บทที่ 11 เป็นเรื่องจนได้

3222 Words
เสียงความวุ่นวายดังไปทั่วสตูฯ ตั้งแต่เช้าตรู่เพราะเย็นนี้จะเป็นครั้งแรกที่มิวสิควิดีโอเพลงแรกของนาโนจะถูกปล่อยสู่สายตาประชาชนทั้งประเทศ ช่วงเช้าถึงบ่ายจึงเป็นการเดินสายโปรโมทเพื่อให้สื่อต่างๆ ได้ทำความรู้จักและช่วยกันโปรโมทซิงเกิ้ลให้นาโนด้วย อาโปและศิลาจึงต้องรีบบึ่งมาสตูฯ แต่เช้าเพราะนัดนาโนให้มาแต่งหน้า ทำผม แต่งตัวที่นี่ “ช่างแต่งหน้ามาแล้วนะครับ กำลังจอดรถอยู่” กานต์เดินเข้ามาบอกอาโปที่กำลังดื่มกาแฟอยู่ด้านใน “โอเค ขอบใจมากน้อง” “แล้วนาโนล่ะครับ” ศิลาถามขึ้นระหว่างที่ทุกคนกำลังสนใจงานในส่วนที่ตัวเองต้องรับผิดชอบกันอยู่ “พี่โทรหาแล้ว แม่น้องบอกว่าใกล้ถึงละ” กานต์ตอบแล้วแล้วเดินขึ้นชั้นบนไปพร้อมช่างแต่งหน้าที่เดินแบกกระเป๋าสัมภาระเข้ามาใบเบ้อเริ่ม เข็มนาฬิกาบนเคาน์เตอร์ของสตูดิโอบอกเวลาหกโมงเช้าซึ่งเป็นเวลานัดของนาโนที่กานต์ได้แจ้งเอาไว้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นวี่แววของนาโน กานต์กดโทรหาแม่น้องอีกครั้งเมื่อรู้ว่าน้องยังมาไม่ถึง แต่คราวนี้กลับไม่รับโทรศัพท์เล่นเอาทุกคนตกใจกันยกใหญ่ เพราะรายการแรกในตอนเช้าเป็นรายการสดและไม่สามารถสายได้ หลังจากกานต์พยายามกระหน่ำกดโทรหาอยู่หลายสายจนเกือบสิบนาที รถยนต์ของแม่นาโนก็ขับเข้ามาจอดที่ด้านหน้าสตูฯ ก่อนที่นาโนจะเปิดประตูรถแล้วเดินลงมาด้วยความสะลึมสะลือ แม่นาโนเดินตามลงมาแล้วจูงมือนาโนให้เร่งฝีเท้าเข้ามาด้านในตึก “มาแล้วค่ะ ขับรถอยู่เลยไม่ได้รับสายค่ะ” “ครับ” กานต์ตอบรับด้วยน้ำเสียงนิ่ง “เดี๋ยวนาโนขึ้นชั้นสองเลยนะจะได้รีบแต่งหน้าทำผม เดี๋ยวไม่ทัน” “...” นาโนไม่ตอบอะไรแล้วเดินขึ้นชั้นสองไป อันที่จริงก็ไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วด้วยซ้ำ ไม่แม้แต่จะเอ่ยทักทายผู้ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย “ฝากน้องนาโนด้วยนะคะ” แม่นาโนหันไปยิ้มแล้วพูดกับศิลาที่ยืนอยู่ตรงนั้น “แล้วคุณอาโปล่ะคะ” “ดื่มกาแฟอยู่ในครัวครับ” “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวแม่ขอตัวกลับก่อน มีประชุมเช้าค่ะ” “ได้ครับ เดี๋ยวถ้าน้องเสร็จงานแล้วจะให้ทีมงานติดต่อไปแจ้งคุณแม่นะครับ” “ค่ะ” ตอบเสร็จแม่นาโนก็หันหลังแล้วเดินออกไปทันที เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นระหว่างที่เดินนั้นเรียกความน่ารำคาญได้ตั้งแต่เช้าตรู่ “คนห่าไรวะใส่ส้นสูงแต่เช้าเลย หนวกหูชิบหาย” กานต์บ่นอุบจนศิลาต้องใช้ข้อศอกสะกิดเตือนเพราะกลัวคนอื่นได้ยินเข้าจะดูไม่ดี “เบาๆ ดิพี่” “โทษทีมึง ก็มันทนไม่ไหวนี่หว่า” “ไปทำงานกันต่อเหอะพี่ เดี๋ยวไม่ทัน” “เออๆ” บริเวณชั้นสองในห้องที่เคยเป็นสถานที่ซ้อมเต้นบัดนี้ได้กลายเป็นห้องสำหรับแต่งหน้าแต่งตัวไปเสียแล้ว นาโนนั่งนิ่งให้พี่ช่างหน้าช่างผมจัดการแต่งองค์ทรงเครื่องให้กับตัวเอง วันนี้เป็นวันของเขาและต้องเป็นวันที่เขาดูหล่อที่สุด แต่ละฝ่ายเร่งมือกันหัวหมุนเพราะนาโนมาถึงช้ากว่าเวลาที่ได้นัดเอาไว้ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้จะรู้สึกรู้สาอะไรสักเท่าไหร่ว่าการมาสายของตัวเองนั้นมันทำให้คนอื่นๆ เขาต้องมาลำบาก ไม่มีแม้แต่คำขอโทษออกมาสักคำเดียว ถึงมันจะไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาบังคับกันว่าควรจะต้องพูด แต่มันก็เป็นมารยาทพื้นฐานที่ควรจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าการมาสายนั้นไม่ใช่เรื่องที่ปกติของมนุษย์ควรจะทำกัน กว่าจะเตรียมตัวเสร็จก็นานพอดู กานต์รีบพานาโนลงไปขึ้นรถตู้ที่เตรียมไว้ทันที ทีมพีอาร์ที่สตูฯ จ้างมาเมื่อเห็นนาโนลงมาที่รถก็ถอนหายใจยาว เพราะโล่งอกหลังจากที่ยกนาฬิกาขึ้นมาดูแล้วดูอีก กลัวจะไม่ทันเข้ารายการสดเช้านี้ “มาๆ ขึ้นรถเลยค่ะ ช้ากว่านี้ถ้ารถติดเราไปไม่ทันแน่ๆ ค่ะ” กานต์กระโดดขึ้นรถไปพร้อมกับนาโนและทีมพีอาร์ ส่วนศิลาและอาโปอยู่จัดการที่สตูดิโอให้เรียบร้อยเพราะยังมีสตาฟและทีมช่างหน้าผมที่กำลังเก็บข้าวของเพื่อรอแยกย้ายกลับบ้านกันอยู่ “มันจะออกมาโอเคใช่มั้ยพี่วันนี้” ศิลาเอ่ยถามอาโปขณะกำลังนั่งรอเหล่าสตาฟเก็บข้าวของกันอยู่ “ก็คงดีแหละ” “ไม่ค่อยไว้ใจเลย กลัวนาโนจะอาละวาดขึ้นมาอีก” “ไม่เป็นไรน่า มีกานต์ไปด้วยก็น่าจะเอาอยู่แหละ” อาโปยกมือขึ้นเอานิ้วโป้งคลึงที่หัวคิ้วทั้งสองข้างของคนน้อง เมื่อเห็นสีหน้าว่ากำลังเครียดและคิ้วกำลังขมวดผูกเข้าเป็นปม “เห้อ...” “ถ้าหนูกังวล เดี๋ยวพี่พาขับรถตามไปดูดีมั้ย จะได้สบายใจ” “แบบนั้นดีกว่าครับ” “โอเค งั้นเดี๋ยวส่งทุกคนกลับแล้วปิดสตูฯ ไปดูงานกัน” “ค้าบบ” ศิลาตอบรับสีหน้าดูสบายใจขึ้นมากเมื่อได้ยินข้อเสนอจากปากของอาโป ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจกานต์ แต่เพราะเขาไม่แน่ใจในนิสัยของนาโนมากกว่าที่ทำให้เขาต้องระแวดระวังพอสมควร เขาไม่อยากจะให้สตูฯ ของพวกเขาจะต้องมาเสียชื่อตั้งแต่งานแรก และเพราะงานเช้าขนาดนี้ก็เลยทำให้ศิลปินหน้าใหม่อย่างนาโนทำหน้าบอกบุญไม่รับมาตั้งแต่บนรถตู้ ทีแรกเขากะว่าจะแอบงีบสักหน่อยเพราะยังง่วงอยู่มากเนื่องจากมันยังไม่ถึงเวลาตื่นปกติของเขา แต่พอจะเอนตัวลงงีบพี่ทีมพีอาร์กลับบอกว่าไม่ให้นอนเพราะกลัวว่าผมจะพัง อีกอย่างคือกลัวว่างีบไปแล้วตื่นมาจะงัวเงียไม่สดชื่น ก็เลยทำเอานาโนหน้างอต่อเนื่องมาจนถึงที่สตูดิโอของรายการแรก “ยิ้มแย้มสดใสเข้าไว้นะพ่อหนุ่ม” กานต์พูดก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก เพราะเขาเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน “ครับ” นาโนยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มอึกใหญ่ก่อนจะเดินตามพี่ๆ ทีมงานลงไปด้านล่าง ทีมงานฝั่งรายการมาต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี นาโนยกมือไหว้ทักทายทุกคนตามที่ได้รับบรีฟมา จะได้ไม่ดูเป็นเด็กไร้มารยาทถึงแม้ว่าตัวจริงจะเป็นแบบนั้นก็ตามที ทุกอย่างราบรื่นเป็นไปได้ด้วยดีตามที่หลายๆ ฝ่ายคาดหวังไว้ ฟีดแบ็คที่มีต่อตัวนาโนจากทีมงานรายการก็ชื่นชมในความสามารถ รวมถึงตัวตนของนาโนที่ดูน่ารักน่าเอ็นดูเข้าถึงได้ง่ายจนอดที่จะเอ่ยปากออกมาไม่ได้ว่าจะช่วยสนับสนุนอย่างเต็มที่ คนทำงานอย่างกานต์พอได้เห็นและได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มปากกว้างจนจะฉีกไปถึงรูหู เพราะที่ผ่านมาก็สู้รบปรบมือกับนาโนและแม่ของน้องมาอย่างหนักหน่วง พอวันนี้ทำได้ดีก็อดชื่นชมไม่ได้ถึงจะรู้ว่านาโนกำลังอึดอัดก็ตามที ทำไงได้...ก็ถ้าอยากจะมีพื้นที่ในวงการนี้ก็ควรจะต้องลดอีโก้ของตัวเองลงบ้าง... --------- The Story of Water and Stone 2 --------- กริ๊งงง~ เสียงโทรศัพท์ของกานต์ดังเมื่อประตูรถตู้ปิดลง “ฮัลโหลครับพี่อาโป” (เสร็จจากที่แรกหรือยัง) “เสร็จแล้วครับ กำลังจะออกไปที่ที่สองครับ” (โอเค ที่สองอยู่แถวไหนนะ) “ถนนวิภาวดีอะพี่” (อ่อ เคๆ เดี๋ยวพี่ตามไปหาที่นั่น) “เห้ยพี่ ไม่ต้องมาก็ได้ เหนื่อยเปล่าๆ เดี๋ยวผมดูแลให้” (คนอยากไปไม่ใช่พี่ ศิลานู่น) “ทำไมอะ” (ก็บ่นเป็นห่วงนาโนน่ะสิ กลัวจะพลาด) “โถ่ ก็นึกว่าอะไร ไม่ต้องห่วงเลย ผมเอาอยู่” (มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ) “สุดๆ เมื่อเช้าก็ทำได้ดีมากพี่ ไม่ติดขัดเลย ปังงง” กานต์แอบสะดุ้งน้อยๆ เมื่อรู้ว่าตัวเองเริ่มเสียงดังก่อนจะหันไปเห็นนาโนที่เหล่ตามามอง เพราะรู้ว่ากำลังถูกนินทาอยู่ (ให้มันได้ตลอดรอดฝั่งก่อนเหอะ ค่อยโม้) “แรงนะเนี่ยพี่อาโป” (แซวๆ น่ะ เดี๋ยวเจอกันน้อง ขับรถต่อก่อน) “เคพี่ เจอกันครับ” กานต์กดวางมือถือก่อนจะเอนหลังพิงเบาะสักนิดแล้วหยิบไอแพดขึ้นมาเปิดดูตารางและรายละเอียดของรายการต่อไปว่ามีลักษณะเป็นยังไง รูปแบบไหน คำถามมีอะไรบ้าง เพื่อที่จะได้เตรียมตัวนาโนให้พร้อมก่อนจะไปถึงสถานที่จริง “เป็นยังไงบ้าง” อาโปเอ่ยถามหลังจากเดินเข้ามาหากานต์ที่กำลังยืนรออยู่ที่ลานจอดรถของสตูฯ ต่อมา “ที่แรกดีเลยครับ แต่ต้องรอดูไปเรื่อยๆ อะพี่ ภาวนาว่าอย่าออกฤทธิ์อะไรระหว่างวันเลย” “ดีละๆ อยู่ข้างในกันแล้วใช่มั้ย” “ใช่พี่ เพิ่งเข้าไปกันเมื่อกี้” “งั้นเดี๋ยวพี่หาอะไรกินรอแถวนี้ดีกว่า เข้าไปก็จะรบกวนเปล่าๆ” “ได้ครับ เดี๋ยวเสร็จแล้วผมไลน์บอก” กานต์ตอบก่อนจะขอตัวเดินตามเข้าไปข้างในเพราะต้องไปคอยดูแลนาโน อาโปกับศิลาก็เลยต้องเดินหาร้านกาแฟแถวๆ นั้นเพื่อนั่งรอ แม้จิตใจของศิลาจะว้าวุ่นเรื่องของนาโนจนแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน แต่ก็รู้สึกเบาใจขึ้นเยอะเมื่อได้ตามมาดูกับตาและได้ยินกับหูว่าทุกอย่างยังคงผ่านไปได้ด้วยดี “อีกนิดนึงพี่จะหึงแล้วนะ” อาโปเอ่ยบอกศิลาเมื่อเห็นท่าทีเป็นกังวลยังคงลอยชัดออกมาขณะที่นั่งกันอยู่ที่ร้านกาแฟ “โถ่ พี่โป อย่าเพิ่งล้อเล่นน่า” “พี่ไม่ได้ล้อเล่นนะ ก็หนูดูเป็นห่วงน้องเขาขนาดนี้ พี่เป็นแฟน พี่ก็ต้องรู้สึกไม่ดีบ้างสิครับ” “พี่โป ผมไม่ได้เป็นห่วงน้องเขา แต่ผมเป็นห่วงงานของพี่นะครับ” “...” “เพราะถ้าน้องมันทำงานออกมาได้ไม่ดี คนที่จะเสียชื่อคือพี่กับสตูดิโอของพวกเรานะ” ศิลาเอื้อมมือไปกุมมือของอีกฝ่ายแน่น “พี่ทนเหนื่อยมาขนาดนี้ ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายมันง่ายๆ หรอกนะ” อาโปได้ฟังก็ยิ้มออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว “ขอบคุณครับ” น้ำเสียงอบอุ่นของอาโปทำเอาอีกฝ่ายที่ได้ยินก็เผลอยิ้มออกมาเช่นกัน เป็นความอบอุ่นที่เขาสัมผัสได้เสมอมาตั้งแต่ได้รู้จักกับผู้ชายคนนี้ ไม่มีวันไหนที่หัวใจของศิลาจะไม่ได้รับความอบอุ่นเหล่านั้นเลยแม้แต่วันเดียว จากชายหนุ่มที่เคอะเขินกับความอ่อนโยนที่ได้รับจากคนตัวหนาตรงหน้ากลายเป็นว่าตอนนี้ศิลาเองก็เป็นคนอ่อนโยนไม่แพ้อาโปเหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างดูแลชีวิตซึ่งกันและกัน นับเป็นความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว... วันเวลาแห่งการเดินสายโปรโมทของนาโนผ่านไปได้ด้วยดี เพราะความร่วมมือของตัวนาโนเองที่ทำให้งานวันนี้ราบรื่นแบบไม่มีอุปสรรค อาโปและศิลาที่คอยขับรถตามไปยังสถานที่ต่างๆ ก็อุ่นใจขึ้นมาบ้างเมื่อได้สัมผัสกับความตั้งใจในการทำงานจริงของเด็กน้อยคนนี้ แม้จะมีบ่นงอแงบ้างแต่พออาโปซื้อขนมมาให้กินระหว่างนั่งรถก็พอจะทำให้อารมณ์ของนาโนดีขึ้นมาบ้าง จนเมื่อเห็นว่าพอที่จะวางใจได้แล้วและศิลาก็สบายใจขึ้น ทั้งคู่เลยขอตัวแยกกลับบ้านไป ปล่อยให้กานต์และทีมพีอาร์ดำเนินงานในส่วนของตัวเองต่อไปจนกว่าจะหมดวัน เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วตั้งแต่วันแรกที่ได้ปล่อยเอ็มวีของนาโนออกสู่สายตาประชาชน กระแสในช่วงวันสองวันแรกก็ถูกพูดถึงอย่างหลากหลายเพราะการพีอาร์ที่ดี รวมถึงพอทุกคนรู้ว่ามาจากค่ายของอาโปและศิลาที่เคยเป็นคู่จิ้นที่โด่งดังมากในสมัยที่ทั้งคู่ยังเรียนมหาลัยอยู่ก็ให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก แต่พอเวลาผ่านไปก็ค่อยๆ จางไปเพราะตัวนาโนเองก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะสร้างตัวตนให้น่าสนใจในโลกออนไลน์สักเท่าไหร่ ก็เลยไม่สามารถตกผู้คนที่ผ่านมาเห็นให้กลายเป็นแฟนคลับของตัวเองได้ ยอดวิวของเอ็มวีที่คาดหวังเอาว่าอย่างต่ำๆ น่าจะได้ถึงแสนวิวแต่ตอนนี้ทำได้เพียงแค่หมื่นต้นๆ เท่านั้น ไม่ใช่เพลงไม่ดี เพราะจากกระแสตอบรับตามคอมเมนท์ต่างๆ ก็พูดถึงเพลงเป็นเสียงเดียวกันว่าเพลงดีและเอ็มวีได้คุณภาพ แต่สิ่งที่ขาดไปนั่นก็คือเสน่ห์ของนักร้องเสียมากกว่า หล่อ แต่ก็จบแค่นั้น ไม่ได้ดึงดูดอะไร... “พี่โป...” ศิลาเรียกอาโปที่กำลังนั่งทำงานอยู่ในห้อง “ครับ?” “เห็นอันนี้ยังครับ” คนน้องยื่นไอแพดที่เปิดหน้ากระทู้ในเว็บดังให้คนพี่ดู “อะไรเหรอ” “ลองอ่านดูสิครับ” “นักร้องหนุ่มหน้าใหม่เหวี่ยงแฟนคลับหลังจบอีเวนท์กลางห้างดัง...” อาโปอ่านจบก็เงยหน้ามามองศิลาอย่างสงสัย “หมายถึงนาโนหรอ” “ครับ” “แล้วทำไมพี่ไม่รู้เรื่องนี้เลย” อาโปเสียงนิ่งหน้าตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาศิลาแอบหวั่นใจเมื่อเห็นแบบนั้น “พี่กานต์เขาไม่กล้าบอกครับ...” “ก็เลยปล่อยให้มันมีข่าวออกมาก่อนเนี่ยเหรอ!” อาโปขึ้นเสียงเพราะรู้สึกโกรธก่อนจะได้สติลดเสียงลง “พี่ขอโทษครับ โมโหมากไปหน่อย” ก๊อกๆๆๆ “เข้ามาเลยครับ” อาโปปรับอารมณ์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “พี่อาโป ว่างอยู่มั้ยพี่” กานต์เปิดประตูเข้ามาถาม ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้รับสายตาพิฆาตจากรุ่นพี่ “เดี๋ยวเราต้องคุยกันหน่อยนะกานต์” “ดะ...ได้พี่” กานต์เอ่ยตอบตะกุกตะกัก เพราะเริ่มจะรู้ชะตากรรมของตัวเองแล้ว “แต่ตอนนี้เราอาจจะต้องคุยเรื่องนี้กันก่อนนะพี่” “เรื่องอะไร” “แม่นาโนมาขอเจอพี่อะ” “ทำไมอะ เขามีอะไรเหรอ” “เขาบอกว่ามันไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้อะพี่ โวยวายใหญ่เลย ผมก็ไม่เข้าใจ เลยบอกว่าให้รอคุยกับพี่เองดีกว่า” “อะไรอีกเนี่ยยย อะ... พาขึ้นมาเลยจะได้คุยกันให้จบๆ” อาโปเอ่ยตอบเสียงเหนื่อย ศิลาที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนเอาเรื่องมาใส่ให้หนักสมองคนพี่หรือเปล่า ไม่นานแม่ของนาโนก็เดินเข้ามาภายในห้องทำงานของอาโปด้วยสีหน้านิ่งตึง และทันทีที่นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าอาโป บทสนทนาของแม่นาโนก็ตรงพุ่งเข้าเล่นงานอาโปทันที “ไหนคุณบอกจะทำให้ลูกชั้นดังไงคะ” “เดี๋ยวนะครับคุณแม่ ผมไม่เคยพูดนะครับ ผมเพียงแค่บอกว่าจะทำเพลงให้ตามความต้องการของคุณแม่” “แต่ชั้นก็จ่ายเงินไปตั้งเยอะแล้วนะคะ เรื่องแค่นี้ทำไมทำไม่ได้” “ไม่ใช่ทำไม่ได้นะครับ เราก็เต็มที่กับทุกส่วนแล้วครับ เงินที่คุณแม่ให้มามันไม่พอด้วยซ้ำครับ” “อ๋อ... นี่คิดจะขอเงินกันเพิ่มสินะ” “ไม่ใช่นะครับ ผมแค่ชี้แจงให้ฟังว่าเงินที่คุณแม่ให้มามันถูกทำไปใช้ในการทำโปรเจ็คนี้อย่างคุ้มค่าต่างหากครับ” “แล้วทำไมลูกชั้นถึงไม่ดัง!!” แม่นาโนขึ้นเสียงดังลั่น เกือบทำอาโปเส้นความอดทนขาดอยู่เหมือนกัน “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ เรื่องดังไม่ดังนี่พวกเราก็ช่วยกันผลักดันเต็มที่แล้วนะครับ ทั้งโปรดักชั่น ทั้งเพลง ทั้งพีอาร์ ส่วนที่เหลือคือตัวน้องก็ต้องพยายามช่วยเราด้วยเหมือนกันนะครับ” “นี่คุณจะหาว่าลูกชั้นไม่ตั้งใจหรอคะ ถ้าลูกชั้นไม่ตั้งใจ ชั้นคงไม่ยอมจ่ายเงินให้คุณขนาดนี้หรอกค่ะ” “แต่บริษัทผมไม่ได้ร้องขอนะครับ คุณแม่เป็นคนยัดเยียดให้ผมเอง” อาโปบอกเสียงเย็น สายตาเริ่มเจือปนความโกรธออกมาเบาๆ แม่ของนาโนชะงักไปเล็กน้อยเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดคือเรื่องจริง เพราะก่อนหน้านี้อาโปเคยพยายามปฏิเสธแล้ว แต่แม่ก็ยังพยายามยัดเยียดเงินส่วนนั้นมาให้เพื่อหวังว่าลูกตัวเองจะได้เดบิวต์ก่อนเอ็ม “แต่สุดท้ายคุณก็รับไงคะ” “ผมก็เลยเอาเงินนั้นไปใช้ประโยชน์กับนาโนอย่างเต็มที่ไงครับ” “ชั้นไม่เชื่อ ถ้าเต็มที่กว่านี้ลูกชั้นต้องดังกว่านี้แน่ๆ พวกคุณกำลังโกงชั้น ไม่ทำตามข้อตกลงที่คุยกันไว้ ชั้นจะฟ้อง” “ก็เอาเลยครับ ผมไม่กลัวอยู่ละ หลักฐานมีทุกอย่าง แล้วทางเราก็ทำตามทุกอย่างที่ได้ระบุไว้ในสัญญา ส่วนเรื่องดังไม่ดังมันไม่มีใครคาดเดาได้อยู่แล้วครับ หลักฐานการใช้จ่ายเงินที่คุณแม่ให้มาผมก็มี ฟ้องเลยครับ ผมมั่นใจว่าฝั่งผมไม่ผิด” “งั้นก็เจอกันค่ะ” แม่นาโนตบโต๊ะดังปัง ก่อนจะลุกแล้วเดินออกจากห้องไปด้วยอารมณ์คุกรุ่น “เห้ออออ คนอะไรวะ บ้าชิบหาย” กานต์ถอนหายใจก่อนจะย้ายตัวเองที่ยืนนิ่งอยู่นานไปนั่งข้างศิลา “นั่นดิพี่ เป็นบ้าปะเนี่ย” ศิลาพูดกับกานต์จบก็หันไปหาอาโปที่ยังสีหน้าไม่ดี เพราะอารมณ์โกรธยังปะทุอยู่ในตัวของเขา “แล้วเอาไงต่ออะพี่โป ถ้าเขาฟ้องจริงทำไง” “ก็แค่เตรียมชุดไปศาลไง” อาโปตอบพลางทำสีหน้ากวน “พี่โป เอาดีๆ” “ให้ฟ้องมาเหอะ ยังไงเราก็ชนะอยู่ดี ไม่ต้องซีเรียส เรามีหลักฐานครบไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น คอยดูเหอะเดี๋ยวก็เงียบไปเอง ไม่กล้าสู้จริงๆ หรอก” อาโปพูดแบบที่ดูจะไม่ได้เดือดร้อนอะไร “ทำไมพี่โปมั่นใจจังครับ” ศิลาเดินเข้าใกล้แล้วเอ่ยถาม “ก็เพราะมีหนูคอยอยู่ข้างๆ ไง” “เดี๋ยวเหอะ กำลังเครียดๆ อย่าเพิ่งเล่นได้มั้ยครับ” ศิลาดุคนข้างๆ เล็กน้อย เพราะเหตุการณ์แย่ๆ ของวันนี้เพิ่งจะผ่านพ้นไปแท้ๆ ยังจะมีอารมณ์มาหยอดคำหวานใส่อยู่อีก “สงสารก็แต่นาโนนั่นแหละ เห้อ...” อาโปถอนหายใจยาว “ก็จริงครับ ถ้าว่ากันตามจริงน้องไม่ได้ผิดอะไรเลย แต่ต้องมาเจอเรื่องราวแบบนี้ก็เพราะแม่ตัวเองแท้ๆ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD