“ขิม ๆ ทางนี้”
ฉันมองตามเสียงเรียกเบา ๆ ของเพียวซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากประตูห้อง วันนี้คลาสเรียนคนเยอะผิดปกติจนฉันคิดว่าตัวเองเข้าห้องผิดซะอีก
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนเรียนเยอะจัง หน้าตาก็ไม่ค่อยคุ้นด้วย” ฉันถามทันทีที่นั่งลงข้างเพียว ปริมที่นั่งถัดจากเพียวชะโงกหน้ามาตอบแทน
“ก็วันนี้เป็นคลาสแรกที่เราจะเรียนรวมคลาสกับพวกเอกหลักไง”
“รวมคลาส?” ฉันทำหน้าฉงน แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบจู่ ๆ รู้สึกขนลุกจากด้านข้างขึ้นมา พอหันมองก็พบกับร่างสูงของใครคนหนึ่ง เขามานั่งข้างฉันตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แต่ที่รู้ ๆ คือสายตาทุกคนในห้องตอนนี้หันมองพวกเราเป็นตาเดียว
“ไง คิดถึงฉันไหม?”
“สะ เสือพยัคฆ์?” ฉันขานชื่อเขาเบา ๆ ในหัวกำลังประมวลความคิดต่าง ๆ หมายความว่าเรื่องที่ฉันต้องเรียนรวมคลาสกับเสือพยัคฆ์นั่นก็เป็นความจริงน่ะสิ!
“จ๋า” คนถูกเรียกชื่อยิ้มรับหน้าชื่นตาบานมาก ทำเอาคนอื่น ๆ หันไปซุบซิบกันใหญ่
“นาย… นายมานั่งทำไมตรงนี้?”
ฉันกระซิบถามแล้วหันหน้าหนีจากออร่าความหล่อของเขา อย่าคิดว่าฉันจะหลงง่าย ๆ นะ ยิ้มให้ปากฉีกฉันก็ไม่ชายตาแลหรอก!
“ทำไมอ่ะ ก็ตรงนี้มันว่าง แล้วฉันก็อยากนั่งข้างเธอด้วย” ตอนถามน่ะฉันถามเสียงเบา แต่ตอนเขาตอบกลับตอบซะเสียงดังลั่นห้อง กลัวคนอื่นจะไม่ได้ยินหรือยังไง! ไอ้บ้าน่าตายนี่!
“ไม่ตลกนะ! นายไปนั่งที่อื่นเลยไป ฉันไม่มีสมาธิ” ฉันขับไล่ไสส่ง ไม่สนใจสายตาอิจฉาริษยาจากสาว ๆ ในห้อง ใครอยากนั่งข้างหมอนี่ก็มาลากออกไปสิ ไม่ต้องมามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น รำคาญ!
“ทำไมอ่ะ คนเป็นแฟนกันก็ต้องนั่งด้วยกันดิ”
“กรี๊ด… ไม่จริงอ่ะ!”
“ยัยนั่นเป็นแฟนเสือพยัคฆ์เหรอ!”
“เสือมีแฟนแล้วเหรอ ได้ไงอ่ะ!”
ทันทีที่เสือพยัคฆ์พูดจบ เสียงผู้หญิงในห้องอื้ออึงขึ้นมา แม้แต่เพียวกับปริมก็ยังมองฉันตาโต ฉันแทบจะแทรกหน้ากับโต๊ะ โมโหจนเส้นเลือดในสมองจะระเบิดอยู่แล้ว หมอนี่มันน่าตาย… น่าตายเกินไปแล้ว!
“นายต้องการอะไรกันแน่! ฉันไม่ใช่แฟนนาย เราไม่ได้คบกัน ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ! เลิกตามตอแยฉันสักที!” ฉันลุกขึ้นยืนแล้วหันไปเผชิญหน้ากับเขาตรง ๆ ความอดทนมันขาดผึงหมดแล้ว แต่แทนที่เสือพยัคฆ์จะสะทกสะท้านกับคำปฏิเสธเด็ดขาดของฉัน เขากลับทำเพียงยักไหล่หน่อย ๆ แล้วหันไปท้าวคางมองโปรเจ็กเตอร์หน้าห้อง พอฉันจะอ้าปากด่าอีกรอบ อาจารย์เดินเข้ามาในห้องพอดี เพียวรีบดึงฉันนั่งลง
“ใจเย็นก่อนนะขิม ไว้ค่อยคุยกันหลังเลิกคลาสนะ”
ฉันพยายามหายใจเข้าออกช้า ๆ เพื่อปรับอารมณ์ตัวเอง หลายคนยังแอบเหลือบมองมาทางพวกเรา ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะแปลกใจกับท่าทีของฉันด้วย เพราะปกติแล้วฉันจะเป็นคนนิ่ง ๆ ติดเย็นชา ไม่สนใจใคร แต่เมื่อกี้ที่ฉันแสดงออกใส่เสือพยัคฆ์มันเหมือนเป็นคนละคน ถึงบอกไงว่าหมอนี่เก่งเรื่องทำให้ฉันถึงจุดเดือด เจอหน้าเขาทีไรเหมือนความเย็นชาถูกทำลายทุกที
.
