ตอนที่ 4 ร่องรอย

2986 Words
ยังไม่ทันที่เสียงเคาะประตูจะเงียบหาย หญิงสาวนางหนึ่งกระชากประตูเปิดออกด้วยท่าทางเร่งรีบ ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มหุบลงทันทีพร้อมด้วยเสียงเรียกที่สะดุดลงกลางคัน ประตูที่เปิดกว้างออกเผยให้เห็นชายวัยกลางคนที่เคยคุ้นยืนอยู่หน้าประตู หนึ่งคนนั้นมีรอยยิ้มอันอบอุ่นส่งมาให้เสมอยามเมื่อพบหน้า ต่างจากอีกคนที่มักแฝงเร้นความใจดีเอาไว้ภายใต้ใบหน้านิ่ง แต่ถึงกระนั้นชายทั้งสองคนกลับมิใช่คนที่นางกำลังรอคอย "พี่สาวเจ้ายังไม่กลับรึ?" คูลัสชายที่กำลังส่งยิ้มให้นางเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่กล่าวสิ่งใด ไม่เชื้อเชิญให้เขาเข้าไปภายในบ้านเหมือนเช่นทุกครั้งในยามที่มาที่นี่ หญิงสาวร่างท้วมสะดุ้งเล็กน้อยคลายออกจากภวังค์นึกคิดฤฉ จากนั้นจึงค่อยๆยืนด้วยท่าทีสำรวมโค้งตัวคำนับทีหนึ่ง ขณะที่นางกำลังจะตอบกลับ ทันใดนั้นนัยน์ตาที่ช้อนขึ้นพลันสบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่หนึ่งของใครบางคนที่เดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังของชายวัยกลางคนทั้งคู่ นัยน์ตาคู่นั้นมองมายังนางโดยปราศจากคลื่นอารมณ์ ความหนาวเหน็บของอากาศรอบตัวสร้างความสั่นสะท้านเย็นยะเยือกตั้งแต่ท้ายทอยขึ้นมายังกลางกระหม่อม เป็นเหตุให้นางหลุบตาต่ำไม่กล้าแม้จะสบตากับผู้ใดพลางเอ่ยตะกุกตะกักในลำคอ "ขะ… ข้า… ข้า..." ในยามปกตินางไม่ใช่หญิงสาวที่พูดจาติดอ่าง แต่ทว่ายามนี้ไม่รู้ว่าเหตุใดคล้ายกับว่าความคิดของนางหยุดลงชั่วขณะ ภายในหัวไม่ปรากฎสิ่งใดนอกจากอากาศที่ทำให้ร่างของนางสั่นสะท้าน "ไม่เป็นไรดาเนีย ไม่ต้องกลัว" เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงสั่นๆของหญิงสาว คูลัสจึงเอ่ยปลอบประโลมอย่างที่คนเป็นพ่อมักทำเมื่อยามที่เห็นลูกสาวตัวน้อยสั่นกลัว ถึงแม้ดาเนียจะไม่ใช่ลูกสาวของเขาก็ตาม แต่ก็อย่างที่รู้กันครอบครัวเมอร์โรเหลือเพียงแค่สองคนพี่น้อง "นี่ท่านคิเฮย์ ผู้ที่สามารถช่วยพวกเราได้" แม้คำพูดของคูลัสจะทำให้ดาเนียรู้สึกผ่อนคลายขึ้น แต่ทว่าความหนาวเย็นที่นางสัมผัสได้จากบุรุษหนุ่มร่างสูงนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นยังคงปกคลุมและแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ผ่านไปชั่วอึดใจนางจึงทำใจกล้าเหลือบมองไปยังร่างสูงในชุดสีครีมอ่อนเพียงแวบหนึ่งก่อนจะค้อมศีรษะลงเป็นเชิงคารวะ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นกล่าวกับชายวัยกลางคนทั้งสอง "ข้าไม่คิดว่าท่านจะมาในยามนี้ มีเหตุร้ายอันใดหรือไม่" หญิงสาวลืมคำถามก่อนหน้านี้ไปเสียสิ้นเมื่อตรองดูแล้วว่ายามนี้ถือเป็นเวลาที่กำลังล่วงเข้าสู่ยามดึก และคนที่นางรอคอยก็ยังไม่มีวี่แววโผล่มาให้เห็น จึงเกรงว่าชายทั้งสามอาจมาเพื่อแจ้งข่าวร้าย คูลัสหัวเราะน้อยๆในความขี้วิตกของดาเนีย "ต้องขออภัยเจ้าด้วย แต่เพราะมีเหตุจำเป็นข้าจึงรีบร้อนมา มิได้มีเหตุร้ายอย่างที่เจ้านึกกลัว" ด้วยท่าทีเป็นกันเองอย่างเช่นทุกครั้งจึงทำให้ใบหน้าของดาเนียคลายกังวลลงไปได้บ้าง "เช่นนั้นข้าขอเข้าไปข้างในได้หรือไม่" ประโยคท้ายทำนางตกใจเล็กน้อยเหมือนพึ่งนึกได้ก่อนหลบทางพลางค้อมศีรษะลง กล่าวเชิญ "เชิญท่านผู้นำ ขออภัยที่ตัวข้าเสียมารยาท" นางรอจนกระทั่งให้คนทั้งสามผ่านเข้าไปแล้วจึงยืดตัวขึ้นปิดประตู "วันนี้เอยาเมียข้า บอกว่าเจ้ามิได้ไปที่แปลงปลูกผัก" ซานัวเอ่ยถามขณะกำลังทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ข้างคูลัส แปลงปลูกผักที่เอ่ยถึง เป็นแปลงขนาดไม่ใหญ่นักที่ผู้คนภายในหมู่บ้านช่วยกันปลูกดูแลเพื่อนำไปใช้ประกอบอาหารและนำออกไปขายหรือแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างอื่นกลับเข้ามาภายในหมู่บ้าน ดาเนียที่เดินมาถึงโต๊ะคนสุดท้าย ยิ้มน้อยๆให้แก่ผู้ถามพลางเอ่ย "วันนี้ข้ารู้สึกไม่สบาย แม้แต่ข้างนอก ข้ายังมิออกไปเพียงก้าว" จากนั้นจึงเดินหายเข้าไปภายในครัว คิเฮย์ที่ยืนสังเกตสิ่งต่างๆภายในบ้านพลันย่นหัวคิ้วสงสัยด้วยท่าทีสงบ เขาค่อนข้างแปลกใจในคำตอบนั้น เพราะรอยเท้าที่ปรากฎจากหน้าประตูกลับไม่เหมือนอย่างที่นางกล่าวอ้าง "นางคงเหนื่อยมากกว่าทุกวัน ข้าคิดจะชดเชยให้นางในวันรุ่งขึ้น" เมื่อกลับออกมาจากครัวดาเนียถือกาน้ำร้อนไว้ในมือข้างหนึ่ง เดินนำมันมาวางไว้บนโต๊ะแล้วเอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำชาจากชั้นด้านหลังของนาง "นี่ก็ดึกแล้ว คืนนี้เดรเซียไม่กลับมารึ?" คูลัสรับถ้วยน้ำชาที่ดาเนียยื่นส่งให้พลางถามถึงหญิงสาวอีกคน ด้วยว่าเหลือกันเพียงสองคนพี่น้อง แต่ยังคงต้องกินต้องใช้ดังนั้นพี่สาวของดาเนียจึงยังต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงตนเองและผู้เป็นน้องสาว และเพราะที่นี่ผู้คนอพยพหนีหายออกไปเกือบหมดจึงทำให้หมู่บ้านแห่งนี้แทบไม่มีงานมากพอสำหรับทุกคน เดรเซียจึงจำต้องเดินทางไปยังอีกหมู่บ้านเพื่อหางานทำ และบ่อยครั้งที่งานของนางจำต้องค้างแรม และดูท่าว่าคืนนี้น่าจะเป็นเช่นนั้น "มิใช่" เสียงเอ่ยตอบของนางเหมือนจะราบเรียบแต่กระนั้นก็ยังมีคลื่นแห่งความวิตกผสมอยู่เล็กน้อย ซึ่งสิ่งนั้นทำให้ชายวัยกลางคนทั้งสองรู้สึกฉงนเป็นยิ่งนัก "พี่สาวข้านางกลับมาแล้ว" ดาเนียรินน้ำชาอีกถ้วยด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะถือประคองไปให้กับบุรุษหนุ่มที่ยืนห่างจากโต๊ะออกไปไม่มากนัก คิเฮย์รับถ้วยน้ำชาจากหญิงสาวพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ทว่าทรงพลัง "เจ้ามิได้อยู่ที่นี้เพียงสองคน?" ดาเนียฉงนกับคำถาม เลื่อนนัยน์ตาขึ้นสบกับชายหนุ่ม โคลงศีรษะขมวดคิ้วมุ่นด้วยท่าทีสงสัย แต่กลับไม่มีคำอธิบายใดเพิ่มเติมจากบุรุษตรงหน้า "เจ้ามีแขกรึ?" ซานัวที่ทนรอฟังคำตอบเอ่ยถามเมื่อยังไม่มีผู้ใดเอ่ย เมื่อได้ยินคำถามนั้น ดาเนียเหมือนจะพึ่งนึกได้ นางหมุนตัวพลางเอ่ยขึ้นขณะที่เดินกลับมายังโต๊ะข้างคูลัส "จะว่าใช่ก็ไม่เชิงนัก น่าจะเรียกว่าหลงทางเสียมากกว่า" "ผู้ใดกัน?" ครานี้คูลัสเป็นผู้ถาม น้ำเสียงแสดงออกถึงความแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง "ตายจริง" ดาเนียอุทาน แต่ไม่ได้มีท่าทีตกใจมากนัก "ข้าลืมถามชื่อเสียสนิท ฝ่ายนั้นชวนคุยเพลินจนข้าลืม เป็นบุรุษที่ช่างเจรจาเสียจริง" ท้ายประโยคดูผ่อนคลาย เมื่อนางนึกถึงเสียงหัวเราะและคำกระเซ้าเหย้าแหย่ของคนผู้นั้น "บุรุษ?" "ใช่" หญิงสาวร่างท้วมพยักหน้าเล็กน้อยตอบซานัว จากนั้นยกการินน้ำชาที่พร่องไปเกือบครึ่งถ้วยให้แก่เขา "แรกนั้นข้าหวังชวนให้พักค้างแรมที่นี่ เพราะเห็นว่าดึกแล้ว แต่พี่สาวข้ากับบุรุษผู้นั้นมิเห็นด้วย เนื่องเพราะไม่เหมาะ บุรุษกับหญิงสาวมิควรอยู่ด้วยกันในยามวิกาลหากมิใช่สายเลือดหรือเครือญาติ" คำตอบนั้นทำให้ชายวัยกลางคนทั้งสองเกร็งร่าง รู้สึกมือเท้าชาขึ้นมากะทันหัน คิเฮย์ได้แต่จ้องมองใบหน้าของหญิงสาวอย่างเงียบๆ "เจ้ากำลังจะบอกว่า" ซานัวกดเสียงถามให้ดูปกติ แต่ดูเหมือนไม่ได้ผล เพราะน้ำเสียงนั้นมีความตระหนกอย่างเห็นได้ชัด "พี่สาวเจ้าไปกับคนแปลกหน้างั้นรึ?" "แค่ไปส่งยังโรงเตี๊ยมของคาออสในหมู่บ้าน" นั้นเป็นคำตอบที่ทำให้ซานัวถึงกับเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เขาลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทันทีพลางกล่าวเสียงดังกว่าปกติ "ได้อย่างไรกัน พวกข้าพึ่งมาจากที่นั่นเมื่อครู่ แต่มิมีร่องรอยของผู้ใดโผล่ไปที่โรงเตี๊ยมแม้สักคน" เมื่อได้ยินดังนั้นดาเนียใจกระตุก ความหนาวเย็นที่หน้าประตูเทียบไม่ได้กับเลือดในกายของนางในตอนนี้ "ท่านหมายความว่าอย่างไร?" นางเอ่ยถาม ตวัดสายตามองกลับด้วยความตื่นตระหนก "ซานัว เจ้าใจเย็นลงก่อน" คูลัสปราม เมื่อจับสังเกตได้ถึงน้ำเสียงอันหวาดวิตกของดาเนีย "หากนางไปที่โรงเตี๊ยมจริง จะต้องสวนทางกับพวกข้าเป็นแน่ แต่ทว่าตลอดทางที่มาที่นี่" ซานัวเงียบเสียงลงครุ่นคิดถึงระยะเวลาที่เดินทางมายังบ้านของดาเนีย ก่อนจะผลุนผลันวิ่งออกไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก ดาเนียไม่รู้ว่าเกิดเหตุใด แต่สถานการณ์ตรงหน้ากำลังทำให้นางเสียขวัญ นางเอื้อมมือคว้าจับเก้าอี้ข้างกายเมื่อรู้สึกคล้ายจะหน้ามืด ตาของนางเริ่มพร่าเลือน หยาดน้ำตาเอ่อล้น ท้ายที่สุดจึงต้องทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างกาย "เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" คูลัสลุกขึ้นในทันที รีบปรี่เข้ามาดูอาการของเด็กสาวที่หน้าซีดขาวราวกระดาษ "ช่วย…ช่วยพี่สาว… ช่วยพี่สาวข้าด้วย " เสียงนั้นสะอึกขาดหายเป็นช่วงๆ พร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆอาบลงสองข้างแก้ม นางก้มหน้านิ่ง พร่ำคิดว่าหากในตอนนั้นนางแข็งใจปฎิเสธคำห้ามของพี่สาว ดื้อรั้นติดตามไปคงดี แต่เพราะอาการป่วยจึงทำให้เดรเซียผู้เป็นพี่สาวยืนยันหนักแน่นห้ามนางออกข้างนอกเผชิญน้ำหมอกและไอเย็นโดยเด็ดขาด ซานัวที่ผลุนผลันวิ่งออกมา พบเข้ากับกลุ่มของเคลลาที่กำลังมุ่งหน้าตรงมา เขาจึงพุ่งตัวด้วยความเร็วหยุดยืนต่อหน้าคนทั้งกลุ่ม "เจ้าผ่านทางมาเห็นผู้ใดหรือไม่" เคลลาหยุดนึกชั่วครู่ มองความร้อนรนนั้นอย่างพิเคราะห์ "นอกจากพวกข้าก็มิเห็นผู้ใดอีก" นางตอบด้วยท่าทีสงบ เหลือบนัยน์ตามองไปยังตัวบ้านเบื้องหลังซานัว ก่อนจะเห็นคิเฮย์และคูลัสกำลังก้าวออกจากที่นั่น "เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ" "แล้วที่โรงเตี๊ยมมีผู้ใดเข้าพักอีกหรือไม่นอกจากพวกเจ้า" ซานัวยังคงตั้งคำถาม คล้ายกับไม่ได้ยินในสิ่งที่เคลลากล่าว "เข้าพัก?" เรสทวนคำ "ที่โรงเตี๊ยมห้องพักเต็มแต่หัวค่ำ พวกข้ายังต้องย้ายไปนอนห้องเดียวกัน" ว่าพลางสบตามูมิสเพื่อนที่ต้องร่วมห้องด้วยความจำเป็น เพราะสละให้กับคิเฮย์ "เดรเซียหายตัวไป" ซานัวเอ่ยในที่สุด น้ำเสียงนั้นแฝงความวิตก เช่นเดียวกับนัยน์ตาที่แฝงความกังวล "นางไปส่งผู้หลงทางที่โรงเตี๊ยมเมื่อชั่วโมงก่อน" เคลลามุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย "พี่น้องตระกูลเมอร์โร?" นางเอ่ยถามพลางก้มหน้ากวาดสายตาไปยังพื้นเบื้องล่างทั่วบริเวณที่แสงตะเกียงสาดถึง หางตาเหลือบเห็นซานัวพยักหน้าตอบรับ "ข้าเกรงว่าจะไม่มีผู้ใดผ่านทางที่ข้ามา แต่ว่า..." นางยกตะเกียงขึ้นสูงมองไปยังคิเฮย์และคูลัส "อาจไปอีกทาง" ซานัวหันกลับมองร่างสองร่างที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลมากนักตามสายตาของเคลลา "นั่นท่านคิเฮย์นี่" เฟรเด็กสาวในกลุ่มเอ่ยขึ้นแววตาเป็นประกาย