ตอนที่ 3 หมู่บ้านกกกลม

2763 Words
"อะไรของเจ้าเนี่ย!" ร่างบางสบถพลางใช้สองมือตะกายขึ้นนั่งบนกองกระสอบมากมายของเกวียนขนสินค้าขนาดกลาง หลังจากที่ต้องกลิ้งตกลงไปเพราะผู้บังคับม้าหยุดม้ากะทันหันส่งผลให้เขาที่กำลังนอนมองท้องฟ้ายามบ่ายต้องตัดภาพมายังพื้นเกวียนทันที "ดูนั่นๆ" ชายวัยกลางคนใช้มือจับบังเ**ยนไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างชี้ไปข้างหน้าตรงทางสามแยก "บ้าไปแล้ว เจ้าหนุ่มนั่นต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ" นัยน์ตาสีนิลตวัดมองตามมือที่กำลังชี้ ก่อนจะเผยให้เห็นแผ่นหลังของบุรุษหนุ่มที่กำลังขี่ม้าไกลออกไปเรื่อยๆ "แล้วเจ้าจะหยุดม้าทำไม ไปต่อสิ เดี๋ยวก็ตามไม่ทันกันพอดี" เสียงนั้นหันกลับมาต่อว่าคนหยุดม้าด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองผสมความแปลกใจเล็กน้อย เจ้าของเกวียนหันขวับไปมองผู้โดยสารพร้อมสวนกลับทันควัน "เจ้าจะบ้าเรอะ! ใครเขาใช้ทางเส้นนั้นกัน ถ้าเจ้าจะไปเจ้าก็ไปเองแล้วกัน" เมื่อได้ยินคำตอบ ซาเรย์จึงเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิยืดตัวตรง ลูบสีข้างที่กระแทกเข้ากลับกองไม้ไปมา "อะไรของเจ้า ทางก็มีให้ไป" เมื่อรู้สึกว่าไม่เจ็บเท่าตอนแรก เจ้าตัวก็กระโดดลงจากเกวียนเดินไปหาชายที่กำลังชักม้าเบี่ยงหน้าไปอีกทาง "ก็ใช่ แต่ข้าจะไปวาดัว" "เอ้า ทางนี้ก็ไปได้ แถมยังใกล้กว่าตั้งเยอะ" ซาเรย์เถียงกลับ ชี้ไปทางแยกข้างหน้าที่มีป้ายชื่อหมู่บ้าน "กกกลม" ปักอยู่ "แต่ไม่มีใครใช้นานแล้ว เจ้าไม่เห็นหญ้าที่ขึ้นรกทึบพวกนั้นหรือไง" ซาเรย์หันกลับไปมองอีกครั้งหลังจากฝุ่นค่อยๆสลายหายไป เผยให้เห็นทรรศนียภาพที่ค่อนข้างรกทึบจนแทบจะไม่เห็นทางเข้า "ทางเส้นนี้จะว่าถูกปิดก็ไม่เชิงนัก แต่เมื่อหลายปีก่อนข่าวลือเรื่องปีศาจออกอาละวาด ผู้คนในหมู่บ้านพากันทยอยหนีจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านร้าง" ชายวัยกลางคนเริ่มเล่า "พ่อค้าแม่ขายที่มักสัญจรทางเส้นนี้ต่างเลิกใช้เกือบจะห้าหกปีได้ ส่งผลให้สินค้าที่ผลิตจากต้นกกของที่นี่ขาดตลาดไปพักใหญ่ เพราะไม่มีใครอยากเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงเดินทางไปรับสินค้าในหมู่บ้าน นี่นะข้าล่ะเสียดายเจ้าหนุ่มนั่นนัก" ประโยคหลังพึมพำกับตนเอง แสดงสีหน้าปลงอนิจจัง รู้สึกโทษตนเองอยู่เล็กน้อยที่ไม่สามารถเตือนเจ้าหนุ่มนั้นได้ "เฮ้ๆ ที่เจ้าพูดเพราะเจ้ากำลังจะโกงเงินค่าจ้างข้าใช่ไหม" ซาเรย์มองคนเล่าด้วยความเคลือบแคลงใจ "พูดเช่นนี้ แสดงว่าเจ้าไม่ใช่คนแถวนี้ล่ะสิ" ใบหน้าคล้ำแดดมองเด็กหนุ่มร่างบางตรงหน้า "ดูจากการแต่งตัว เจ้าคงเป็นคนเมือง ลูกผู้รากมากดีสักตระกูล" เขาพิเคราะห์ "นั่นล่ะ เหตุผลที่เจ้ากำลังจะปล้นข้า" ซาเรย์เอ่ยขำขัน ทำท่าทางยกมือเท้าสะเอวคล้ายเอาเรื่อง ชายบนเกวียนวางบังเ**ยนลงแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าข้างกายตน ก่อนจะยื่นเหรียญคืนให้พร้อมเอ่ย "ถ้าเจ้าจะไปทางเส้นนั้นข้าแถมเงินให้เจ้าอีกสองเหรียญ เป็นห้าเหรียญ" ซาเรย์ตาโต รีบคว้าเงินนั้นทันที ถึงแม้ว่าเขาจะเกิดมาในตระกูลผู้รากมากดีอย่างที่คนขับเกวียนพิเคราะห์ แต่เขาก็ฉลาดพอที่จะไม่ทิ้งเงินของมีค่าที่ได้มาง่ายๆ อย่างว่าตระกูลเขาสอนมาดี "นี่เจ้าให้ข้าเองนา" ว่าพลางยัดเงินเหล่านั้นเข้ากระเป๋า ชายคนขับเกวียนถอนหายใจไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเขาโง่หรือไร้เดียงสา "เจ้าอยากบอกชื่อเสียงเรียงนามไว้หน่อยไหม เผื่อมีผู้ใดถามหา ข้าจะได้บอกทางไปรับศพเจ้าถูก" ซาเรย์หัวเราะแห้งๆกับคำกล่าวนั้นก่อนจะขอตัวลาเมื่อเห็นว่าตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า หากมัวชักช้ากว่านี้เขาอาจเดินทางไปไม่ถึงหมู่บ้านก่อนค่ำ คนขับเกวียนยังคงตะโกนถามไล่หลังเพื่อให้บุรุษหนุ่มในชุดสีน้ำเงินครามเปลี่ยนใจ แต่เจ้าตัวก็แค่ยกไม้ยกมือโบกลาแล้วหายลับเข้าไปในดงหญ้าที่หนาทึบขึ้นเรื่อยๆ บุรุษหนุ่มบนอาชาขาวหยุดม้าเมื่อมาถึงทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ก่อนบังคับบังเ**ยนม้าให้มันค่อยๆเดินไปตามทางเข้าผ่านซุ้มประตูเก่าที่สลักตัวอักษรเอาไว้ แต่ทว่าตัวอักษรเหล่านั้นกลับแตกร้าวเลือนลางจนแทบไม่สามารถสะกดเป็นคำได้ เมื่อผ่านเข้ามาได้ไม่ไกลนักจึงแลเห็นบ้านเรือนเรียงรายตามถนนทั้งสองฟาก แต่กลับไม่พานพบสิ่งมีชีวิตใด บุรุษหนุ่มยังคงบังคับม้าให้เดินต่อไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งแลเห็นเงารางๆไหวอยู่เบื้องหน้าไกลออกไปไม่มากนัก เมื่อขี่ม้าเข้าใกล้จึงเห็นผู้คนสาละวนอยู่กับการเก็บข้าวของของตนเองพร้อมด้วยคนเฒ่าคนแก่กำลังอุ้มบรรดาลูกๆหลานๆด้วยความเร่งรีบ แต่กระนั้นความเร่งรีบกลับสะดุดหยุดลงเมื่อทุกคนมองเห็นบุรุษหนุ่มผู้อยู่บนอาชาขาว โดดเด่นสะดุดตาราวกับแสงสว่างท่ามกลางความหม่นมืดในจิตใจของผู้คนที่นี่ สายตาหลายคู่จ้องมองไปยังผู้มาเยือนคนใหม่ด้วยความสนใจใคร่รู้ ด้วยเพราะน้อยคนนักที่จะเดินทางผ่านเข้ามายังหมู่บ้านแห่งนี้ "ท่านคิเฮย์" แต่แล้วทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างที่วิ่งตรงมายังบุคคลที่ตนเอ่ยเรียก คิเฮย์ย่นหัวคิ้วเล็กน้อยหลุบตามองผู้ที่เรียกตน แล้วตวัดกายลงจากหลังม้า "ข้าเรส ศิษย์สำนักเรียนวิคเซสแห่งวาดัวครับ" ร่างของเด็กหนุ่มค้อมเอวลงคารวะผู้ที่อายุมากกว่าตน ก่อนจะรีบเงยหน้าเอ่ยถาม "ทำไมท่านถึงมาที่นี่ได้" ยังไม่ทันจะกล่าวตอบร่างเด็กหนุ่มอีกคนก็พุ่งเข้ามายืนข้างเรส "เจ้าจะรีบวิ่งไปไหน ข้าเกือบตามไม่ทัน" เสียงเหนื่อยหอบต่อว่าไปพลางหายใจไปพลาง "ดูสิข้าเจอผู้ใดเข้า" เรสเอ่ยด้วยอาการตื่นเต้นบุ้ยใบ้ให้เพื่อนมองคนที่ตนกล่าวถึง "ท่านคิเฮย์! ทะ… ทำไม" เด็กหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดประจำสำนักเรียนวิคเซสไม่ต่างจากเรสตะลึงพลางสงสัย ก่อนจะค้อมเอวคารวะตามกาลเทศะ "ข้ามูมิส ศิษย์สำนักเรียนวิคเซสแห่งวาดัวครับ" คิเฮย์เพียงแค่พยักหน้าตอบรับก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ "ใครเป็นคนพาพวกเจ้าออกมา" สัญลักษณ์บนคอปกเสื้อบ่งบอกถึงสถานะการเป็นนักเรียนชั้นปีสี่ของคนทั้งสอง ซึ่งเด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นปีสี่ถึงปีหกจะต้องลงเรียนภาคปฏิบัติของแต่ละสำนักที่ตนเลือกเรียน และการจะลงภาคปฎิบัติได้นั้นต้องมีอาจารย์หรือผู้ฝึกวิชาขั้นสูงเท่านั้นที่เป็นผู้ควบคุมดูแลอย่างเคร่งครัด "ศิษย์พี่เคลลาครับ" เรสเป็นผู้ตอบ "ท่านพึ่งมาถึงคงยังไม่มีที่พัก เดี๋ยวพวกข้าจะนำทางไป นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว" คิเฮย์พยักหน้ารับก่อนจะหันไปจูงม้าแล้วเดินตามเด็กทั้งสองไป "ศิษย์พี่เคลว กำลังไปพบผู้นำหมู่บ้านเพื่อถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับที่นี่ครับ" มูมิสกล่าว "ใช่ครับ" เรสเสริม "เห็นว่าที่นี่ศิษย์สำนักเรียนของกีดิสกับเซเกนเข้ามาปราบแล้ว แต่เหตุการณ์ไม่ดีขึ้น ยังมีครอบครัวของชาวบ้านพากันทยอยตายอยู่เรื่อยๆ" "ศิษย์พี่ก็เลยพาพวกข้ามาที่นี่ เผื่อจะช่วยอะไรพวกชาวบ้านได้บ้าง แถมยังเป็นการฝึกวิชาไปในตัวด้วย จริงไหม" ประโยคท้ายมูมิสหันหน้าไปขอความเห็นจากเรส ซึ่งเรสก็พยักหน้าตอบกลับมาเช่นกัน "พวกข้าสองคนเดินถามข้อมูลกับชาวบ้านมาเรื่อยๆจนมาพบกับท่านเข้า" เรสเอ่ยพร้อมส่งยิ้มให้กับชาวบ้านที่เริ่มไม่สนใจพวกตน ก่อนหน้านี้พวกชาวบ้านไม่สนใจตอบคำถามเอาแต่จ้องมองไปยังเบื้องหน้า เรสสังเกตเห็นความผิดปกติจึงมองตามสายตาเหล่านั้น จนกระทั่งเห็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกำลังบังคับม้าบนถนนท่ามกลางผู้คนที่มองร่างอันองอาจเป็นตาเดียว "ไม่คิดว่าจะเจอท่านที่นี่" มูมิสกล่าวด้วยความตื่นเต้น เพราะการได้เจอกับคิเฮย์ คานวาเรส คุณชายรองจากแดนสรวงโสมไม่ใช่เรื่องง่าย ตระกูลคานวาเรสเป็นตระกูลต้นแบบของสมมุติเทพที่ปกครองแคว้นไซโดเวียจากรุ่นสู่รุ่น จึงไม่แปลกที่ผู้คนจะให้ความเคารพยำเกรงเพียงเพราะเป็นคนของตระกูลคานวาเรส แต่ คิเฮย์ คานวาเรส ได้พิสูจน์แล้ว ว่านอกจากจะมีดีที่นามสกุลดัง หน้าตาหล่อเหลา เขายังเก่งกาจจนกลายมาเป็นอาจารย์ที่มีอายุน้อยที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ไซโดเวียอีกด้วย เด็กทั้งสองเดินนำคิเฮย์มาเรื่อยๆพร้อมกับพลัดกันเล่าเรื่องราวต่างๆมากมายที่ตนได้ประสบพบเจอไปตลอดทาง จนกระทั่งไม่นานก็มาหยุดอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมหลังหนึ่ง "ถึงแล้วครับ" เรสเอ่ยขึ้นแหงนหน้ามองโคมไฟที่กำลังส่องแสงทำหน้าที่ขับไล่ความมืด "งั้นเดี๋ยวข้าจะนำม้าไปไว้ที่โรงม้า" มูมิสเดินเข้าไปรับสายบังเ**ยนจากคิเฮย์ก่อนจะลูบแผงคอม้าเบาๆแล้วหายไปยังด้านหลังตัวอาคารของโรงเตี๊ยม โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตั้งอยู่ในสถานที่ที่ไม่สะดุดตานัก ภายในโรงเตี๊ยมมีโถงขนาดกว้างสำหรับวางโต๊ะไม้กว่าห้าโต๊ะ ฝั่งซ้ายมือเป็นโต๊ะไม้ทรงสูงสำหรับเก็บเงินของเจ้าของร้าน ถัดไปด้านหลังมองเห็นชั้นที่ใช้วางของตกแต่งตามยุคสมัยพร้อมกับไหสุราหลายไห ด้านหลังโต๊ะเก็บเงินเป็นม่านกั้นเชื่อมห้องครัวที่อดีตเคยรุ่งเรืองจนแทบไม่มีเวลาหยุดพักสำหรับพ่อครัวหลังม่าน แน่นอนว่าที่แห่งนี้แทบจะดูเก่าซอมซ่อเพราะไม่มีผู้ใดผ่านทางมาพักนานแล้ว ทันทีที่คิเฮย์ย่างเท้าผ่านเข้าบานประตูไป เด็กหนุ่มในชุดธรรมดาท่าทางกระตือรือร้นก็รีบวิ่งเข้ามาต้อนรับทันที ก่อนที่เรสจะเป็นผู้เจรจาจัดการทุกอย่าง เมื่อสั่งกำชับเด็กรับใช้ของโรงเตี๊ยมเสร็จแล้วเรสจึงหันกลับมาหาบุรุษหนุ่มร่างสูง "เมื่อครู่เด็กรับใช้กล่าวว่าศิษย์พี่เคลวพึ่งกลับเข้ามาพร้อมกับคูลัสผู้นำหมู่บ้าน" "คุณชายรองคานวาเรส" ยังไม่ทันที่เรสจะกล่าวจบ เสียงใสกังวาลก็ดังขึ้น ทำให้นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนละจากเรสหันไปสบนัยน์ตาสีเทาจางของผู้เอ่ยเรียก "แม่นางเคลลา" คิเฮย์ทักกลับพร้อมค้อมศีรษะคำนับเล็กน้อยเป็นการตอบกลับเช่นกัน "เห็นมูมิสบอกว่าเจอเจ้าที่นี่" เด็กหนุ่มผู้ถูกเอ่ยถึงยืนยิ้มกว้างอยู่ข้างเรส มูมิสนำม้าไปเก็บก่อนจะใช้ประตูด้านหลังเดินเข้าไปหาบรรดาเพื่อนๆของเขาที่รออยู่ แต่ปรากฎว่าศิษย์พี่เคลลากลับมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงบอกเรื่องคิเฮย์ให้นางทราบ "ข้าสั่งให้เด็กรับใช้จัดเตรียมห้องให้ท่านคิเฮย์แล้ว" เรสหันไปเอ่ยกับศิษย์พี่ของตน ซึ่งนางก็พยักหน้าตอบรับ "เจ้ามาที่นี่คงไม่ใช่เหตุบังเอิญ" หญิงสาวร่างบางในชุดเดียวกับเรสและมูมิสเอ่ยหยั่งเชิง นางอมยิ้มน้อยๆ "เกรงว่าเหตุครั้งนี้คงต้องขอให้เจ้าช่วยเสียแล้ว เชิญทางนี้" เคลลาเดินนำทางเข้าไปภายในโถงด้านขวา คิเฮย์เดินตามก่อนจะปิดท้ายด้วยเรสและมูมิส ร่างบางเปิดประตูไม้ผ่านเข้าไปเผยให้เห็นบุรุษสูงอายุสองคนพร้อมด้วยเด็กหนุ่มที่รุ่นราวคราวเดียวกับเรสและมูมิสอีกสามคน และเมื่อทุกคนเห็นผู้มาเยือนคนใหม่ต่างพากันลุกขึ้นยืนก่อนจะกล่าวทักทายพร้อมกับค้อมเอวคารวะเล็กน้อย "พวกข้ากำลังพูดคุยเรื่องประหลาดของที่นี่" เคลลาหันไปกล่าวกับคิเฮย์ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างศิษย์น้องที่ดูท่าทางตื่นเต้น แล้วหันไปเอ่ยกับอีกคน "ท่านผู้นำคูลัสโปรดพูดถึงเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง" คูลัสพยักหน้าแล้วเอ่ย "เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อห้าหกปีก่อนจู่ๆผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่พากันทยอยตายทีละครอบครัวโดยมิรู้สาเหตุ" ใบหน้านั้นสลดลงเล็กน้อย "ไม่มีอาการหรือร่องรอยใดปรากฎ ราวกับว่าคนเหล่านั้นนอนหลับแล้วไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย" "ไม่พบสาเหตุของโรค ไม่พบความผิดปกติของร่างกาย" ซานัวผู้ช่วยคูลัสเอ่ยเสริม ทุกอย่างที่เอ่ยถึงดูยากจะกล่าว แต่เมื่อทำใจได้ครู่หนึ่งคูลัสจึงพยายามเอ่ยต่อ "ใช่ พวกเราพยายามทำทุกวิถีทางแต่ไม่มีอะไรดีขึ้น เมื่อยังมีคนตายอยู่เรื่อยๆโดยมิทราบเหตุ ชาวบ้านหลายคนจึงตัดสินใจอพยพออกจากหมู่บ้าน เหลือไว้แต่คนเก่าคนแก่กับบรรดาชาวบ้านที่ไม่มีที่ไปเท่านั้น" คูลัสทอดถอนใจ แววตาหม่นแสง "ข้าเองก็จนปัญญา อยู่ที่นี้มาครึ่งค่อนชีวิตจะให้ข้าจากไปแล้วทิ้งคนที่เหลือไว้เบื้องหลังข้าก็หาทำได้ไม่" "ที่เจ้ากล่าวมา" คิเฮย์เอ่ย สีหน้าราบเรียบ "ทุกคนในครอบครัวตายหมด? ทีละคน?" คูลัสและซานัวพยักหน้ารับ แต่ทว่าผู้นำหมู่บ้านกลับตอบเสียงแผ่วแทบไม่ได้ยิน "ใช่ ตายกันหมด" ระหว่างเอ่ย เสียงยังสั่นเทายามเมื่อนึกถึงตนเองที่ต้องเป็นผู้จัดการศพคนสุดท้ายของแต่ละครอบครัว "ข้าได้ยินว่าศิษย์ของสำนักเรียนกีดิสและเซเกนต่างพากันมาที่นี่แล้ว" เคลลาเอ่ยถาม "เมื่อหลายเดือนก่อน" ซานัวทำท่าทางครุ่นคิดแล้วเอ่ยต่อ "ช่วงนั้นทุกอย่างเหมือนดีขึ้นไปพักหนึ่งหลังจากที่พวกกีดิสและเซเกนเข้ามาจัดการ เพราะหลังจากผู้เป็นพ่อของครอบครัวเมอร์โรตายก็ไม่มีคนในครอบครัวนั้นตายอีก" "ผ่านมาหลายเดือน จนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้วผู้เป็นแม่ของครอบครัวเมอร์โรอยู่ๆก็ตายอย่างไร้เหตุ นั่นทำให้ชาวบ้านกลับมาหวาดกลัวอีกครั้งจนไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะหันหน้าคุยกัน" ผู้นำหมู่บ้านเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสิ้นหวังเข้าไปทุกขณะ "ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงลูกสาวสองคนที่ไม่รู้ชะตากรรม และข้าก็ไม่รู้จะช่วยพวกนางอย่างไร ข้าช่างเป็นผู้นำที่ไร้ประโยชน์นัก" ประโยคท้ายก้มหน้าพึมพำกับตนเอง ซานัวจึงแตะบ่าแผ่วเบาพร้อมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธในสิ่งที่คูลัสเอ่ย คิเฮย์ลุกขึ้นยืนตัวตรงเต็มความสูงเอ่ยแก่ผู้นำหมู่บ้าน"นำทางข้าไปที่บ้านของครอบครัวเมอร์โร" จากนั้นจึงหันมาหาสตรีด้านข้าง "รบกวนแม่นางเคลลาด้วยแล้ว" เคลลาหัวเราะน้อยๆลุกขึ้นยืนเคียงข้างบุรุษร่างสูง "ข้ากับบรรดาศิษย์สำนักเรียนวิคเซสขอคำชี้แนะด้วย" การปราบปีศาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินกว่ามือของศิษย์ชั้นปีหกอย่างเคลลา เรื่องที่ต้องห่วงมีเพียงแค่บรรดาศิษย์รุ่นน้องที่นางต้องดูแล "พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม" เคลลาหันไปกล่าวกับบรรดาศิษย์น้องก่อนจะหันไปกล่าวกับท่านผู้นำหมู่บ้าน "เพื่อไม่ให้เสียเวลา รบกวนท่านทั้งสองนำทางคุณชายคานวาเรสล่วงหน้าไปก่อน" เมื่อได้ยินชื่อเรียกของบุรุษหนุ่มร่างสูง คูลัสและซานัวต่างพากันทำหน้าเลิ่กลั่กเอ่ยทวนชื่อเสียงแผ่ว ก่อนจะโค้งเอวคารวะอีกรอบด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ "ร่ายข่ายเวทคุ้มกันเสร็จเมื่อไหร่ข้าจะรีบตามไป" แน่นอนว่าก่อนการออกล่าปีศาจทุกครั้งผู้ควบคุมดูแลจะต้องร่ายข่ายเวทคุ้มกันให้กับบรรดาศิษย์ที่ตนพาออกล่าปีศาจเสมอ อาจจะเสียเวลาสักหน่อยแต่เพื่อความปลอดภัยก็ไม่อาจประมาทได้ การล่าปีศาจครั้งนี้ดูจะเหนือความคาดหมายของทุกคนไม่น้อย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD