สองมือของอาโปเต็มไปด้วยกระเช้าและถุงใส่ของเยี่ยมไข้ที่บรรดาคนสนิทและคนรู้จักนำมาเยี่ยมเยียนศิลา หลังจากรู้ข่าวว่าคนน้องป่วยจนต้องแอดมิทที่โรงพยาบาล ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงแค่ 2 คืนแต่กำลังใจก็ล้นหลามมากทีเดียว
ก็ดูสิของเยี่ยมเต็มมืออาโปขนาดนั้น เดินตั้งสองรอบกว่าขนลงมาหมด
“ไม่รู้ว่ามานอนโรงบาลหรือมาช้อปปิ้งนะเนี่ย” อาโปหันไปแซวศิลาขณะที่กำลังยัดของลงท้ายรถ
“มีคนรักคนเอ็นดูเยอะก็งี้แหละครับพี่โป”
“ได้ยินแบบนี้ก็หวงเหมือนกันนะเนี่ย”
“จะมาหวงอะไรล่ะครับ พี่โปควรภูมิใจมากกว่านะครับที่มีแฟนน่ารักขนาดนี้” ศิลายิ้มกว้างแล้วกอดอกภูมิใจ
“นั่นสิเนอะ” อาโปชูมือขึ้นคว้ากระโปรงรถแล้วออกแรงดึงเพื่อปิดลง เสียงปึงดังตามมาทันทีที่ฝากระโปรงปิดก่อนที่คนทั้งคู่จะก้าวเท้าเดินขึ้นรถไป
รถยนต์ขับวนออกจากลานจอดรถของโรงพยาบาล สองสามวันมานี้ภาพบรรยากาศบริเวณรอบๆ โรงพยาบาลถือเป็นสิ่งคุ้นตาที่อาโปจดจำได้เป็นอย่างดีเพราะวนเวียนอยู่แค่เพียงที่บ้านแล้วก็ที่นี่ มีแวะไปสตูฯ บ้างนิดหน่อยแต่ก็ถือว่าน้อยกว่าปกติ
“หิวมั้ย” อาโปหันมาถามขณะขับรถ
“นิดหน่อยครับ”
“จะแวะกินอะไรก่อนเข้าบ้านมั้ย”
“อะไรก็ได้พี่”
“โห ยากจัง” อาโปหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะที่บ่น ทำเอาศิลาที่นั่งอยู่ข้างๆ อดยิ้มตามไม่ได้
“ไม่งั้นกลับไปกินที่บ้านก็ได้นะพี่โป เดี๋ยวผมทำให้กิน”
“ไม่เอา...หนูเพิ่งหายป่วย พี่อยากให้หนูได้กินของดีๆ” อาโปเอ่ยเสียงอ้อน
“งั้นพี่โปเลือก เพราะผมนึกไม่ออกอะ”
“อืม...” อาโปนิ่งคิดอยู่ใหญ่ในขณะที่ขับรถไปด้วยก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นชิงช้าจากเอเชียทีคอยู่ไกลๆ จึงเกิดไอเดียแบบฉับพลันเข้ามาในหัวทันที “ไปเอเชียทีคกันมั้ย”
“เอเชียทีค? ไปทำไมพี่ ยังมีอะไรอยู่อีกเหรอครับเดี๋ยวนี้”
“มีสิ ก็ร้านอาหารริมน้ำไรงี้ นั่งกินข้าวบรรยากาศชิลๆ ต้อนรับคนป่วยกลับบ้านสักหน่อย”
“ก็ได้ครับ ตามใจพี่โปเลยครับวันนี้” ศิลาตอบพร้อมยิ้มแป้นตามสไตล์ที่ทำเอาอาโปเห็นกี่ครั้งก็ยังใจสั่นได้อยู่ตลอดเวลา
“หนูกด GPS ให้พี่หน่อย ไปเอเชียทีค” อาโปคว้ามือถือแล้วยื่นส่งให้คนน้องที่นั่งอยู่ด้านข้าง
พอได้เห็นเส้นทางที่จะต้องไป อาโปก็หมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายเพื่อเข้าไปเส้นถนนริมสุดแล้วเลี้ยวซ้ายลงไปยังถนนเจริญกรุงเพื่อตรงไปยังปลายทางที่เขาพูดเมื่อครู่
จำนวนรถในช่วงเย็นที่เริ่มเพิ่มตัวขึ้นเป็นเหตุให้การจราจรแอบติดขัดอยู่บ้างแต่ก็ยังพอที่รถจะเคลื่อนตัวไปได้ ยิ่งเข้าใกล้จุดหมายปลายทางเท่าไหร่สีหน้าแห่งความอารมณ์ดีของอาโปก็ยิ่งฉายชัดขึ้นเท่านั้น
หัวรถเลี้ยวเข้าไปยังลานจอดรถฝั่งตรงข้ามกับเอเชียทีคก่อนจะตรงไปยังช่องจอดรถที่ว่างอยู่แล้วถอยรถเข้าไปจอด ประตูรถถูกเปิดออกแล้วปรากฏเท้าของคนทั้งสองก้าวลงมา
อาโปและศิลาหยุดยืนอยู่บนฟุตบาทริมถนนตรงบริเวณทางม้าลายเพื่อยืนรอให้รถบนถนนที่กำลังขับผ่านไปมามีจำนวนน้อยลงและมีระยะห่างเพียงพอต่อการข้ามถนน โชคดีที่คุณลุงรปภ.ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหันมาเห็นพอดีเลยช่วยโบกรถให้หยุด อาโปจึงคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของศิลาแล้วพาจูงข้ามถนนไปด้วยกัน
“หนูอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย” อาโปถามพลางเดินนำไปยังโซนร้านอาหารที่อยู่ริมน้ำ
“อยากกินพิซซ่าครับ”
“อ่อ งั้นไปร้านที่อยู่ริมสุดตรงนู้นมั้ย เป็นร้านไวน์แล้วก็มีอาหารอิตาเลี่ยนด้วย” อาโปชี้นิ้วไปยังทางที่บอก
“ได้หมดเลยครับ”
“อาเค งั้นไปร้านนั้นแหละ”
อาโปที่ยังกุมมือศิลาอยู่พาคนน้องให้เดินตามต้อยๆ ไปยังร้านที่ตัวเองแนะนำ พอมาถึงร้านพนักงานสาวน้อยหน้าร้านก็เอ่ยต้อนรับอย่างฉะฉานพร้อมแจ้งโปรโมชั่นของทางร้านให้คนทั้งคู่ได้รับรู้ก่อนเข้าไปด้านใน
บรรยากาศของร้านที่เปิดโล่งอยู่กลางแจ้งถูกจัดแต่งเป็นอย่างดีสร้างความโรแมนติกได้ไม่ยาก ยิ่งลมเย็นๆ พัดผ่านมาก็ยิ่งทำให้ภาพเรือใบลำใหญ่ที่จอดอยู่บริเวณท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยานั้นดูน่าประทับใจมากกว่าที่เคยเป็น
อาหารเซ็ตสำหรับสองคนถูกนำมาจัดวางบนโต๊ะหลังจากที่สั่งไปพักใหญ่ รวมถึงเบียร์แก้วใหญ่ไซส์ 500 ml. จำนวนสองแก้ว
บรรยากาศชิลๆ แบบนี้คงไม่มีอะไรที่จะเหมาะไปกว่าการนั่งจิบเบียร์เย็นๆ สักแก้ว...
มือเรียวของศิลาเอื้อมไปหยิบส้อมจิ้มสเต๊กเนื้อในจานตรงหน้าขึ้นมากิน ปากบางเคี้ยวหมุบหมับจนคนพี่ต้องอมยิ้มเพราะความน่ารักของคนตรงหน้าที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็น่าเอ็นดูไปหมดในสายตาของอาโป
“อร่อยมั้ยครับ” อาโปเอ่ยถาม
“อร่อยครับ” ศิลายิ้มตาหยีตอบกลับอีกฝ่าย “หรือเพราะว่าหิวก็ไม่รู้”
อาโปหลุดขำออกมาเล็กน้อยกับคำพูดของอีกฝ่ายก่อนจะยื่นมือไปลองจิ้มชิ้นสเต๊กมาชิมแล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งคนน้องพูด “อร่อยจริงด้วยแฮะ”
“สามชั้นทอดน้ำปลาก็อร่อยนะเนี่ย” ศิลาพูดแทรกขึ้นมาขณะที่ปากกำลังเคี้ยวตุ้ยๆ
“สงสัยหนูจะหิวจริงๆ นั่นแหละ”
“พี่โปปป” คนน้องทำหน้าบึ้งตึงใส่คนพี่แสร้งว่างอนเพราะถูกแซว
“พี่หยอกเล่นค้าบบบ”
วงดนตรีเล่นสดเริ่มขึ้นมาเตรียมตัวเซ็ตติ้งอุปกรณ์ดนตรีอยู่ครู่ใหญ่ในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงมาใกล้เส้นขอบฟ้าจนทำให้สีฟ้าเริ่มกลายเป็นสีส้ม ลมเย็นพัดมาวูบหนึ่งพร้อมเสียงนกร้องก่อนที่เสียงดนตรีสดจากบนเวทีจะเริ่มบรรเลง
“ขอเบียร์อีกแก้วครับ” อาโปเอ่ยบอกพนักงานร้านที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“พี่โป!” ศิลาเอ่ยเสียงดุพลางตีแขนอีกฝ่ายเบาๆ
“ครับ?”
“เดี๋ยวพี่โปต้องขับรถนะ”
“ได้ๆ พี่รู้ลิมิตตัวเองอยู่”
“เห้อ... เขารณรงค์ว่าดื่มไม่ขับไงครับ” ศิลาถอนหายใจ
“นิดเดียวเองครับ ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมขับกลับเอง เพราะผมเพิ่งจิบไปนิดเดียว”
“...”
“ถ้าพี่โปไม่โอเค ผมก็จะไม่ให้ดื่มต่อ”
“ก็ได้ครับ” อาโปหน้าหงอยลงทันทีเมื่อรู้ตัวว่าไม่อาจสู้ได้
“น่ารักมากครับ” คนน้องยิ้มแป้นเมื่อได้ยินคำตอบที่พึงพอใจ
“ใครมาได้ยินเข้าจะคิดว่าพี่เป็นคนกลัวเมียมั้ยเนี่ย”
“ผมน่ากลัวเหรอ”
“เปล่าครับบ พี่แซวเล่น”
“ดีมากครับ รีบกินเถอะครับ เดี๋ยวอาหารจะเย็นซะหมด”
จำนวนคนที่เดินผ่านไปมาเริ่มขวักไขว่มากขึ้นเมื่อเวลาเริ่มดึก บางส่วนรอขึ้นเรือกลับบ้านแต่บางส่วนก็เพิ่งจะเดินทางมาถึง อาโปและศิลานั่งพิงเก้าอี้ฟังเพลงหลังจากที่กินอาหารบนโต๊ะจนหมด เบียร์สองแก้วที่ถูกสั่งมาตั้งแต่แรกเหลือเพียงแก้วเปล่า ส่วนแก้วล่าสุดที่เพิ่งสั่งมาเพิ่มยังคงมีเบียร์เหลืออยู่อีกครึ่งแก้ว เพลงสุดท้ายของวงดนตรีสดเล่นจบลงศิลาจึงเอื้อมมือไปสะกิดคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“พี่โป กลับกันเถอะครับ”
“ครับ”
ศิลาลุกขึ้นยืนแล้วเข้าประคองอาโปที่กำลังลุกขึ้นยืน ถึงแม้ว่าเบียร์เพียงสามแก้วจะไม่ได้ทำให้อาโปรู้สึกรู้สาอะไรแต่ศิลาก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี ขึ้นชื่อว่าแอลกอฮอล์ยังไงก็ไม่น่าไว้ใจอยู่ดี
คนน้องพาคนพี่เดินตรงไปยังลานจอดรถที่อยู่อีกฝั่งของถนน ตอนมาอาโปเป็นจูงมือเขาข้ามมา ตอนกลับจึงต้องกลายเป็นศิลาเองที่คว้ามือของอาโปแล้วกำไว้แน่นขณะพาเดินข้ามถนน โชคดีหน่อยที่ดึกมากแล้วรถบนถนนจึงบางตาพอสมควร
ติ๊ด!
เสียงสัญญานปลดล็อกประตูรถดังขึ้นหลังจากที่ศิลากดรีโมต มือเรียวเอื้อมมือไปเปิดประตูรถฝั่งคนนั่งให้อาโปจนอีกฝ่ายหันมายิ้มให้
“จริงๆ พี่ไม่ได้เมานะ แต่ก็ขอบคุณครับ” อาโปตอบแล้วก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ
“ผมรู้ครับ เบียร์แค่สามแก้วทำอะไรพี่โปไม่ได้หรอกครับ” ศิลายิ้มบอกแล้วหันตามองเพื่อเช็กว่าอีกฝ่ายนั่งเรียบร้อยดีแล้ว จากนั้นก็คว้าเข็มขัดเพื่อจะรัดให้คนพี่แต่มือหนากลับคว้าเอาไว้เสียก่อน
“มา เดี๋ยวพี่ใส่เองครับ”
“โอเคครับ”
ศิลาตอบก่อนจะค่อยๆ ปิดประตูแล้ววิ่งอ้อมหน้ารถไปยังฝั่งคนขับจากนั้นก็เปิดประตูแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งทันที มือบางเสียบกุญแจแล้วเริ่มสตาร์ทรถ ขณะที่เท้าเหยียบอยู่ที่เบรกเขาก็ไม่ลืมที่จะยกมือขึ้นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้คุ้มครองขณะเดินทางด้วย
รถออกตัววิ่งมาได้ระยะเวลาหนึ่งอาโปก็กดเปิดวิทยุแล้วต่อบลูทูธเข้ากับเครื่องของตัวเองเพราะรู้สึกว่ารถมันเงียบไปสักหน่อย ทีแรกก็ว่าจะเปิดเพลย์ลิสต์ที่เปิดฟังอยู่ประจำแต่เขาก็เปลี่ยนใจในชั่ววินาที มุมปากยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ ก่อนเรียวนิ้วจะเลื่อนหน้าจอเพื่อค้นหาเพลงที่เขาได้ซุ่มทำมาสักระยะหนึ่งโดยที่เขาตั้งใจไว้ว่าจะเซอร์ไพรส์ศิลา
เสียงดนตรีอินโทรดังขึ้นแต่ศิลาก็ยังไม่ได้เอะใจอะไรคิดเพียงแต่ว่าอาโปเปิดเพลงฟังฆ่าความเงียบเฉยๆ แต่พอท่อนร้องเริ่มขึ้นไปได้เพียงนิดหน่อย หัวคิ้วของศิลาก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเพราะรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงของนักร้องในเพลงนี้ มันคุ้นหูเสียจนต้องหันหน้าไปหาคนพี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“เสียงคล้ายพี่โปเลยครับ”
“หืม?” อาโปตีหน้าซื่อ
“นักร้องเสียงคล้ายพี่โปเลย”
“ก็เสียงพี่เอง”
“ฮะ? จริงปะเนี่ย”
“จริงดิ พี่ทำเพลงนี้เพราะได้หนูเป็นแรงบันดาลใจนะ”
“จริงจังปะเนี่ย”
“อื้อ จะปล่อยพรุ่งนี้ละ”
“เดี๋ยวนะพี่!” ศิลาถามด้วยน้ำเสียงตกใจก่อนจะหันขวับมามองแวบหนึ่งแล้วรีบหันกลับไปมองถนนต่อ
อาโปหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นความเด๋อด๋าบนสีหน้าของคนน้อง มือหน้าเลื่อนมือไปจับที่ผิวแก้มนุ่มแล้วบีบเบาๆ เพราะรู้สึกมันเขี้ยวกับความน่ารักนั้น
“พี่ทำเพลงนี้เพราะอยากให้ไว้เป็นของขวัญ”
“ของขวัญอะไรครับ”
“ก็...ของขวัญปีใหม่ไง”
“โห เล่นใหญ่เหมือนกันนะพี่โป”
“ก็นิดหน่อยเอง”
“ปล่อยสู่สาธารณะชนนี่เรียกนิดหน่อยเหรอพี่” ศิลาหัวเราะเบาๆ ออกมาขณะพูด มือทั้งสองค่อยๆ หมุนพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวเข้าบ้าน
“ก็คิดซะว่าเป็นผลพลอยได้ละกัน เผื่อมันดังจะได้หารายได้เข้าสตูฯ” อาโปเอ่ยพูดทีเล่นทีจริงก่อนจะก้าวขาลงจากรถแล้วยืนรอให้คนน้องลงจากรถ ก่อนจะเดินเข้าไปโอบหมับเข้าที่เอวบาง
“สาธุเลยครับ พี่โปจะได้มีเงินมาเลี้ยงผมเยอะๆ” เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นหลังจบประโยคสนทนา คนทั้งคู่ก้าวขาเดินเข้าบ้านไปพร้อมพลังงานอบอุ่นบางอย่างที่ลอยวนอยู่รอบบริเวณนั้น
ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องปกติ แต่การที่ได้เอาเพลงที่ตั้งใจแต่งให้ใครสักคนฟังแล้วอีกฝ่ายมีท่าทีตอบสนองไปในทิศทางที่น่าพอใจก็ทำเอาอาโปอดที่จะดีใจไม่ได้ นอกเหนือไปกว่านั้นก็คือเขายังรู้สึกตื่นเต้นที่เพลงนี้จะถูกปล่อยให้คนทั่วไปได้ฟังอีกด้วย เขาอยากจะบอกให้ทุกคนรู้ว่าแรงบันดาลใจในเพลงนี้คือศิลา เขาแต่งมันได้จนจบเพลงก็เพราะศิลา
หากชาวเน็ตจะบอกว่าคลั่งรัก อาโปก็ไม่ติดอะไร...