เมื่อเห็นดังนั้นคนทั้งกลุ่มจึงมุ่งหน้าไปหาคิเฮย์และคูลัสที่กำลังหยุดยืน สังเกตบางอย่างบนพื้นดิน คิเฮย์ยกมือที่ถือตะเกียงสูงขึ้นเพื่อสาดไล่ความมืดรอบกายเผยให้เห็นรอยเท้าสองคู่ที่หายเข้าไปบนเส้นทางเดินแคบๆสายหนึ่ง "นั่นไม่ใช่ทางเข้าหมู่บ้าน" หลังจากจัดการกับร่างอันไร้สติของดาเนียเสร็จ คูลัสที่ตามหลังออกมาจึงเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นรอยเท้าเหล่านั้น เขาเหม่อมองฝ่าเข้าไปในความมืด โดยไม่ปริปากกล่าวความใดอีก ซานัวก้าวมาถึงก้มมองพื้นดินก่อนจะเดินตามรอยเท้านั้นผ่านทุกคนขึ้นไปยังเบื้องหน้าเล็กน้อย "หอบูชา" เสียงนั้นเอ่ยอย่างเลื่อนลอยแผ่วเบาแต่ทว่าความเงียบสงบกลับทำให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน "หอบูชาเทพยดา" เมื่อรู้ว่าเบื้องหน้าคือที่ใด คิเฮย์จึงก้าวตามซานัวและคูลัสไปในทันที คืนที่มีเพียงแสงจากจันทร์เสี้ยวทำให้มองเห็นบริเวณโดยรอบไม่ชัดนัก ซานัวหยุดวิ่งเป็นระยะพร้อมชูตะเกียงที่รับมาจากคิเฮย์ขึ้นเพื่อสำรวจเส้นทางที่ถูกต้นไม้และใบหญ้ากลืนกินกลบเส้นทางเดินสัญจรกลายเป็นผืนป่าเดียวกันไปเสียสิ้น และเมื่อแน่ใจแล้วจึงหันไปพยักหน้ารับกับคูลัส ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เสียงฝีเท้าเริ่มแปรเปลี่ยนความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ปลายเท้าสัมผัสพื้นหญ้าก่อให้เกิดเสียงย่ำฉ่ำแฉะของน้ำค้างยามดึก ยิ่งถล้ำลึกเข้าไปไกลมากเท่าใดก็ยิ่งเงียบสงัดมากขึ้นเท่านั้น พลันทันใดนั้นซานัวหยุดกะทันหัน ส่งผลให้เหล่าบรรดาศิษย์อนุชนแห่งวาดัวหยุดเท้าแทบไม่ทันชนกระแทกแผ่นหลังไปตามๆกัน มูมิสผู้ปากไวกำลังจะเอ่ยเสียงด่าแต่กลับถูกเรสเอื้อมมืออุดปากเอาไว้ได้ทันท่วงที พร้อมกับขึงตาใส่ผู้ที่พยายามดิ้นรนแกะมือเขาออก ซานัวชูตะเกียงในมือขึ้นอีกครั้ง แต่ครานี้ภาพเบื้องหน้ากลับปรากฎซุ้มโค้งศิลาสูงกว่าสามเมตรตั้งตระหง่านอยู่ภายใต้เงามืดต้นไม้น้อยใหญ่ที่แข่งกันแทรกทะลุผ่านลานศิลาขึ้นมาแผ่กิ่งก้านทอดเงามืดครึ้ม วังเวง "พวกเจ้าห้ามห่างข้าเกินกว่ารัศมีสิบเมตร" เคลลาหันไปกระซิบดุสั่งบรรดาศิษย์น้องที่ยืนรวมตัวกันอยู่เบื้องหลัง ซึ่งทั้งห้าพยักหน้าตอบรับพร้อมร่ายเวทกำชับอาวุธในมือเตรียมพร้อม ถึงแม้ก่อนหน้านี้เคลลาได้สร้างข่ายเวทเพื่อคุ้มครองบรรดาเหล่าศิษย์น้องก่อนการล่าปีศาจ แต่ข่ายเวทมีพลังจำกัดหากออกห่างเกินกว่าพลังวงเวทก็อาจทำให้เกิดอันตรายได้ "ที่นี่ร้างมานานแล้ว" คูลัสเอ่ย "ไม่คิดว่าจะมีสิ่งชั่วร้ายแอบแฝงอยู่" มือหยาบรับตะเกียงที่เคลลายื่นส่งให้ พึมพำเสียงแผ่วใส่นางได้ใจความแค่ว่า ‘ฝากพวกเจ้าด้วย’ คิเฮย์ทะยานไปเบื้องหน้าเพียงครู่เดียวก่อนหยุดลงตรงซุ้มโค้งศิลา ความมืดทำให้เขามองเห็นสิ่งใดไม่ชัดนัก ได้ยินเพียงความเงียบของผืนป่าที่ไม่มีแม้แต่เสียงใบไม้ไหว ร่างสูงขยับกายก้าวขายาวขึ้นบันไดทีละขั้นด้วยความระมัดระวัง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองรอบกายทุกระยะที่ก้าวผ่านจนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ชั้นบนสุดของลานโล่ง ที่ไม่มีประตู หน้าต่าง หรือแม้แต่ผนังโอบล้อม ทั่วทุกบริเวณเป็นเพียงลานโล่งๆที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดยามรัตติกาล ขายาวกำลังจะก้าวย่างออกไปเบื้องหน้า พลันนั้นนิ้วชี้ข้างซ้ายกลับรู้สึกร้อนวาบขึ้นทันใด ประกายแสงจากแหวนเรืองขึ้นหนหนึ่งก่อนดับแสงลงทิ้งไว้เพียงความร้อนระคายผิวจางๆ บุรุษร่างสูงไถหัวแม่มือซ้ายกับพื้นผิวแหวนที่นิ้วชี้แผ่วเบา เขาไม่ได้นึกประหวั่นหรือวิตกกับปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจางๆของปีศาจลอยปะทะเข้ากับจมูก ทันที่ที่คิเฮย์ย่างเท้าล่วงเข้าสู่ลานศิลาปรากฎแสงสว่างจากคบไฟขึ้นทันใด เผยให้เห็นซากปรักหักพังมากมายถูกทับถมเป็นกองสูงบ้างเล็กบ้างเรียงรายโดยรอบ มีวัชพืชมากมายขึ้นปกคลุมพร้อมด้วยเถาไม้เลื้อยที่พากันเกาะเกี่ยวเลี้ยวเลาะจากเสาหินห้อยย้อยระย้าลงมาคล้ายกลับเส้นเชือกหลากสีที่ใช้ประดับประดาในเทศกาลประจำปี แต่แล้วภาพทุกอย่างโดยรอบพลันมลายหายไปเมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเลื่อนมองไปยังแผ่นศิลาที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานสูง และกว่าจะรู้ตัวอีกทีร่างของเขาก็ทะยานสูงขึ้นก่อนจะหยุดลงตรงหน้าแผ่นศิลาที่มีร่างร่างหนึ่งถูกมัดตรึงด้วยเส้นเชือกสองเส้นที่บริเวณหน้าอกและต้นขา คิเฮย์ขบกรามแน่น บริเวณสันกรามนูนขึ้นเด่นชัด เขากำมือเข้าหากัน จ้องสภาพร่างผู้ที่ถูกตรึงด้วยเพลิงโทสะ คล้ายกลับว่าร่างนั้นจะยังพอมีสติ เปลือกตาอันหนักอึ้งค่อยๆเผยอขึ้นมองสิ่งตรงหน้า นานชั่วขณะหนึ่งริมฝีปากอวบค่อยๆกระตุกยิ้ม ยักคิ้วข้างหนึ่งส่งให้ร่างสูงที่กำลังจ้องมอง ก่อนจะได้ยินเสียงคำรามเรียกชื่อตนเองดังก้องไปทั่วผืนป่า แต่แล้วเสียงเรียกนั้นกลับถูกกลบหายเมื่อเกิดเสียงโลหะปะทะกันดังสนั่นอยู่เบื้องหลังร่างสูง คิเฮย์เหลือบหางตามองก่อนจะเห็นชายผ้าคลุมสีม่วงเข้มปลิวสยายอยู่เบื้องหลัง "ไม่สมกับเป็นเจ้าเลยนะ ...คิเฮย์" เคลลาโถมกายสะบัดดาบที่นางสกัดไว้ แล้วใช้หางตาเหลือบมองไปยังชายร่างสูงเบื้องหลัง จากนั้นจึงทะยานตัวตามเงาร่างนั้นไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD