ตอนที่ 2 ศิลากาฬ

3267 Words
ในคืนราตรีที่ล่วงเลยเข้าสู่ยามดึก มีแสงจากตะเกียงดวงหนึ่งยังคงส่องสว่างตามจังหวะการก้าวเดินของบุรุษหนุ่มรูปร่างสันทัดในชุดคลุมขาวที่กำลังมุ่งหน้ากลับไปยังหอนอนหลังอาบน้ำเสร็จ เขาค่อยๆเดินเป็นจังหวะไม่ช้าและไม่เร็วนัก จนเมื่อก่อนถึงหอนอนเพียงไม่กี่ก้าว ฉับพลันนั้นต้องหยุดชะงัก ใบหน้าคมย่นหัวคิ้วแสดงความสงสัยพร้อมนัยน์ตาที่ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม เขาเดินตามทางเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งขึ้นบันไดไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่งบนชั้นสอง มือหนาผลักบานประตูเปิดออก ย่างเท้าเข้าไปในห้องวางตะเกียงลงบนโต๊ะแล้วเดินกลับไปปิดประตูลงกลอนก่อนจะเดินกลับมาเพื่อดับตะเกียง ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความมืดทันทีเป็นสัญญาณบ่งว่าเจ้าของห้องกำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราในอีกไม่ช้านี้ บุรุษหนุ่มร่างบางในชุดคลุมดำกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อมองลงมาเห็นไฟจากตะเกียงมอดดับลง เขาเอนกายพิงต้นไม้ด้วยท่าทางสบายๆ พร้อมกับฮัมเพลงเสียงเบาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหย่อนเท้าข้างหนึ่งแกว่งไปมาล้อเล่นกับสายลมหนาวที่พัดเอื่อยยามดึกของค่ำคืนที่แสงจันทร์ไม่ค่อยสว่างนัก จวบจนกระทั่งเวลาล่วงเข้ายามดึกสงัดเขาจึงกระโดดลุกขึ้นยืนบนกิ่งไม้ โคลงหัวเบาๆอย่างใช้ความคิด และเมื่อแน่ใจว่าบุคคลผู้เป็นเป้าหมายเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว ร่างนั้นก็กระโดดลงตรงไปยังหน้าต่างที่อยู่ชั้นสองทันที มือเล็กค่อยๆแง้มเปิดบานหน้าต่างด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะแทรกกายบางผ่านเข้ามาในห้อง เหลือบตาขึ้นมองร่างบนเตียงด้วยความระแวง และเมื่อยังคงเห็นว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดปากบางก็พ่นลมอย่างโล่งอกหันกลับไปปิดบานหน้าต่างไว้ดังเดิม ร่างในชุดคลุมสีดำตัดขอบสีน้ำเงินเข้มหยุดยืน กวาดสายตามองไปรอบๆห้องที่ก่อนหน้านี้เข้ามาสำรวจ(รื้อค้น)ไปแล้วรอบหนึ่งเมื่อตอนหัวค่ำ ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงไม่ต้องเสียเวลาในการรื้อค้น เพราะเมื่อครู่ที่โรงอาบน้ำนอกจากจะเห็นสิ่งที่ตนต้องการแล้ว เขายังเห็นในสิ่งที่ตนไม่ต้องการจะเห็นอีกด้วย ใครจะไปคิดว่าชีวิตนี้ต้องมาแอบดูผู้ชายด้วยกันอาบน้ำ นัยน์ตาสีดำนิลกลอกมองบน เบ้ปากเบาๆเมื่อนึกไปถึงรูปร่างของคนที่ตนไม่ได้ตั้งใจไปแอบดู เพียงแค่เจ็ดปีที่ไม่ได้เจอกันไม่นึกเลยว่าคุณชายรองแห่งแดนสรวงโสมจะร่างกายกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามขนาดนั้น