ” กานต์พูดพลางหันไปมองเอ็มกับนาโนอยู่เป็นระยะ
“อืม... เห็นแล้ว เครียดอยู่เนี่ยว่าสุดท้ายแล้วนาโนจะไปรอดมั้ย” อาโปสูดหายใจเข้าลึกก่อนถอนหายใจยาวออกมา
“ถ้ายังเป็นอยู่แบบนี้ล่ะก็ ผมว่ายากมากเลยนะที่จะดังอะ นาโนเก่งจริงแต่ไม่มีเสน่ห์เลยต่างกับเอ็มแบบชัดเจน” กานต์เอ่ยเสริม
“จริงๆ เรื่องดังไม่ดังเนี่ยมันพูดกันยาก คาดเดาอะไรไม่ได้เลย เพราะมันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง แต่สิ่งที่พี่มั่นใจมากๆ ก็คือ ถ้าน้องมันทำเต็มที่แบบสุดความสามารถยังไงคนดูเขาก็ต้องสัมผัสได้ แต่ตอนนี้พี่ยังไม่เห็นสิ่งนั้นจากตัวของนาโนเลยแม้แต่นิดเดียว” อาโปพูดต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“แล้วงี้เราจะทำไงกันดีครับ” ศิลาเอ่ยพูดแทรกขึ้น
“พี่ก็ยังไม่รู้เหมือนกันครับ” อาโปหันมาตอบกลับคนน้องที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วยกแขนขึ้นมาคว้าไหล่ของอีกฝ่ายเข้ามาโอบกอดไว้แน่น
“อืมม... งั้นผมขอลองเสนอหน่อยได้มั้ยครับ” ศิลาถามต่อ
“อื้อ”
“ถ้าเราจะลองให้เอ็มมาช่วยสอนนาโนในวันที่ครูไม่ได้เข้า พี่โปคิดว่าไงครับ”
“จะไม่ตีกันตายใช่มั้ย” อาโปพูดพลางติดขำในลำคอ
“ก็ต้องลองดูมั้ยครับ ยังไงก็ดีกว่าการที่ครูไม่เข้าแล้วนาโนไม่ยอมตั้งใจซ้อมแน่ๆ ครับ”
“จริงๆ พี่ก็ไม่ติดอะไรหรอก แค่เป็นห่วงเฉยๆ กลัวจะตีกันตายซะก่อน”
“เดี๋ยวผมจะลองคุยกับเอ็มดูก่อนละกันครับ” ศิลาเอ่ยพลางยิ้มบางๆ
“อื้อ น่ารักที่สุดเลยแฟนพี่เนี่ย” อาโปยิ้มกว้างพลางเอาสองนิ้วบีบแก้มศิลาด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะใช้มือหนาประคองหัวอีกฝ่ายให้เอนมานอนซบไหล่ของตัวเองโดยไม่กลัวว่าจะถูกแซวจากผู้คนที่นั่งอยู่เต็มห้องเลยแม้แต่น้อย
“งั้นต้องมีรางวัลแล้วมั้ยครับ”
“หนูอยากได้อะไรล่ะ”
ศิลาได้ยินแบบนั้นก็กระดี๊กระด๊าผละหัวออกจากไหล่กว้างของอีกฝ่ายแล้วหันไปจ้องหน้าด้วยสายตาใสปิ๊งจนคนที่เห็นอย่างอาโปอดที่จะเอ็นดูไม่ได้
“พี่โปพูดแล้วนะ”
“อื้อ” อาโปพยักหน้ารับ “พี่ไม่โกหกหนูหรอกน่า”
“อาทิตย์หน้ามีวันหยุด พาไปเที่ยวทะเลหน่อยนะครับ”