“โปรเจกต์กลุ่มห้าคน เอาไงดีขิม เราขาดสองคนนะ”
หลังจบคลาสอาจารย์สั่งงานโปรเจกต์แรกของเทอมนี้ให้พวกเรา และมันจะดีมากถ้าไม่ต้องทำงานเป็นกลุ่มแบบนี้ แถมยังกลุ่มห้าคนอีก ฉันเกลียดการต้องทำงานกลุ่มที่สุด ถ้าทำกับปริมและเพียวแค่สามคนฉันโอเค แต่ต้องทำร่วมกับคนอื่นนี่น่ะสิ บางคนก็ขาดความรับผิดชอบ ฉันไม่อยากเจอคนแบบนั้นเลยให้ตายสิ
“พวกฉันอีกสองคนไง แค่นี้ก็ครบแล้ว” เสียงจากผู้ชายด้านข้างฉันสอดขึ้นมาอีกแล้ว เขาชี้หน้าตัวเองกับเพื่อนอีกคนด้านข้างเขา ฉันรีบส่ายหน้าทันที
“ไม่มีทาง ฉันไม่อยู่กลุ่มเดียวกับนายเด็ดขาด”
“ทำไมอ่ะ ฉันไม่อู้เธอหรอก ก็เห็นแล้วนี่ว่าฉันหัวกะทิแค่ไหน ไม่เชื่อถามไอ้ไนท์ได้” เขาหันไปหามิดไนท์เพื่อนสนิทของเขา ฉันรู้จักมิดไนท์อยู่บ้าง เราอยู่ชมรมเดียวกันมาสองปีแล้ว เขานิสัยโอเคสำหรับฉันนะ ถึงลุคจะดูเถื่อน ๆ ไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร
“ไอ้เสือมันเก่งนะขิม ถ้าเรื่องงานเรื่องโปรเจกต์ไว้ใจมันได้”
“เฮ้ย! มึงพูดเหมือนเรื่องอื่นกูไว้ใจไม่ได้” เสือพยัคฆ์ขมวดคิ้วใส่เพื่อนตัวเอง มิดไนท์แสยะยิ้มตอบกลับ
“หรือไม่จริง?”
“ก็ดีนะขิม ปริมว่าให้พวกเขาอยู่ด้วยก็ดีนะ เมื่อกี้ที่เสือพยัคฆ์ช่วยสอนเรื่องวาดแปลน เขาทำได้ดีมากนะ”
“นั่นสิ ขนาดสเนปยังชมเลย” สเนปที่เพียวเอ่ยถึงคือฉายาของอาจารย์ประจำคลาส พวกนักศึกษาตั้งให้เพราะเขาชอบแยกเขี้ยวใส่ตอนสอนตลอด แถมยังชอบให้งานโหด ๆ เสมอ
ฉันถอนหายใจอย่างยอมแพ้ พวกเธอเล่นพูดกันซะขนาดนี้แล้วนี่ ถ้าให้โหวตแบบประชาธิปไตยฉันก็คงแพ้อยู่ดี
“ก็ได้” พอฉันตอบแบบนั้น เสือพยัคฆ์รีบหันมามองทันที เขาหยุดเถียงกับมิดไนท์แล้ว
“งั้นลากฉันเข้ากลุ่มไลน์ด้วยนะ เดี๋ยวฉันลากไอ้ไนท์เข้าให้” เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด อ้อ ฉันลืมบอกไปว่าเสือพยัคฆ์คืนโทรศัพท์ให้ฉันแล้ว ตั้งแต่ตอนเขามานั่งข้าง ๆ แถมยังชาร์จแบตมาให้เต็มเลยด้วย
“ไม่เป็นไร ฉันมีไลน์ไนท์แล้ว เดี๋ยวลากเข้าเอง” ฉันจิ้ม ๆ กด ๆ สร้างกลุ่มไลน์ในโทรศัพท์โดยไม่ทันสังเกตสีหน้าอึมขรึมของเสือพยัคฆ์ “เสร็จแล้ว ถ้าจะคุยเรื่องงานก็ทักมาในกลุ่มแล้วกัน ไปกันเถอะ”
ฉันเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเดินนำหน้าออกจากห้อง ปริมกับเพียวเดินตามมาติด ๆ
“ขิมมีไลน์มิดไนท์ยังพอเข้าใจนะว่าอยู่ชมรมเดียวกัน แต่กับเสือพยัคฆ์นี่…” คนขี้สงสัยอย่างเพียวถามขึ้นมา ฉันเม้มปากนิด ๆ เหลือบมองเพื่อนรักทั้งสอง
“บังเอิญน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“แต่ดูจากท่าทางของหมอนั่นแล้วเหมือนจะมีอะไรเลยนะ”
“นั่นสิ ปกติเสือพยัคฆ์ไม่ค่อยสุงสิงกับผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษ เขาอาจจะควงผู้หญิงเยอะก็จริง แต่ไม่มีใครที่เขาให้ความสนใจเท่าขิมมาก่อนเลยนะ” ปริมสันนิฐานตามภาพที่เห็น ฉันลืมไปได้ยังไงว่าปริมเป็นติ่งเสือพยัคฆ์ มีอะไรบ้างที่เกี่ยวกับเขาแล้วเธอไม่รู้ แสดงว่าการที่หมอนั่นมาตามติดฉันแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติของเขางั้นเหรอ?
“ยิ่งเมื่อกี้ตอนที่ขิมบอกว่ามีไลน์มิดไนท์แล้วอ่ะ เห็นสีหน้าของเสือพยัคฆ์ป่ะ”
“ใช่ ๆ ปริมก็เห็น จากตอนแรกที่เขายิ้ม ๆ กลายเป็นเขม่นขึ้นมาเลย”
จริงเหรอ… ฉันไม่ทันสังเกตเลยแฮะ
“ปริมว่านะ เสือพยัคฆ์ชอบขิมแน่ ๆ”
“นี่! หยุดเลยนะ! อย่าคิดอะไรแปลก ๆ แบบนั้นเชียว หมอนั่นน่ะเหรอจะชอบขิม ชอบปั่นหัวขิมน่ะสิไม่ว่า” ฉันหยุดเดินแล้วหันไปดุเพื่อน
อย่าพูดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ได้ไหม ไม่มีทางเด็ดขาด!
“ทำไมล่ะ ก็เขาพูดเองเลยนี่ว่าขิมเป็นแฟน พวกเรายังตกใจเลย”
“จริงด้วย เรื่องนี้มันเป็นมายังไงกันแน่ ขิมเพิ่งเลิกกับอัคไปไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมจู่ ๆ เสือพยัคฆ์ถึงประกาศแบบนั้นอ่ะ”
นึกถึงเรื่องนี้แล้วพาลอารมณ์เสีย พรุ่งนี้ต้องมีข่าวแพร่ออกไปแน่ ๆ ฉันละอยากจะบ้าตายจริง ๆ
“ขิมไม่ได้คบกับเขา เราไม่ได้เป็นอะไรกันจริง ๆ นะ แค่บังเอิญเจอกันไม่กี่ครั้ง แล้วเขาก็พาขิมไปช่วยยัยซอด้วย”
“อ้อ เรื่องที่ยัยซอถูกจีซัสพาตัวไปสนามแข่งนั่นเหรอ ที่แท้เสือพยัคฆ์เป็นคนช่วยไว้นี่เอง” เพียวกับปริมพยักหน้าเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น
“ขอโทษนะที่ขิมไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟัง แต่มันไม่มีอะไรจริง ๆ และก็ไม่คิดจะมีด้วย” พวกเราเดินมาถึงหน้าคณะแล้ว และเตรียมตัวจะแยกย้ายกันกลับ “ถ้ายังไงไว้นัดคุยเรื่องโปรเจกต์กันอีกทีแล้วกัน เดี๋ยวขิมต้องไปหาห้องต่ออีก”
“ยังไม่ได้ห้องสินะ ให้พวกเราช่วยไหม” ปริมถาม
“อื้อ ไม่เป็นไร ค่อย ๆ หาไปเดี๋ยวก็เจอ งั้นขิมไปก่อนนะ”
“โอเค งั้นไว้เจอกันนะ”
ฉันโบกมือลาแล้วเดินไปทางลานจอดรถ สิ่งหนึ่งที่เตี่ยตั้งเงื่อนไขหากฉันจะย้ายออกจากบ้านนั่นก็คือ… ฉันจะไม่ได้รถมาใช้ส่วนตัวอีกแล้ว เตี่ยจะยึดรถฉันไปให้สายซึงใช้แทน เพราะหมอนั่นทำใบขับขี่ได้แล้ว
เอาเถอะ… ฉันก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากทางบ้านอยู่แล้วแหละนะ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันต้องหาที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยกับที่ทำงานพิเศษ เพื่อสะดวกต่อการเดินทางยังไงล่ะ!