ว่าแล้วก็รู้สึกคันๆร้อนๆที่ข้างแก้มเมื่อนึกไปถึงสิ่งที่อยู่ต่ำลงไป แต่ก่อนที่ภาพเหล่านั้นจะฉายชัดในความคิด เรือนผมสีดำยาวที่รวบตึงไว้ก็ถูกสบัดรัวเร็วไล่ภาพที่กำลังจะผุดขึ้นในหัวออกไปทันที สาบานเลยว่าจะให้ใครรู้เรื่องนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด โดยเฉพาะเจ้าตัวคนที่เขาไปแอบดู ผ่านไปชั่วครู่เมื่อไล่ภาพเหล่านั้นออกไปได้หมดแล้ว ร่างบางจึงใช้ปลายเท้าจดลงพื้นอย่างแผ่วเบาพาตัวเองเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเงียบ เพียงไม่กี่ก้าวร่างของเขาก็ย้ายมาอยู่บริเวณกลางขอบเตียง มือเล็กค่อยๆลดมือลงอย่างช้าๆพร้อมด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ค่อยๆผุดซึมขึ้นตามขมับ เขาละล้าละลังกับการลดมือลงแต่เมื่อใกล้ถึงผืนผ้าหม่เขาก็ชักมือกลับ การกระทำนั้นเป็นอยู่แบบนี้หลายครั้งจนเจ้าตัวต้องกำมือเข้าหากันย้ำๆเพื่อเรียกความมั่นใจ ชั่วขณะที่สายลมเย็นวูบผ่านทำให้ร่างบางสะดุ้ง ถึงแม้ตอนนี้อากาศจะหนาวเย็นแต่ทั่วทั้งใบหน้าหวานกลับเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ "ข้าอยู่นี้" เสียงทุ้มที่แฝงไปด้วยความละมุนเอ่ยขึ้นที่ข้างหู นัยน์ตาสีดำนิลเบิกโพลงก่อนจะหันขวับไปยังต้นเสียง "คิเฮย์!" เมื่อเห็นว่าเป็นใครเขาก็แผดเสียงเรียกชื่อทันที พร้อมกับกระถดหนีร่างที่ช้อนอยู่เบื้องหลัง แต่กลับถูกมือแกร่งเกาะกุมเอวเอาไว้ "หืม" เสียงนั้นตอบรับในลำคอ ก่อนจะก้มใบหน้าลงข้างแก้มเพื่อสูดดมกลิ่นหอมเข้าให้เต็มปอด "เจ้ายังซนไม่เปลี่ยน ซาเรย์" ร่างบางพยายามจะหันกลับมาเพื่อเผชิญหน้า แต่ไม่สำเร็จ เพราะถูกอีกคนรั้งเอวเอาไว้ "เจ้า ปละ...ปล่อยข้า" ซาเรย์เอ่ยตะกุกตะกัก พยายามเบี่ยงตัวออกจากมือแกร่งแต่ทว่ายิ่งดิ้นก็ดูเหมือนว่าหลังของเขาจะยิ่งแนบเข้ากับแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงหยุดดิ้น แล้วเปลี่ยนมาดึงมือที่อยู่เอวตนออก ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความสงสัย "เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเป็นข้า?" คิเฮย์ไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขาคลายมือออกจากเอวบางก่อนจะตวัดร่างของคนตัวเล็กกว่าให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา ซาเรย์ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเซถลาเล็กน้อย แต่ยังทรงตัวได้ตามแรงมือที่กระชับอยู่รอบเอว เมื่อทรงตัวได้ซาเรย์จึงปล่อยมือจากแขนคนตัวสูง เงยหน้าช้อนนัยน์ตาสีนิลขึ้นมองเพื่อประท้วงเอาคำตอบกับคนที่กำลังมองเขาเช่นกัน "กลิ่น" ร่างสูงเอ่ยตอบในที่สุด พร้อมกับโน้มใบหน้าลงมาสูดกลิ่นหอมนั้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาจำกลิ่นนี้ได้ มารู้ตัวอีกทีกลิ่นนี้จะมาพร้อมกับบุรุษตรงหน้าเสมอ ซาเรย์ชะงักอยู่กับที่ เขาไม่เคยเห็นใบหน้าคมของอีกฝ่ายใกล้ขนาดนี้ ลมหายใจที่กำลังเป่ารดข้างแก้มทำเอาเขารู้สึกร้อนๆหนาวๆอย่างบอกไม่ถูก "จะ… เจ้า ...เจ้าจะทำอะไร" มือเล็กยกขึ้นทาบแผ่นอกเพื่อดันให้คนตัวใหญ่กว่าออกห่าง การกระทำนั้นทำให้อีกคนชะงักเล็กน้อย นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววตกใจแวบหนึ่งโดยที่อีกคนไม่ทันได้สังเกต "กลับไปซะ" น้ำเสียงที่เอ่ยมีร่องรอยของการสะกดกั้นอารมณ์ ก่อนจะปล่อยมือออกจากเอวบางแล้วสาวเท้าผ่านร่างนั้นไปยังเตียงเบื้องหน้า ซาเรย์ขมวดคิ้วมุ่นไม่เข้าใจกับสิ่งที่คนตรงหน้ากระทำ เขาสะบัดหน้าสองสามทีแล้วหันกลับไปเหลือบมองคนที่กำลังขึ้นเตียง พลางทำสีหน้าครุ่นคิด นี่ไม่ใช่คิเฮย์! นั้นคือเสียงประท้วงที่ร้องอยู่ในใจ แต่ทว่าเมื่อครู่ซาเรย์เองก็เห็นใบหน้าและดวงตาของอีกฝ่ายชัดเจน ถึงแม้จะมืดแต่ก็ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ ฉะนั้นไม่มีทางที่เขาจะดูผิดแน่ ถึงแม้การกระทำจะค่อนข้างแปลก แต่ยังไงมือที่ได้สัมผัสกับมัดกล้ามนั่นมันก็กำลังแย้งว่า มันต้องใช่ ...ใช่ แก้มของเขากำลังร้อนขึ้นมาอีกครั้งนี่สิ! ซาเรย์เอื้อมมือบางไปถูข้างแก้มด้วยความหงุดหงิดไม่เข้าใจ ก่อนจะส่งสายขุ่นเคืองไปยังร่างที่กำลังหันแผ่นหลังให้เขา "นี่ เจ้าจะนอนแล้วหรอ" ซาเรย์สาวเท้าเข้าไปใกล้ขอบเตียงมากขึ้น น้ำเสียงเอ่ยถามฟังดูหงุดหงิด ซึ่งเป็นความหงุดหงิดที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้สาเหตุ คิเฮย์ล้มตัวลงนอนแทนการตอบคำถาม เขาดึงผ้าหม่ขึ้นมาคลุมโดยไม่ได้สนใจคนที่กำลังหงุดหงิด ซาเรย์จิ๊ปากเบาๆ มองแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่าย แล้วพ่นลมจากปากเพื่อระบายความหงุดหงิด ให้ตายสิเขาไม่เคยเข้าใจอารมณ์ของคนตรงหน้าสักครั้ง บทอยากจะพูดก็พูด บทอยากจะเงียบก็เงียบ และเพราะเป็นแบบนี้คิเฮย์ถึงได้ต่างกับเขาชนิดปลายฟ้ากับร่องหุบเหว และไม่ต้องบอกก็คงรู้ ...ว่าตัวเขานี่แหละที่อยู่ในร่องหุบเหว แถมยังเป็นร่องที่ลึกเสียด้วย เมื่อสงบสติอารมณ์ได้ ร่างบางค่อยๆนั่งลงบนขอบเตียง ชะโงกหน้ามองคนที่หันหลังให้เขาแล้วเอ่ยเรียกเสียงแผ่วเบาแต่ทว่าชัดเจน "คิเฮย์" เจ้าของชื่อไม่ตอบรับและไม่มีปฏิกิริยาใด จนซาเรย์ต้องเอ่ยเรียกอีกรอบ เสียงเรียกนั้นไม่ทันจะเอ่ยชื่อจบ จู่ๆคนที่นอนตะแคงหันหลังอยู่ก็ผุดลุกขึ้นนั่งทำเอาซาเรย์ผงะเพราะใบหน้าคมของอีกฝ่ายอยู่ห่างเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนยังคงวางหน้าเรียบเฉย ปรายตามองบุรุษอีกคนที่ค่อยๆยิ้มแหยแก้เก้อ "กลับไป ซาเรย์" คิเฮย์เอ่ยเสียงเย็น ราบเรียบ พร้อมแววตาดุ "ข้าไม่กลับ" เสียงใสนั้นสวนกลับทันควัน พร้อมกับกระเถิบเข้าไปใกล้ "เจ้าไม่เห็นรึไง ดึกขนาดนี้แล้ว