และมันก็เป็นแบบที่ใจของอาโปคิดไว้ หลังจากปล่อยเพลงออกไปพร้อมคำบอกเล่าถึงที่มาของเพลงนี้ก็ทำให้กลายเป็นไวรัลได้ไม่ยาก เพราะทั้งอาโปและศิลาต่างก็เคยเป็นที่พูดถึงในโซเชียลอย่างกว้างขวางมาแล้วช่วงหนึ่งสมัยที่เรียนอยู่ คราวนี้คนที่ติดตามมาตั้งแต่ต้นพอได้เห็นก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ที่คู่จิ้นในอดีตของเขากลับมามีโมเมนต์ให้ชุ่มฉ่ำหัวใจ
เสียงดนตรีเบาๆ จากเพลงของอาโปดังคลอเคล้าลอยมาตามลมเมื่อกานต์เดินก้าวเข้ามาภายในตัวบ้านของอาโป หลังจากเมื่อเช้าเพลงที่แต่งให้ศิลาถูกปล่อยลงในโซเชียล อาโปก็เลยนึกอยากจะฉลองกับเพื่อนฝูงคนสนิทกันสักหน่อยเลยจัดปาร์ตี้เล็กๆ ในบ้านแล้วชวนแต่คนที่สนิทมาร่วมงาน
“ดีใจด้วยนะพี่” กานต์เอ่ยบอกพร้อมยิ้มกริ่มแล้วช่วยหยิบอาหารมาวางบนโต๊ะ
“อะไร...มาทำหน้าทำตาแบบนี้” อาโปตอบแล้วมองอย่างสงสัย
“เอ้า! ก็เห็นมาให้ผมช่วยเลือกแหวนเมื่อวันก่อน...”
“ยังงงง ใจเย็นๆ ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก” อาโปบอกพลางทำท่าให้กานต์พูดให้เบาลงแล้วหันมองซ้ายขวาอย่างเลิ่กลั่ก
“ไอ้ศิลามันไม่ได้ยินหรอกพี่ ยืนเตรียมของกินอยู่ในครัวนู่น”
“ก็ต้องระวังไว้ก่อน เดี๋ยวไม่เซอร์ไพรส์”
กานต์หัวเราะเบาๆ กับท่าทีของรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะพยายามเก็บสีหน้าเมื่อศิลาเดินถือจานใส่เฟรนช์ฟรายด์ที่ทอดแล้วจานใหญ่มาวางที่โต๊ะอาหาร
“นินทาผมกันอยู่หรอครับ” ศิลาแกล้งถามเล่น
“เปล่าๆ คุยเล่นเรื่อยเปื่อยอะ”
“น่าเชื่อมากเลยพี่กานต์ ผมเดินมาปุ๊บหยุดคุยปั๊บ”
“มันเก่งจริงๆ” กานต์แซวแล้วทำท่ายกนิ้งโป้งขึ้นมาชูให้
“ฮ่าๆ ผมแซวเล่นนะพี่” ศิลาหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยิ้มให้ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง
ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยลงต่ำใกล้ขอบฟ้าเต็มที จำนวนสมาชิกในบ้านก็เริ่มเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเพราะหลังจากที่กานต์มาถึงและช่วยอาโปกับศิลาเตรียมอาหารสำหรับแขกในวันนี้ได้เพียงไม่นาน เตชินท์ก็ตามมาพร้อมกับไวน์ขวดใหญ่ที่แวะซื้อติดมือมาด้วย หลังจากนั้นเอ็มก็นั่งแท็กซี่มาลงที่บ้านของอาโปกับศิลา โชคดีที่วันนี้เอ็มไม่มีตารางงานอะไร ไม่งั้นก็คงจะไม่ได้มีโอกาสมาร่วมปาร์ตี้กับทุกคนในวันนี้
“สวัสดีครับทุกคน” เอ็มที่เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกานต์ที่เดินออกไปเปิดประตูรับเมื่อครู่
“อ้าว เอ็ม มาๆๆๆ นั่งเลยๆ” อาโปหันไปตามเสียงทักแล้วโบกมือเรียกให้อีกฝ่ายมานั่งตรงเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่
“ขอบคุณครับ” เอ็มเอ่ยตอบตอนที่เดินเข้าไปใกล้แล้วหย่อนตัวลงนั่ง
“จานเด็ดมาแว้วววว” ศิลายกเมนูซี่โครงหมูบาร์บีคิวถาดโตมาวางที่โต๊ะพร้อมกับเสียงฮือฮาจากทุกคน
“ทำไมเดี๋ยวนี้มึงทำอาหารเก่งจัง จะไปมาสเตอร์เชฟรึไง” กานต์ที่เพิ่งตกอกตกใจกับฝีมือการทำอาหารของศิลาเงยหน้ามาพูดกับศิลา เรียกเอาคนรอบข้างหัวเราะออกมาเบาๆ
“คนเรามันก็ต้องพัฒนาบ้างดิพี่ ไม่งั้นเดี๋ยวพี่โปเบื่อ”
“โถ่ ใครจะไปกล้าเบื่อหนูล่ะ” อาโปเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างศิลา
“ใครจะไปรู้” ศิลายู่ปากใส่คนพี่แล้วหย่อนตัวลงนั่ง
“พอๆๆ เหม็นความรัก กินข้าวกันดีกว่าทุกคน” กานต์แย้งขัดขึ้นมาพลางโบกมือปัดไปมาบริเวณจมูก
เสียงเพลงของอาโปยังคงดังคลอไปกับเสียงพูดคุยหลังจากที่กานต์ เตชินท์ และเอ็มได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับอาโปและศิลา ความวุ่นวายเกิดขึ้นสลับกับเสียงเฮฮาอยู่ตลอดเวลาที่ทุกคนได้ใช้เวลาร่วมกันในมื้อเย็นของปาร์ตี้ครั้งนี้ อาโปอาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับอาหาร ยื่นเท้าที่อยู่ใต้โต๊ะไปสะกิดเท้าของกานต์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามส่งสัญญานบางอย่าง
“อุ้ย!” กานต์เผลอหลุดส่งเสียออกมาด้วยความตกใจจนทุกคนหันมามอง อาโปรีบส่งสายตาให้กานต์รีบแก้ตัว
“มีอะไรเปล่าพี่” เอ็มที่นั่งอยู่ข้างกานต์เอ่ยถามขึ้น
“เปล่าๆ ไม่มีไร” กานต์หันไปบอกเอ็มก่อนจะรอจังหวะที่ทุกคนเลิกสนใจหันไปมองอาโปที่กำลังส่งสัญญานผ่านสายตาว่าให้ลุกเดินตามออกไปคุยกันหน่อย
“เดี๋ยวพี่ไปห้องน้ำแป๊บนึงนะ” อาโปเอ่ยพูดขึ้นมา ศิลาหันไปมองแล้วพยักหน้ารับ
พออาโปลุกเดินออกจากโต๊ะไปได้พักหนึ่ง กานต์ก็ต้องหาเรื่องเดินตามออกไปบ้างแต่หากจะให้ลุกไปห้องน้ำก็คงจะดูมีพิรุธไปสักหน่อย เขาหันมองซ้ายขวาเพื่อเช็กอาหารบนโต๊ะว่ามีจานไหนพร่องไปเยอะบ้าง จะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการลุกไปตักมาเพิ่ม
“เอ่อ ต้มจืดจะหมดแล้ว เดี๋ยวพี่เอาไปเติมให้นะ” กานต์พูดพร้อมลุกขึ้นยืนแล้วคว้าเอาชามต้มจืดแล้วเดินหายเข้าไปในครัว
อาโปที่แอบเดินมารออยู่ก่อนเมื่อเห็นหน้าของกานต์รีบกวักมือไหวๆ ให้อีกฝ่ายรีบเดินเข้ามาหา กานต์ก้าวเท้าเร็วเข้าไปยังเคาน์เตอร์ในครัวแล้ววางชามต้มจืดลงก่อนจะหันไปหาอาโป
“อะไรพี่ เตะขาผมทำไมเนี่ย”
“ก็จะให้ช่วยหน่อย”
“ช่วยไรอะ”
“ก็เรื่องแหวนที่ให้ช่วยเลือกไง” อาโปกระซิบพูดพลางเหลือบตาไปมองด้านนอกเพราะกลัวจะมีใครมาได้ยินเข้า
“อะ ยังไง ไหนพี่บอกว่ายังไม่ขอแต่งไง”
“ก็ยังไม่ได้จะขอแต่ง แต่จะขอจองไว้ก่อนนนน” อาโปลากเสียงยาว
“โห... คบกันมาขนาดนี้ไม่ต้องจองละมั้ง ถ้าไอ้ศิลามันจะไป มันคงไปนานแล้วแหละพี่” กานต์แซวเสียงดังก่อนจะต้องหรี่เสียงลงเมื่อถูกอาโปเตือน “โทษทีพี่”
“ไม่ใช่แบบนั้น พี่ไม่ได้กลัวว่าน้องจะไปไหน พี่แค่อยากให้น้องมันมั่นใจว่าพี่จะไม่ไปไหนมากกว่า”
“เยี่ยม! คมคาย งั้นก็ลุยเลยพี่”
“ตื่นเต้นว่ะ” อาโปเอ่ยเสียงสั่น
“ตื่นเต้นไรวะพี่ ลุยเลยยย”
“ก็คนมันไม่เคยนี่หว่า เริ่มไงดีอะ”
“พี่ก็บอกไปเลย แบบเรียบง่ายแต่ดูดีอะ” กานต์เอ่ยบอกเสียงเรียบ แม้อาโปจะไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่เพราะปกติเป็นนักกิจกรรมชอบจัดอีเวนท์เซอร์ไพรส์ตลอดเวลา แต่ก็ยังพยักหน้าตามหงึกๆ
“มันจะไม่ธรรมดาไปใช่ป้ะ” อาโปถามย้ำ
“มันธรรมดาแหละ แต่ผมว่ามันดูจริงใจดีนะพี่”
“เออๆ ลองดูก็ได้”
“งั้นเดี๋ยวผมกลับไปที่โต๊ะก่อนนะ แล้วพี่ค่อยตามไป” กานต์พูดจบก็หันไปตักต้มจืดใส่ชามจนเต็มแล้วยกเดินออกจากครัวเพื่อกลับไปยังโต๊ะอาหารที่มีเสียงคุยยังดังลอยแว่วมาอยู่ตลอด
พอกานต์เดินมาถึงโต๊ะปุ๊บอาโปก็เดินตามออกมาติดๆ แล้วหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมก่อนจะเบนสายตาของตัวเองมามองที่กานต์อีกครั้งหนึ่งเหมือนกับจะต้องการให้อีกฝ่ายช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำนั้นมันถูกต้องแล้ว
“หนู...” อาโปเอ่ยเรียกศิลาที่นั่งอยู่ข้างๆ จนร่างบางหันมามอง
“ครับ?”
“เห้ย! เอาเลยเหรอพี่ จริงจังปะเนี่ย” กานต์ร้องทักขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของอาโป
“เดี๋ยวๆ มีไรกัน” ศิลาเลิ่กลั่กหันมองอาโปสลับกับกานต์
“อย่าบอกนะว่า...” เตชินท์บอกพลางทำตาโต
“อะไรรรร!!!!!” ศิลาเอ่ยพูดเสียงดังอย่างกังวล สีหน้าแสดงออกชัดว่าเริ่มไม่ไว้ใจ
อาโปขยับตัวและเก้าอี้เล็กน้อยเพื่อให้อยู่ในท่าที่ถนัดแล้วหันมองหน้าศิลาที่นั่งหน้างงมองไปที่อาโปสลับกับคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ตรงนั้น
“เดี๋ยวนะ...” แววตาของศิลาฉายเป็นประกายเมื่อพอจะเดาได้ว่าคนพี่กำลังจะทำอะไร
“ทำไมครับ”
“พี่โป... เอาดีๆ ไม่ใช่แบบที่ผมคิดใช่มั้ยครับ” น้ำเสียงตื่นเต้นของศิลาทำเอาทุกคนตื่นเต้นตามไปด้วย ฝั่งเอ็มก็นั่งเขย่าขาไม่หยุดเพราะลุ้นกับเหตุการณ์ตรงหน้า
อาโปเอามือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองแล้วคว้าเอากล่องใส่แหวนที่ตัวเองตั้งใจเลือกออกมา ทันทีที่กล่องแหวนสีแดงปรากฏขึ้นดวงตาของศิลาก็เบิกโพลงด้วยความตกใจ เสียงร้องโห่ฮิ้วจากคนรอบตัวก็ดังขึ้นแต่ตัวศิลาเองก็เหมือนจะไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น มีเพียงเสียงวิ้งที่ดังอยู่ในหูเพราะกำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
จริงๆ ก็เคยแอบคิดเอาไว้บ้างแต่ไม่คิดว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้
อาโปเปิดกล่องแหวนออกเผยให้เห็นแหวนดีไซน์เรียบแต่ดูหรู เขาเอื้อมมืออีกข้างไปคว้ามือบางของศิลามาจับไว้แล้วหยิบเอาแหวนในกล่องมาสวมไว้ที่นิ้วนางด้านซ้ายของคนน้อง ศิลาอมยิ้มบางๆ ออกมาก่อนจะหลุบสายตามองต่ำเพราะรู้สึกเขินกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้
“แต่งเลยๆๆๆๆๆ” เอ็มร้องเชียร์เสียงลั่น
“ใจเย็นๆ ก่อน” อาโปเอ่ยทักขัดขึ้น “ยังไม่ได้ขอแต่งงาน”
“อ่าว” ศิลาเผลอหลุดอุทานออกมาเสียงดังฟังชัด
“ยังไม่แต่งแต่จะขอจองไว้ก่อนไงครับ อันนี้แหวนหมั้นครับ” อาโปรีบคว้ามือที่สวมแหวนมากุมไว้แน่นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายชักสีหน้า
“...”
“งงอะไรครับ หืม” อาโปพูดต่อเมื่อเห็นว่าศิลานั่งมองด้วยสายตางุนงงไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ออกมา
“ก็...ไม่เห็นจะต้องจองเลยครับ ผมไม่ไปไหนอยู่ละ” ศิลาเอ่ยตอบด้วยท่าทีขวยเขิน
“เห็นมั้ยผมบอกพี่แล้ว พี่อาโป” กานต์เอ่ยแทรกขึ้นมาเมื่อได้ยินแบบนั้น
“ที่พี่ขอหมั้นเอาไว้ก่อนเนี่ย พี่ไม่ได้กลัวหรอกนะว่าหนูจะไปไหนกับใครอะ” อาโปขยับเล็กน้อยสายตาเผยความจริงจัง
“...”
“แต่พี่แค่อยากให้หนูมั่นใจว่าพี่จะไม่ไปไหนจากหนูมากกว่า”
“พี่โป...”
“จริงๆ พี่ก็อยากจะขอแต่งงานแหละ แต่มันคงยังทำไม่ได้เร็วๆ นี้”
“ผมเข้าใจครับ”
“ถ้าแต่งกันตอนนี้ก็ทำได้แค่จัดพิธีตามธรรมเนียม แต่ก็ยังจดทะเบียนไม่ได้อยู่ดี สำหรับพี่มันคงยังไม่สมบูรณ์แบบ ชีวิตพี่อะนะนอกจากพ่อแม่ก็มีหนูนี่แหละ ทุกอย่างที่พี่หามาพี่ก็ทำเพื่อหนู อนาคตถ้าพี่เกิดเป็นอะไรขึ้นมาก็อยากให้มันตกเป็นสมบัติของหนู ซึ่งถ้ากฎหมายมันไม่รองรับอย่างถูกต้อง มันก็ค่อนข้างจะลำบาก”
“...”
“เพราะฉะนั้นจนกว่าจะถึงวันนั้น วันที่การแต่งงานของพวกเราถูกยอมรับตามกฎหมาย พี่จะขอหมั้นเอาไว้ก่อนละกัน”
“โอเคครับ” ศิลาพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม
“หนูช่วยรอพี่ก่อนนะ”
“อื้อ ผมรักพี่โปนะ”
“พี่ก็รักหนูนะ”
“อนาคตพี่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เรารอมันจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ยังไงก็มาสู้ไปด้วยกันนะ” อาโปเอ่ยบอกศิลาก่อนจะคว้าเอาร่างบางเข้ามากอดไว้แน่น พร้อมเสียงร้องและเสียงปรบมือแสดงความยินดีจากกานต์ เตชินท์ และเอ็มดังประกอบมวลความสุขที่กำลังอบอวลไปทั่วบริเวณนั้น
หนทางข้างหน้าแม้จะยาวไกลแต่คงไม่นานเกินรอ หวังว่าเราจะสู้ไปด้วยกันนะครับ...