เสียงกุกกักดังขึ้นที่อีกฝั่งหนึ่งของประตูห้องนอนซึ่งเป็นเสียงที่ทั้งศิลาและอาโปคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะมันคือเสียงตะกุยประตูของแมวตัวโปรดที่ศิลาเลี้ยงดูฟูมฟักมาหลายปี
“เจ้าน้องงงง” ศิลาเปิดประตูออกไปก็เจอแมวตัวโตนั่งหน้าจ๋องอยู่บริเวณหน้าห้อง
“อื้อ...” เสียงงัวเงียดังขึ้นเบาๆ พร้อมเสียงขยับตัวที่ลอยมาจากเตียงนอนทำเอาศิลาหันไปมอง ก่อนจะก้มลงไปอุ้มเอาเจ้าน้องขึ้นมาไว้ในอ้อมอกแล้วเดินกลับเข้าไปนั่งลงบนเตียงข้างๆ ร่างหนาของอาโปที่กำลังนอนอยู่บนนั้น
“ตื่นแล้วหรอครับ” ศิลาเอ่ยถาม
“ครับผม” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นพลางวาดมือมาโอบกอดคนน้องที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“เช้านี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ” ศิลาเอ่ยถามโดยที่มือบางของตัวเองกำลังเล่นผมของคนพี่อยู่
“แบบเดิมก็ได้ครับ”
“โอเคครับ”
ศิลายิ้มกว้างแล้วอุ้มเจ้าน้องเดินออกจากห้องนอนเพื่อตรงไปยังห้องครัวทันที คำว่าแบบเดิมของอาโปก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากไปกว่าขนมปังปิ้งทาแยมสตรอว์เบอรี่สองชิ้น ไส้กรอกหนึ่งแท่ง ไข่ดาว และกาแฟหนึ่งแก้ว แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง เพราะบางทีคำว่าแบบเดิมของอาโปก็อาจจะหมายถึงเพียงแค่ซีเรียลใส่นมชามโตเพียงแค่นั้น
ซึ่งเช้านี้แบบเดิมของอาโปนั้นคือแบบแรก...
ถ้าถามว่าแล้วศิลาจะรู้ได้ไงว่าอาโปต้องการกินมื้อเช้าแบบเดิมในแบบไหน ก็คงจะต้องบอกว่ามันคงเป็นเรื่องของพลังพิเศษล่ะมั้ง ที่ศิลาสามารถเดาใจของอาโปได้...
แต่ถ้าพูดแบบนั้นก็คงจะตลกพิลึก อันที่จริงศิลาไม่รู้หรอกว่าแบบเดิมในแต่ละครั้งที่อาโปพูดนั้นหมายถึงเมนูอะไร แต่เขามักจะทำสองอย่างนี้อยู่ซ้ำๆ และอาโปไม่เคยบ่นแม้แต่ครั้งเดียวว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากกิน นั่นก็เลยทำให้ศิลาเหมาคิดเอาเองว่าเขาเข้าใจถูก
เสียงฉู่ฉี่ของน้ำมันในกระทะกำลังปะทุด้วยความร้อนดังเป็นระยะ เมื่อศิลาตอกไข่ลงไปที่ฝั่งหนึ่งของกระทะและใส่ไส้กรอกลงไปอีกฝั่งหนึ่ง รอจนสุกแล้วตักขึ้นมาใส่จานจัดแต่งด้วยผักอีกนิดเพิ่มความสวยงาม ก่อนจะเดินไปหยิบขนมปังที่เพิ่งเด้งออกมาจากเครื่องปิ้งอัตโนมัติมาทาแยมจนเต็มทั้งสองแผ่นแล้ววางลงบนจานอีกใบ ก่อนจะยกอาหารทั้งหมดไปวางไว้บนโต๊ะอาหารมุมประจำที่อาโปชอบนั่ง จากนั้นจึงค่อยเดินไปชงกาแฟสำเร็จรูปมาเสิร์ฟไว้ข้างๆ จานอาหาร
