“พี่โปตื่นได้แล้วครับ” ศิลาเอ่ยเรียกคนพี่ที่นอนหลับอยู่ข้างๆ ด้วยเสียงนุ่ม มือบางเคลื่อนมาจับบริเวณหัวไหล่หนาแล้วออกแรงเขย่าเบาๆ
“อื้อ...” เสียงครางในลำคอดังคลอเบาๆ แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าอาโปจะตื่น
“พี่โปครับ”
“อืมม ครับ” เปลือกตาของอาโปค่อยๆ เปิดออกเมื่อเริ่มรู้สึกถึงสัมผัสบนร่างกายของตัวเอง
“ตื่นได้แล้วครับ”
“กี่โมงแล้วครับ”
“เจ็ดโมงครับ”
จุ๊บ~
ริมฝีปากบางของศิลาบรรจงประทับลงบนหน้าผากของอาโปเพื่อช่วยเรียกสติของอีกฝ่ายให้รีบลุกขึ้นเตียงโดยไว เพราะวันนี้ที่สตูดิโอมีคลาสแต่เช้า หากไม่ลุกในตอนนี้อาจจะไปถึงช้ากว่ากำหนดก็ได้
เป็นถึงเจ้าของถ้าจะไปถึงช้ากว่าลูกน้องในบริษัทก็จะดูไม่ดีใช่ไหมล่ะ...
ร่างหนาของอาโปพลิกตัวกลับหันหน้าเข้าหาศิลาแล้ววาดแขนโอบกอดเอวคนน้องเอาไว้หลวมๆ ยามเช้าที่อากาศเย็นสบายแบบนี้เขาแทบไม่อยากจะลุกจากเตียงเลยด้วยซ้ำ ยิ่งได้สัมผัสอุ่นจากพุงน้อยๆ ของศิลายิ่งทำให้เขาอยากจะนอนอยู่อย่างนี้ทั้งวันแบบไม่ต้องลุกไปไหนเลย
“ขอนอนต่ออีกแป๊บนึงได้มั้ยที่รัก” อาโปเอ่ยเสียงอ้อนก่อนจะกระชับกอดให้แน่นขึ้น
“งั้นเดี๋ยวผมไปอาบน้ำก่อนแล้วกันครับ ถ้าผมอาบเสร็จพี่โปต้องลุกนะ”
“ค้าบบ” น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยตอบ
ศิลาค่อยๆ ปลดฝ่ามือหนาที่เกาะกุมครอบครองเอวบางของเขาออกแล้วขยับตัวออกจากผ้าห่มที่คลุมอยู่ ร่างเปลือยเปล่าของศิลาลุกขึ้นยืนจากเตียงก่อนจะหันมาหยิบผ้าห่มขึ้นคลุมตัวให้อาโปเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนาว จากนั้นจึงเดินตรงหายเข้าไปในห้องน้ำ
เสียงของน้ำที่ไหลจากฝักบัวดังอยู่ไม่นานก็เงียบไป ศิลาที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เส้นผมเปียกหมาดพร้อมหยดน้ำที่เกาะอยู่ตามผิวหนังเพราะเช็ดออกไม่หมด เดินตรงมาหาอาโปที่ยังหลับใหลอยู่บนเตียงนอน
“พี่โป ไปอาบน้ำได้แล้วครับ”
“เคครับ”
อาโปที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าและนุ่งกางเกงสแล็กสีดำขาลอยเดินมานั่งที่โต๊ะอาหารพร้อมกลิ่นน้ำหอมประจำตัวที่มักจะใส่อยู่บ่อยๆ ศิลาได้กลิ่นนี้จนชินเมื่อจมูกของเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่คุ้นชินเขาก็เผลอยิ้มออกมา เพราะมันเป็นสัญญาณว่าอาโปเตรียมพร้อมที่จะออกไปทำงานแล้ว
“จะกินมื้อเช้าเลยมั้ยครับ” ศิลาเอ่ยถามขณะที่กำลังคนอาหารในหม้ออยู่ในครัว
“พี่ยังไม่ค่อยหิวเลยอะ”
“งั้นเดี๋ยวผมแพ็คใส่กล่องไว้ให้นะครับ ไว้กินที่สตูฯ”
“อื้อ”
ทั้งสองคนออกจากบ้านในเวลาที่ใกล้เคียงดังเช่นทุกวัน รถยนต์ขับเคลื่อนไปข้างหน้าไหลตามรถยนต์คันอื่นๆ ที่วิ่งอยู่รอบข้างทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ถนนคับแน่นไปด้วยพาหนะหลากหลายชนิด ไฟแดงสลับเขียวในเวลาเพียงชั่วเวลาหายใจเข้าออกยิ่งทำให้รู้สึกว่ารถบนถนนติดนานมาขึ้นกว่าเดิม
เวลาเดินทางในเช้าวันนี้ดูจะนานกว่าปกติทั้งๆ ที่พวกเขาทั้งคู่ออกจากบ้านในเวลาเดิมดังเช่นทุกวัน แต่อาจเพราะเป็นเช้าวันจันทร์ล่ะมั้งถึงทำให้การจราจรติดขัดได้มากขนาดนี้ ถึงแม้ว่าความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่ด้วยเหตุผลนี้แต่คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการโยนความผิดให้เช้าวันจันทร์
กว่าจะมาถึงสตูดิโอได้ก็เกือบจะทำให้อาโปหงุดหงิดขึ้นมาเหมือนกัน...