.
.
“เธอต้องวาดโครงแบบนี้” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู เรียกสายตาจากกระดาษแปลนตรงหน้าไปทางเขา เสือพยัคฆ์เอี้ยวตัวข้ามโต๊ะมาแล้วใช้ดินสอวาดโครงแบบแปลนซ้อนทับลงบนลายเส้นของฉัน กำลังจะอ้าปากด่าแต่พอเห็นสีหน้าจริงจังกับลายเส้นที่เขาวาดให้แล้วก็ต้องชะงัก ลายเส้นของเขาสวยจริง ๆ การขยับปลายดินสอคล่องแคล่วว่องไว ดูเอาการเอางานมากกว่าที่คิด
“โห เข้าใจง่ายขึ้นเยอะเลยแฮะ” เพียวเอ่ยชม ก่อนจะลองวาดของตัวเองตามลายเส้นของเสือพยัคฆ์บ้าง
ตอนนี้ทุกคนในคลาสกำลังวุ่นกับการวาดแบบแปลนตามคำสั่งของอาจารย์ซึ่งต้องส่งปลายชั่วโมง ทุกคนจึงต่างก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเอง ฉันก็เช่นกันจนกระทั่งเสือพยัคฆ์เอื้อมมือข้ามโต๊ะมานี่แหละ
“การวาดแบบแปลนพวกนี้ ถ้าเธอเข้าใจทฤษฎีของมัน ทุกอย่างจะง่ายแค่ปลายนิ้วกระดิก อย่างเช่น…”
เสือพยัคฆ์พูดถึงทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับการวาดแปลน ไม่ใช่แค่เพียวกับปริมที่หันมาสนใจเขา คนอื่น ๆ ที่นั่งล้อมรอบพวกเราก็เริ่มหันมอง ฉันเองก็มองเขาด้วยความรู้สึกทึ่งหน่อย ๆ เพราะคิดไม่ถึงว่าคนอย่างเขาจะเรียนเก่งด้วย นึกว่าเอาแต่เที่ยวเตร่เสเพลไปวัน ๆ เสียอีก
“อ่ะ เธอลองวาดดูสิ”
เพราะมัวแต่เหม่อมองเขาจึงตกใจนิด ๆ ตอนถูกดวงตาคมจ้องตา คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยคล้ายสงสัย ฉันรีบละสายตาจากเขากลับมาที่กระดาษแปลนของตัวเอง และลงมือวาดตามทฤษฎีที่เขาสอนเมื่อครู่
“ว้าว สวยมากเลยขิม” ปริมชมเมื่อฉันวาดเสร็จ รู้สึกทึ่งจริง ๆ ที่การสอนของเสือพยัคฆ์ทำให้ฉันเข้าถึงง่ายกว่าอาจารย์สอนซะอีก พอเห็นฉันวาดได้แล้ว คนอื่น ๆ ก็หันกลับไปวาดของตัวเองบ้าง รวมทั้งปริมกับเพียวด้วย จึงไม่มีใครสนใจฉันกับเสือพยัคฆ์อีกต่อไป
“เธอหัวไวดีนี่ เป็นเด็กเรียนจริง ๆ สินะ” เสือพยัคฆ์กลับไปนั่งพิงเก้าอี้ตัวเองแล้ว ไอร้อนจากลำตัวเขาเมื่อครู่จางหายไปด้วย ฉันเป่าปากเบา ๆ เรียกความนิ่งเฉยของตัวเองกลับมา
“นายก็เหมือนกัน ไม่คิดว่าจะเก่งเรื่องพวกนี้ด้วย” พอฉันพูดแบบนั้น เสือพยัคฆ์ขยับเข้ามาใกล้จนใบหน้าเราอยู่ห่างกันไม่กี่คืบ ฉันเผลอกลั้นหายใจแทบจะทันที รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นมุมปากหนา
“เรื่องอื่นฉันก็เก่งมากนะ ลองไหม?”
ฉันหมายถึงเรื่องเรียน แต่เขาน่ะหมายถึงเรื่องอะไร? คงไม่พ้นเรื่องใต้สะดือแน่ ๆ ในหัวผู้ชายคนนี้จะมีอะไรนอกจากเรื่องเซ็กส์!
“อะไร ทำหน้าแบบนั้นกำลังด่าฉันอยู่หรือไง” ฉันชักสีหน้าใส่แล้วหันกลับมาสนใจกระดาษแปลนของตัวเอง ทว่าเสียงกระซิบข้างหูกลับทำฉันขนลุกซู่ไปทั้งตัว “ฉันหมายถึงจูบไง ฉันจูบเก่งแค่ไหนเธอน่าจะรู้ดีนี่ขิม”
ให้ตาย… ไอ้ผู้ชายน่าตายนี่มันหลงตัวเองเกินไปแล้วจริง ๆ!