หลังจากศิลานำจานอาหารมาจัดวางไว้บนโต๊ะเพียงไม่นาน อาโปก็เดินลงมาด้วยชุดทำงานที่ดูเข้ากันดีกับตัวเขาเอง ดูสมาร์ทแต่ก็ยังให้ความรู้สึกสบายและเข้าถึงง่าย เขาเดินตรงมานั่งยังบริเวณที่ศิลาจัดไว้ให้ จากนั้นคนน้องก็หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ
“รู้ใจพี่ตลอดเลย” อาโปยิ้มกว้างแล้วหันไปพูดกับศิลาด้วยเสียงอุ่น
“ขอบคุณครับ”
มือหนาของอาโปยกขึ้นยีหัวของศิลาอย่างนุ่มนวลก่อนจะหันไปสนใจจานอาหารที่คนน้องจัดเตรียมเป็นมื้อเช้าเอาไว้ให้ พอเห็นคนพี่เริ่มลงมือกินอาหาร ศิลาก็เลยตักอาหารเข้าปากของตัวเองบ้าง เสียงช้อนกระทบจานดังคลอไปกับเสียงเพลงที่ศิลาแอบต่อลำโพงบลูทูธไว้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มทำกับข้าว บรรยากาศยามเช้ามักเป็นอย่างนี้อยู่เสมอเว้นก็แต่วันที่อาโปต้องรีบออกไปแต่เช้า
“เอ้อพี่โป” จู่ๆ ศิลาก็เอ่ยเรียกอีกฝ่ายขึ้นมาระหว่างที่กำลังกินข้าวกันอยู่เพลินๆ
“ว่าไงครับ”
“คือ...วันก่อนที่พี่กานต์ลองเข้าไปดูเด็กๆ ตอนเรียนอะครับ แล้วก็เลยสนใจให้ไอ้เจ้าเอ็มไปแคสติ้งซีรีส์เรื่องใหม่ที่พี่เตจะทำอะ ผมก็เลยได้ไอเดียว่าถ้าให้พี่เตมาลองเปิดแคสติ้งที่สตูฯ ของเราจะดีมั้ยพี่ เผื่อว่าเด็กๆ คนอื่นจะได้มีโอกาสบ้าง”
“อืมม... จริงๆ ก็ดีนะ” อาโปเอ่ยพูดพลางคิดตาม “ก็ให้ใช้สตูฯ เราเป็นโลเคชั่นแคสติ้งไปเลยสิ แล้วก็ให้คนทั่วไปมาร่วมแคสต์ด้วยเลย”
“จะดีเหรอพี่”
“ทำไมอะ” อาโปสงสัยเมื่อได้ยินคำขัดของศิลา
“ก็...จริงๆ ไม่ใช่ไม่ดีนะพี่โป แต่ถ้าเราให้โอกาสเด็กที่เรียนในสตูฯ เราก่อนน่าจะดีกว่านะครับ”
“...” อาโปยังเงียบแล้วมองหน้าศิลานิ่ง ราวกับอยากจะรู้ต่อ
“ก็แบบ ถ้าเปิดให้คนทั่วไปมาแคสต์ด้วยแต่แรก เด็กๆ เราก็จะได้โชว์ศักยภาพไม่เต็มที่มั้ยครับ เพราะจำนวนคนก็จะเยอะ เวลาก็จะมีจำกัดด้วย”
“อ่อ... ก็จริง”
“แต่ถ้าเราให้แคสต์เฉพาะเด็กๆ ในสตูฯ เราก่อน ก็น่าจะได้โชว์ของกันเต็มที่ เพราะคนไม่เยอะ ใช้เวลาได้เต็มที่ด้วย คนที่จะได้ประโยชน์สูงสุดก็น่าจะเป็นเด็กเรานะพี่” ศิลาเอ่ยอธิบายยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว โดยมีอาโปที่นั่งฟังอยู่พร้อมรอยยิ้มกว้าง
“อื้ม ดีนะ ต่อไปเราก็ใช้ตรงนี้มาเป็นจุดขายให้สตูฯ ได้อีกด้วย ว่าถ้าใครเรียนที่นี่ ก็มีโอกาสได้แคสต์งานก่อนใครไรงี้” อาโปพูดเสริมหลังจากได้ฟังคำพูดของศิลา
“ใช่มั้ยครับ”
“ว่าแต่ ไอ้เตมันคงจะไม่ได้ทำซีรีส์แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวหรอกเนอะ ฮ่าๆ” อาโปเอ่ยแซว เพราะเอาจริงเขาก็แอบกังวลว่าถ้าหากไอ้เตทำซีรีส์แค่เรื่องเดียวแล้วไม่ทำอีก เขาก็คงจะแย่ อุตส่าห์แพลนจะโปรโมทสตูฯ ด้วยคอนเทนต์นี้