แล้วเช้าที่น่าปวดหัวก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อซีรีส์ที่เตชินท์กำกับเปิดตัวไปแล้วว่าใครเป็นนักแสดงนำบ้างซึ่งเอ็มคือหนึ่งในนั้น บทสัมภาษณ์หนึ่งที่เอ็มเคยพูดเกี่ยวกับเรื่องการเริ่มต้นเข้าวงการได้อย่างไร เขาได้พูดเอาไว้ว่าเริ่มเรียนที่สตูดิโอของอาโปจึงทำให้ได้โอกาสในการแคสติ้งและได้โอกาสในวงการบันเทิง หลังจากนั้นบรรดาผู้ปกครองทั้งหลายแหล่ก็แห่พาลูกหลานของตัวเองมายังที่สตูฯ กันอย่างเนืองแน่น ไหนจะเด็กๆ ที่มาเรียนเต้นในคลาสเช้าอีก ล็อบบี้ของสตูฯ ที่เคยว่างเปล่าจึงเต็มไปด้วยผู้คน
“รบกวนอ่านรายละเอียดคอร์สที่ต้องการก่อนนะครับ” กานต์เอ่ยพูดขณะยื่นใบโบรชัวร์กับผู้ปกครองของเด็กคนหนึ่ง
เดิมทีที่สตูดิโอไม่ได้คนเยอะขนาดนี้เพราะที่ผ่านมาก็มีเพียงกลุ่มเด็กวัยรุ่นไม่กี่กลุ่มที่เข้ามาเรียนเต้นและการแสดง ทำให้อาโปไม่ได้จ้างพนักงานไว้เยอะนัก จริงๆ ก็มีแค่ศิลาที่นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์และมีกานต์ที่คอยช่วยเหลืองานอาโป ถ้าเรียกแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คงเป็นตำแหน่งเลขานั่นแหละมั้ง
ถึงแม้ว่าจะมีคนมาสมัครคอร์สเรียนเพิ่มขึ้นจนดูแลไม่ทัน แต่ถ้ามองในแง่ดีก็ทำให้อาโปมีรายได้เพิ่มขึ้นและเป็นข้อพิสูจน์ว่าที่ลงทุนเปิดสตูฯ ไปนั้นไม่ได้เสียเปล่า
ก็คงต้องขอบคุณเอ็มที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น
“เรียนที่นี่ลูกชายผมจะได้เป็นดาราแน่ๆ ใช่มั้ยครับ” พ่อของเด็กชายตาโตผมสีน้ำตาลโดยกำเนิดเอ่ยถามขึ้นขณะนั่งอ่านข้อมูลในโบรชัวร์
“คืออย่างนี้ครับคุณพ่อ...” ศิลาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าก่อนจะพูดต่อ “ถ้าถามว่าเรียนที่นี่แล้วจะได้เป็นดารามั้ยผมคงให้คำตอบหรือการันตีให้ไม่ได้นะครับ แต่ถ้าจะถามว่าเรียนที่นี่แล้วมีโอกาสได้เป็นนักแสดงมั้ย ผมขอยืนยันกับคุณพ่อว่าได้แน่นอนครับ”
“...” คุณพ่อของเด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปหลังจากได้ฟังก่อนจะพยักหน้าตามด้วยความเข้าใจ
“ถ้าคุณพ่อสนใจสมัครให้น้องติดต่อลงทะเบียนที่เคาน์เตอร์ได้เลยนะครับ” ศิลาพูดแล้วผายมือไปยังเคาน์เตอร์ที่กานต์กำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ลงทะเบียนให้เด็กอีกคนอยู่
สถานการณ์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนเลยเวลาเที่ยงไปแล้วสตูดิโอจึงค่อยๆ เงียบลง กานต์นั่งทิ้งตัวลงที่โซฟาพร้อมถอนหายใจยาว ส่วนศิลากับอาโปนั้นเดินมานั่งลงข้างๆ พร้อมกล่องผลไม้ที่ป้าพรเตรียมไว้ให้
“เหนื่อยอะดิพี่” ศิลาเอ่ยแซวกานต์ที่หลับตาทิ้งหัวบนพนักพิงของโซฟา
“เออดิ แต่ก็คุ้มเหนื่อย จริงมั้ยครับพี่โป”
“ก็จริงนะ”
“ต้องขอบคุณเอ็มมันนะที่ทำให้ที่นี่เป็นที่รู้จัก” ศิลาพูดแซวแทรกขึ้นมาทำเอาอีกสองคนอดที่จะขำออกมาเบาๆ ไม่ได้
“เออ งั้นชวนน้องมันมากินข้าวกันมั้ยล่ะเย็นนี้” อาโปถาม
“อยากกินปิ้งย่างอ่า” คนน้องหันไปอ้อนหนัก แล้วมีเหรอที่คนอย่างอาโปจะไม่ยอม
เพราะจุดอ่อนของเขาก็คือลูกอ้อนของศิลานี่แหละ...
“ก็เอาสิ” อาโปพยักหน้าก่อนเอ่ยตอบ
“เย่!!”
“งั้นไปร้านเดิมที่ไปคราวก่อนดีมั้ยครับ”
“ได้ครับ” ศิลายิ้มกว้างพยักหน้ารับเพราะเรื่องของกินนี่คนอย่างเขาไม่เคยถอยอยู่แล้ว อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นร้านไหนเขาก็โอเคทั้งหมดนั่นแหละ
เมื่อดวงอาทิตย์ค่อยๆ เริ่มคล้อยลงไปที่เส้นขอบฟ้าและผู้คนในสตูฯ เริ่มบางตาเพราะว่าคลาสเรียนทั้งหมดของวันนี้ได้หมดลงแล้ว ทั้งอาโปและศิลารวมไปถึงกานต์ก็เริ่มทยอยเก็บข้าวของส่วนตัวลงกระเป๋าเตรียมที่จะโยกย้ายตัวเองไปยังร้านปิ้งย่างร้านประจำที่ได้โทรจองเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
“ป้าพรครับ วันนี้ผมฝากล็อกสตูฯ ด้วยนะครับ” อาโปเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้ม
“ได้เลยคะคุณอาโป เดี๋ยวป้าจัดการให้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
รถยนต์คันคุ้นเคยเคลื่อนตัวเลี้ยวเข้าซอยสุขุมวิท 5 บริเวณสถานีรถไฟฟ้านานาเพื่อตรงเข้าไปยังร้านปิ้งย่างเกาหลีร้านโปรดที่อาโปและศิลาชอบมากินกันบ่อยๆ เพราะเจ้าของร้านเป็นคนเกาหลี ทำให้รสชาติอาหารถูกถอดแบบมาจากเกาหลีเป๊ะๆ เหมือนนั่งกินอยู่ที่นู่นเลย ซึ่งร้านก็แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจนแถมยังมีห้องไพรเวทไว้บริการอีกด้วย แน่นอนว่าทั้งคู่เลือกจองห้องไพรเวทเพราะวันนี้จะมีเอ็มมานั่งรับประทานรวมถึงพูดคุยธุระปะปังต่างๆ การมีห้องที่ค่อนข้างส่วนตัวก็ดูจะเหมาะสมกับการมากินอาหารในมื้อนี้มากกว่า
“มาๆ นั่งๆ” อาโปกวักมือเรียกเอ็มให้มานั่งตรงที่ว่างด้านข้างกานต์ เมื่อหันไปเห็นอีกฝ่ายเดินผ่านบานประตูห้องไพรเวทของร้านปิ้งย่างเข้ามา
“หวัดดีครับ”
“จะเอาเนื้อหรือหมู” อาโปถาม
“ผมได้หมดเลยครับ”
“งั้นเนื้อละกันเนอะ กินให้เต็มที่นะ พี่เลี้ยง”
“ค้าบ”
เพียงไม่นานบรรดาอาหารจานหลักและจานรองก็ถูกพนักงานร้านนำเข้ามาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะไปหมด ทั้งเครื่องเคียง ซอสสำหรับจิ้ม ผักสดต่างๆ รวมไปถึงจานเนื้อสดหลากหลายแบบและเครื่องดื่มที่ต่างคนต่างสั่งที่ตัวเองชอบ
เสียงฉู่ฉ่าดังขึ้นเมื่ออาโปและศิลาเริ่มคีบเนื้อสดลงไปวางบนเตาย่าง กลุ่มควันลอยสูงขึ้นไปด้านบนเรียกรอยยิ้มและแววตาแห่งความหิวโหยได้เป็นอย่างดี
“เอ็ม รู้ตัวมั้ยว่ากลายเป็นคนสำคัญของพี่โปไปละเนี่ย” ศิลาพูดแซวขึ้นหลังจากที่เคี้ยวและกลืนเนื้อย่างลงคอไป
“ฮะ ผมเนี่ยนะพี่”
“ก็ตั้งแต่เปิดตัวซีรีส์ของพี่เตไป ก็มีแต่คนตามมาสมัครเรียนที่สตูฯ ตามที่แกเคยให้สัมภาษณ์อะ”
“อ่อ... ก็ผมพูดเรื่องจริง”
“นั่นแหละ คนเลยมาสมัครกันเยอะเลย เพราะอยากเป็นดาราแบบแกบ้าง” ศิลาเอ่ยแซว ยิ้มเล็กยิ้มน้อยไปด้วย
“เกินไป เรียกว่านักแสดงผมยังสบายใจกว่าอีก”
“เอาน่ะ ยังไงก็ขอบคุณเอ็มมากนะ พี่รู้สึกประสบความสำเร็จละตั้งแต่เปิดสตูฯ มา” อาโปพูดขึ้นทำเอาเอ็มรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย เพราะคำชมที่ถูกกล่าวขึ้นโดยคนตรงหน้ามันดูจะเกินจริงไปสักหน่อยในความคิดของเอ็ม
“ผมต้องขอบคุณพี่อาโปมากกว่าที่ให้โอกาสผม”
“จริงๆ ต้องขอบคุณศิลานะ เพราะเขาเป็นคนคอยผลักดันนายอยู่ตลอด” อาโปเอ่ยบอกพลางหันไปยิ้มให้ศิลาที่นั่งเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ด้านข้าง
“เพราะเอ็มมันเก่งต่างหาก ผมไม่ได้ช่วยผลักดันอะไรขนาดนั้นสักหน่อย” ศิลารีบปฏิเสธ
“ขอบคุณนะครับ” เอ็มหันไปขอบคุณก่อนจะกลับมาโฟกัสกับของกินตรงหน้าต่อ
“หลังจากนี้คงต้องเหนื่อยกันมากกว่าเดิม ยังไงก็สู้ๆ นะ” อาโปเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
บรรยากาศภายในร้านเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเซ็งแซ่รวมถึงในห้องที่กลุ่มของอาโปนั่งอยู่ด้วย อันที่จริงมันก็ไม่ได้เสียงดังมากมายอะไรจนกระทั่งเตชินท์เดินทางมาถึงแล้วนั่งร่วมโต๊ะด้วยนั่นแหละ จุดเริ่มต้นของการระบายอารมณ์จากการทำงานอันเหน็ดเหนื่อยมาหลายวันก็ได้ระเบิดออกมาไม่หยุด
เตชินท์พูดไม่หยุดตั้งแต่เริ่มจนจบทำให้ระยะเวลาในการกินอาหารของพวกเขาเพิ่มขึ้นเป็นอีกเท่าตัว เพราะเอาแต่พูดมากกว่าที่จะได้กินจนบางครั้งก็เผลอทำเนื้อย่างไหม้ไปหลายชิ้นอย่างน่าเสียดาย
“มึง ร้านจะปิดละนะ รีบกิน” กานต์เอ่ยทักเตือนขึ้นมา เมื่อน้องพนักงานมากระซิบบอกว่าอีกสิบห้านาทีร้านจะปิดแล้ว
“เออๆ” เตชินท์พยักหน้ารับก่อนจะรีบยัดเนื้อย่างที่ถูกคีบมาวางไว้ที่จานจนหมด
บทสนทนามีต่อไปได้อีกสักพัก ทุกคนก็แยกย้ายกันออกจากร้านแล้วเดินทางกลับบ้านของตัวเอง จากที่ตั้งใจว่าจะพาเอ็มมาเลี้ยงข้าวเพื่อเลี้ยงขอบคุณกลับกลายเป็นวงสนทนาเพื่อระบายความอึดอัดในใจเรื่องงานของเตชินท์แทน
ซึ่งหลังจากวันที่ต้องเป็นฝ่ายรับฟังคำบ่นของเตชินท์ที่มากมายในวันนั้นสู่การเผชิญหน้ากับความยุ่งวุ่นวายของงานที่สตูดิโอของตัวเองในวันนี้ ทำเอาอาโปและศิลาก็เกือบจะตั้งรับไม่ทัน เพราะปกติที่ผ่านมาสตูฯ ไม่เคยวุ่นวายและคนเยอะขนาดนี้ มีเพียงนักเรียนไม่กี่คลาส แต่ตอนนี้คือมีคลาสเต็มทั้งวันจนทำให้ทั้งอาโป ศิลา กานต์ต่างพากันหัวหมุน ไม่เว้นแม้แต่ป้าพรที่ต้องยุ่งกับงานทำความสะอาด เพราะต้องรับภาระเพิ่มมากขึ้นด้วย
เพราะจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นก็ทำให้เกิดความสกปรกได้ง่ายขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
แถมช่วงนี้ก็ดันเป็นช่วงเดียวกับที่อาโปได้เริ่มโปรเจ็คทำเพลงไว้เซอร์ไพรส์ศิลาไปแล้วด้วยก็เลยทำให้ทุกอย่างประเดประดังเข้ามาในช่วงเวลาเดียวกัน ก็ไอ้ตอนที่เริ่มทำเพลงเตชินท์ก็ยังไม่ได้บอกว่าจะเปิดตัวนักแสดงในซีรีส์ที่เขาทำตอนไหน ฝั่งอาโปเห็นว่าตัวเองเริ่มว่างก็เลยหาทำเพลงเป็นของตัวเองสักหน่อยเอาไว้มอบให้ศิลา แต่ซีรีส์ก็ดันเปิดตัวพระเอกขึ้นมาซะก่อน แถมกระแสดีอย่างน่าประหลาดใจสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ที่ไม่เคยมีผลงานมาก่อนอย่างเอ็ม
ตอนนี้อาโปก็เลยงานล้นท่วมหัวจนแทบไม่มีเวลาได้พัก
ศิลาพอเห็นแบบนั้นก็พยายามที่จะช่วยเหลืองานของอาโปและสตูดิโอให้ได้มากที่สุด จึงอาสาเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องของบัญชีซึ่งเป็นงานที่เขารับผิดชอบอยู่แล้วโดยปกติแต่เพิ่มการดูแลด้านการบริหารงานส่วนอื่นเข้ามาด้วย เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระให้กับอาโปที่วันๆ หนึ่งต้องวิ่งหลายงาน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ศิลาก็เคยแอบเปรยๆ ว่าให้หาผู้ช่วยเพิ่มอีกสักตำแหน่งคอยประสานงานอื่นๆ ที่อาโปไม่จำเป็นต้องไปด้วยตัวเองก็ได้ แต่อาโปก็ปฏิเสธเพราะไว้ใจตัวเองมากกว่า อีกอย่างเขาก็บอกว่าสตูดิโอยังเป็นแค่บริษัทเล็กๆ อะไรที่จะประหยัดงบได้ก็อยากจะเซฟไว้ก่อน
หลายวันหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาวันชีวิตประจำวันของทั้งอาโปและศิลาก็ยังคงวนลูปอยู่แบบนั้น ทำให้เขาทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างได้คุยกันน้อยลง ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกันแต่ก็แทบไม่ได้มีช่วงเวลาที่มีความสุขด้วยกันเลยแม้แต่น้อยในช่วงที่ผ่านมา
“เหนื่อยมั้ยครับ” ศิลาในชุดนอนที่เอนตัวอยู่บนเตียงพลิกตัวหันหน้าเข้าหาอาโปแล้วเอ่ยถามเสียงนุ่ม
“ก็...นิดหน่อยครับ” อาโปตอบเสียงอ่อนก่อนจะคว้ามือมาโอบกอดคนที่นอนอยู่ข้างๆ
“ให้ผมช่วยผ่อนคลายมั้ยครับ”
มือบางของศิลาค่อยๆ ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ก่อนจะใช้ริมฝีปากกดลงตรงผิวแก้มแล้วเลื่อนไปซุกไซ้ที่ลำคอขาวของอาโป ในขณะเดียวกันกับที่มือบางสัมผัสบริเวณต้นขาอ่อนของอาโปก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงจุดนั้น แต่ก็ถูกฝ่ามือหนาของอีกฝ่ายหยุดรั้งเอาไว้ก่อน
“ครับ?” ศิลาเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อถูกอาโปหยุดการกระทำเมื่อครู่
“พี่เพลียๆ อะ ไว้วันอื่นนะ”
“แต่เรา...ห่างกันไปนานมากแล้วนะครับ”
“ไว้พี่ชดเชยให้นะ วันนี้พี่เหนื่อยจริงๆ ครับ”
อาโปวาดแขนมากระชับกอดศิลาแน่นก่อนจะบรรจงกดริมฝีกปากลงบนหน้าผากอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนแล้วหลับตาลงเพื่อนอนต่อ ทำเอาศิลาที่อารมณ์ภายในกำลังเริ่มคุกรุ่นต้องหยุดชะงักลงแบบค้างคา ความต้องการที่ถูกจุดขึ้นมาแล้วใช่ว่าจะปล่อยให้มันหายไปได้ง่ายๆ ซะที่ไหน
“พี่โป เดี๋ยวผมมานะครับ”
“หืม? จะไปไหนครับ”
“ยังจะถามอีก ก็พี่ไม่เล่นด้วย ผมก็ต้องช่วยเหลือตัวเองก่อนสิครับ” ศิลาพูดจบก็ผละออกจากอ้อมกอดของอาโปแล้วลุกเดินลงจากเตียงไปยังห้องน้ำทันที
“เอ้า! เดี๋ยวสิหนู” อาโปรีบลุกแล้ววิ่งตามคนน้องไปทันที
ปึง!!
ทั้งแขนและตัวของอาโปชนประตูห้องน้ำดันไว้ได้ทันก่อนที่ศิลาจะปิดลง อาโปพยายามออกแรงสู้กับแรงของคนด้านในแล้วผลักเข้าไปด้านในห้องน้ำก่อนจะรีบรุดเข้าไปสวมกอดร่างบางไว้ทันที
“อย่าเพิ่งงอนสิครับ”
“ผมไม่ได้งอน”
“แล้วลุกหนีมาทำคนเดียวทำไม”
“ก็พี่โปเหนื่อยนี่ครับ”
“ก็ใช่...”
“พี่โปกลับไปนอนเถอะครับ ช่วงนี้พี่ทำงานหนักทุกวัน ผมเข้าใจ”
“แต่...”
“ทำไมครับ”
“ทำคนเดียวมันจะไม่สนุกน่ะสิ”
“ก็เมื่อกี้พี่บ่นเหนื่อย”
“ให้พี่ช่วยดีกว่าเนอะ คงไม่ได้เหนื่อยไปมากกว่านี้สักเท่าไหร่หรอก” อาโปเอ่ยพร้อมรอยยิ้มแล้วกดจูบลงบนริมฝีปากของศิลาก่อนจะปล่อยให้ห้วงแห่งกามารมณ์นำพาพวกเขาทั้งคู่ดำเนินไปสู่เส้นทางความสุขที่พวกเขากำลังโหยหา