“แหม่พี่โป ถึงต่อไปไอ้เตจะไม่ได้ทำซีรีส์เอง แต่ก็ยังมีคอนเน็กชั่นอื่นๆ เยอะแยะ ไม่เห็นต้องกังวลเลยครับ” ศิลาเอ่ยพูดขึ้นจนอาโปที่ได้ฟังก็แอบสบายใจขึ้นมาได้เล็กน้อย
“เก่งจัง แฟนใครเนี่ย” อาโปเอ่ยแซวคนน้องที่นั่งอยู่ข้างๆ
“แฟนหมามั้งครับ”
“งั้นพี่ก็ยอมเป็นหมาทั้งชีวิตเลยครับ”
“แหวะ! จะอ้วก”
“อิ่มแล้วใช่มั้ยครับ” ศิลาถามพลางมองจานเปล่าที่วางอยู่ด้านหน้าของคนพี่
“ครับ”
“มาครับเดี๋ยวผมเก็บให้”
“ขอบคุณงับ”
สิ้นเสียงพูด อาโปก็ฉวยโอกาสมุดหน้าไปขโมยหอมแก้มอีกฝ่ายเสียฟอดใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศิลาตื่นตระหนกสักเท่าไหร่นักด้วยความเคยชิน จากนั้นศิลาก็เอื้อมมือไปเก็บจานให้แล้วเดินไปวางไว้ในอ่างล้างจานที่อยู่ในครัว ในขณะเดียวกันอาโปก็ย้ายตัวเองไปนั่งรออยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น
ฝ่ายศิลาเมื่อเก็บจานชามช้อนแก้วบนโต๊ะมาทำความสะอาดจนเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาที่จะต้องออกไปสตูฯ สักที โชคดีที่วันนี้ไม่มีคลาสเช้า ทำให้เขาทั้งคู่สามารถใช้เวลาช่วงเช้าอยู่ที่บ้านได้นานขึ้นอีกหน่อย
“ไปครับ เสร็จแล้ว” ศิลาเดินมาหาอาโปที่นั่งรออยู่ที่โซฟาพลางเอามือวางแตะที่ไหล่ของคนพี่ ก่อนที่อาโปจะลุกขึ้นแล้วพากันเดินออกไปด้านนอก
--------- The Story of Water and Stone 2 ---------
รถยนต์ขับเข้ามาจอดที่บริเวณลานจอดรถด้านข้างอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของสตูดิโอของ AS Studio & Academy ร่างบางของศิลาเดินออกมาจากรถยนต์คันนั้นก่อนจะปิดประตูรถแล้วเดินไปสแกนลายนิ้วมือที่ประตูด้านหน้าของสตูดิโอเพื่อเปิดมันออก
เขาเดินเข้าไปวางกระเป๋าตัวเองที่บริเวณเคาน์เตอร์ซึ่งเป็นที่นั่งประจำของเขาก่อนจะไล่เปิดไฟเพื่อเพิ่มความสว่างให้กับทุกพื้นที่ของสตูฯ ก่อนที่อาโปจะเดินตามเข้ามาด้านใน
“พี่ขึ้นไปข้างบนก่อนนะ” อาโปพูดจบก็หันหลังเดินขึ้นชั้นสามไป
ศิลาหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วเปิดคอมพิวเตอร์ประจำสาขาขึ้นมาเพื่อเปิดเพลงสร้างบรรยากาศให้กับสตูฯ ได้มีความครื้นเครงขึ้นมาสักหน่อย ดีกว่าปล่อยให้มันเงียบเชียบจนเกินไป เมื่อเสียงเพลงเริ่มบรรเลงขึ้นความมีชีวิตชีวาต่างๆ ก็ดูเหมือนว่าจะเริ่มต้นขึ้นด้วย
ไม่นานสักเท่าไหร่นัก ป้าพรก็เดินทางมาถึงที่ทำงานก่อนจะตามมาด้วยกานต์ที่เดินเข้ามาพร้อมถุงอาหารมากมายเหมือนในทุกๆ วัน ศิลาและอาโปแทบจะไม่ต้องซื้ออะไรกินเลยด้วยซ้ำเวลามาที่สตูฯ เพราะกานต์ไม่เคยพลาดที่จะซื้อของกินเข้ามาฝากอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่เริ่มทำงานที่นี่มา...
“เดี๋ยวป้าเอาไปไว้ในครัวให้ค่ะ” ป้าพรเดินมารับของจากมือของกานต์
“ขอบคุณครับป้า”
“ไปสรรหาซื้อมาจากไหนได้ทุกวันเนี่ยพี่” เสียงพูดกลั้วหัวเราะบางๆ ของศิลาเอ่ยทักเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้
“ก็ตลาดนั้นตลาดนี้อะ ขับรถผ่านตรงไหนก็แวะซื้อมาเรื่อยเปื่อย” กานต์พูดพลางนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆ ศิลา
“ขยันจัด แต่ก็ดีละ ผมกับพี่โปจะได้มีของกินฟรี ฮ่าๆ”
“เออ กูก็ซื้อมาให้พวกมึงแดกนั่นแหละ”
“เอ้อ พี่กานต์”
“ว่าไง”
“คือ...ผมมีเรื่องจะปรึกษาหน่อยอะ”
“อื้อ” กานต์พยักหน้าแล้วหามาตั้งใจฟังสิ่งที่ศิลากำลังจะพูด
“ผมกำลังคิดว่า ถ้าสมมติว่าให้พี่เตมาเปิดแคสติ้งเด็กๆ ในสตูฯ แบบจริงๆ จังๆ จะดีกว่ามั้ยไรงี้อะพี่ แบบ..เผื่อจะมีเด็กคนไหนที่เข้าตาเพิ่มเติม พวกบทสมทบไรงี้อะครับ” ศิลาเอ่ยพูดแบบอึกๆ อักๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะเกรงใจอีกฝ่ายด้วย
“อืมม... จริงๆ ก็ดีนะ คนกันเอง ช่วยๆ กันไป”
“งั้น... ผมฝากพี่คุยกับพี่เตให้หน่อยดิ”
“เออๆ เดี๋ยวลองคุยให้ ยังไงเดี๋ยวมาอัพเดท”
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมจะได้แจ้งเด็กๆ” ศิลายิ้มกว้างก่อนจะเดินขึ้นไปหาอาโปที่ชั้นสาม
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นในขณะที่อาโปกำลังประชุมออนไลน์อยู่กับทางต่างประเทศอยู่ ศิลาแง้มประตูเข้ามาแต่ไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากทักทายอีกฝ่ายเขาก็สังเกตเห็นว่าคนพี่กำลังคุยงานอยู่ ศิลาจึงเดินเข้าไปนั่งเงียบๆ ที่โซฟาเพื่อรออีกฝ่ายเสร็จธุระก่อน ไม่นานอาโปก็เสร็จธุระที่ตัวเองกำลังติดพันอยู่ก่อนจะหันมาทักร่างบางที่นั่งเล่นมือถือรออยู่
“มีอะไรมั้ยหนู” อาโปเดินมานั่งลงข้างกายของศิลา
“แป๊บนะครับ ผมเล่นเกมอยู่ จะจบแล้วครับ” สายตาของคนน้องมองจ้องที่หน้าจอมือถือแบบไม่ละสายตา คิ้วขมวดผูกเป็นปมเพราะกำลังอยู่ในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม กำลังจะเป็นช่วงเวลาตัดสินว่าเขาจะชนะหรือแพ้
“โอเคครับ เสร็จแล้วบอกพี่นะ”
อาโปแอบถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ทำงานตัวประจำของตัวเองแล้วเอนพิงกายกับพนักเก้าอี้แบบเต็มกำลัง เพราะอาการเมื่อยล้าจากการที่นั่งประชุมออนไลน์เป็นเวลานานเมื่อครู่
เวลาผ่านไปพักใหญ่อาโปยังนั่งรออยู่แบบนั้นโดยที่ทำงานรอไปด้วย สายตาก็แอบมองศิลาอยู่เป็นระยะโดยที่อีกฝ่ายก็จดจ่ออยู่หน้าจอแบบไม่ลดละ เป็นเวลานานพอสมควรกว่าศิลาจะวางมือถือลงแล้วลุกเดินมาหาอาโปที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน
“เสร็จแล้วครับ” ศิลาเดินยิ้มแป้นมาอาโปที่โต๊ะทำงาน
“อื้ม” อาโปตอบเสียงสั้นๆ สายตาจ้องมองหน้าจอคอมนิ่ง
“พี่โปครับ” ศิลาเรียกย้ำ
“อื้ม”
“เป็นไรอ่า” คนน้องเอ่ยเสียงอ้อน
“...”
อาโปนิ่งเงียบไม่ส่งเสียงตอบอะไรออกมา
“พี่โป... งอนหรอครับ” ศิลาจ้องอีกฝ่ายตาแป๋ว เพราะเริ่มรับรู้ถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้าอย่างเห็นได้ชัด
“อื้อ” เสียงตอบรับครางขึ้นเบาๆ ในลำคอจากฝ่ายของอาโป ทำเอาศิลาแอบหลุดขำออกมาน้อยๆ เพราะเอ็นดูในความขี้งอนของคนตัวโตที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“งอนอะไรอ่า...” ศิลาพูดพลางวิ่งอ้อมโต๊ะเข้าไปหาอาโปแล้วหย่อนตัวนั่งลงบนตักอีกฝ่าย
“ก็หนูไม่สนใจพี่เลยอะ”
“เอ๊า! ก็เล่นเกมแป๊บเดียวเองครับ”
“แต่หนูเข้ามาหาพี่ไม่ใช่เหรอครับ” อาโปยังคงเอ่ยต่อพลางวาดมือกอดเอวของร่างบางไว้แน่น
“เห็นพี่ประชุมอยู่ ผมก็เลยเล่นฆ่าเวลาอ่า...”
“พี่งอนอยู่ จะง้อพี่แบบไหนดีครับ” อาโปเอ่ยพูดด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ศิลามองกลับอย่างรู้ทัน
คนน้องเผยอยิ้มบางๆ บนใบหน้าก่อนจะค่อยๆ ก้มลงกดริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล เพราะเขารู้ดีว่าทุกทีที่ฝ่ายคนพี่มีอาการงอนเขาจะต้องง้อด้วยวิธีการใด และมันก็ได้ผลในทุกครั้ง
“หายงอนรึยังครับ” ศิลายิ้มแป้นแล้วเอ่ยถาม
“หายก็ได้ครับ” อาโปยิ้มอุ่นแล้วลอบหอมแก้มอีกฝ่ายแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“พี่โปขี้งอนจังนะครับช่วงนี้”
“ก็ช่วงนี้แฟนพี่มันต้องเจอคนเยอะนี่นา พี่ก็ต้องหวงเป็นธรรมดา”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกพี่ ยังไงผมก็รักพี่คนเดียวแหละ งอนเป็นเด็กไปได้”
“แล้ว...” อาโปเอ่ยพูดพลางคิดก่อนจะเงียบเสียงไป
“ครับ?”
“หนูจะลุกตอนไหนอะ พี่หนัก” อาโปเอ่ยเสียงแห้งพร้อมเสียงหัวเราะแหะๆ
“อะโด่! แค่นี้ก็ทนไม่ได้” คนน้องลุกขึ้นจากตักของอาโปแล้วเดินมาลากเก้าอี้ไปนั่งข้างๆ คนพี่ “หรือว่าผมหนักขึ้นหรอ”
“คงงั้นมั้ง ฮ่าๆ” อาโปหัวเราะลั่นจนโดนศิลายกมือบางขึ้นฟาดไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้
“เอ้อพี่โป ผมคุยกับพี่กานต์แล้วนะครับ เรื่องที่จะให้พี่เตมาเปิดแคสติ้งเด็กๆ ที่สตูฯ”
“อื้อ แล้วเป็นไงมั่งครับ”
“ก็ไม่น่าติดอะไรนะ เดี๋ยวพี่กานต์ไปลองคุยกับพี่เตให้”
อาโปพยักหน้ารับก่อนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “หนูลองไปคุยกับพี่กานต์นะ ว่าถ้าสตูฯ เราจะขอเป็นสปอนเซอร์ให้ซีรีส์ด้วยจะได้มั้ย พี่ยินดีสนับสนุนเต็มที่” อาโปค่อยๆ พูด โดยที่มีศิลานั่งฟังแล้วพยักหน้าตามหงึกๆ “พี่ว่าน่าจะดีนะ เผื่อเวลาที่ไอ้เตอยากได้พวกตัวประกอบหรือตัวสมทบไรงี้ ก็ให้มาเลือกจากเด็กของเรา ทั้งสตูฯ ทั้งเด็กก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ด้วย”
“อ่อ ได้พี่ เดี๋ยวผมลองไปคุยดู”
“ฝากด้วยนะครับที่รัก” อาโปพูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมจ้องมองศิลาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แบบที่ทำมาตลอด
“ค้าบบบบ” ศิลาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงลำดับที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ แต่มันก็น่ารักมากเสียจนอีกฝ่ายอดยิ้มตามไม่ได้