ข้างนอกนั่นน่ากลัวจะตาย" ซาเรย์บุ้ยใบ้ไปยังหน้าต่างแล้วเอ่ยต่อ "ทั้งพวกปีศาจ มาร อสุรกายออกอาละวาดไม่เว้นแต่ละวัน" คิเฮย์มองคนพูดหน้านิ่ง เอ่ยเสียงเย็นอีกรอบ "กลับไปซาเรย์ เจ้าไม่ใช่เด็กอายุสิบสาม และข้าก็ไม่ได้อายุสิบเจ็ด" น้ำเสียงของเขากดต่ำลง พยายามสะกดกั้นความรู้สึกภายใน แววตาในความมืดกำลังแสดงอารมณ์ยุ่งยากใจแปลกๆ "ไม่" ซาเรย์ตอบหนักแน่นพร้อมส่งยิ้มกลับไป เรื่องกวนอารมณ์คนอื่นเขานี่ถนัดนัก อีกอย่างในเมื่อยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ต่อให้คนตรงหน้าไล่ยังไงเขาก็ไม่มีทางกลับ คิเฮย์คิ้วกระตุก นั้นเป็นคำตอบที่เขาพอจะคาดเดาจากคนตรงหน้าได้อยู่แล้ว เพราะนี้ไม่ใช่หนแรกที่เขาต้องต่อกรกับความเป็น ‘เด็ก’ ของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ คนเดิมก็ยังคงดื้อเหมือนเคย และสำหรับเขาแล้วการรับมือกับเด็กดื้ออย่างซาเรย์ ไม่ใช่การเอาชนะแต่เป็นการที่ต้องทำให้เจ้าตัวยอมถอยเอง ร่างสูงเอี้ยวตัวกลับมาหาคนดื้ออีกครั้ง เขายกมือขึ้นกระตุกผ้าที่ใช้รัดผมของคนร่างเล็กก่อนจะรวบมือบางแล้วใช้ผ้าต่างเชือกมัดข้อมือนั้นเข้าหากัน "เจ้าจะทำอะไร" ซาเรย์ขืนตัวเอง พยายามดิ้นไม่ให้ผ้านั้นรัดข้อมือตน แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะเร็วกว่า "ถ้าจะนอนนี่" คิเฮย์ขมวดปมเชือกเสร็จ กลุ่มควันขาวก็ปรากฎขึ้นก่อนจะจางหายไปในปมเชือก "ไม่ เจ้าจะมัดข้าแบบนี้ไม่ได้" มัดด้วยมือไม่เท่าไหร่สำหรับซาเรย์ แต่อีกฝ่ายเล่นใช้มนตร์กำกับด้วย แบบนี้โอกาสที่จะดิ้นหลุดแทบเป็นไปไม่ได้ "ทำยังกับว่าเจ้ากับข้าไม่เคยนอนด้วยกัน" เสียงนั้นฟังดูตัดพ้อ จนนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนต้องเบนขึ้นมาสบ คิเฮย์หยุดมองดวงหน้าที่ถูกล้อมกรอบด้วยผมสีดำขลับที่ถูกปล่อยสยายยาว ใบหน้าหวานนั้นเรียกความรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆขึ้นมาจากความทรงจำบางส่วนของเขา แต่แล้วไม่นานมันก็หายไปพร้อมกับเสียงหวานที่เอ่ยขึ้น "ข้าก็แค่ขอนอนด้วย รุ่งเช้าข้าก็จะไป" ซาเรย์กำลังเล่นบทชายหนุ่มผู้น่าสงสาร "แล้วถ้าเจ้าจะไล่ข้าให้ไปนอนที่อื่น ข้าก็คงไปไหนไม่ได้ เพราะข้าไม่เคยค้างที่นี่ ถึงที่นี่จะเป็นสำนักเรียนของตระกูลข้าก็เถอะ" เรื่องที่ซาเรย์เอ่ยมาไม่แปลก เพราะสมัยเรียนเขาก็ไปกลับระหว่างสำนักเรียนและบ้าน ดังนั้นเขาไม่เคยใช้หอนอนที่นี่ และหลังเรียนจบเขาก็แทบจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องของสำนักเรียนถึงแม้พ่อของเขาจะพยายามแค่ไหนก็ตาม คิเฮย์หยุดฟังคนตรงหน้าพูดโดยไม่ได้แสดงสีหน้าใด ถึงแม้ซาเรย์จะไม่บอก เขาก็รู้ดี เพราะเขาอยู่ที่นี่แทบจะทุกเดือน มือแกร่งยกร่างบางให้ลอยข้ามตนแล้ววางลงชิดกำแพง ก่อนเอื้อมมือโอบไปด้านหลังดึงรั้งไหล่บางให้นอนลง ซาเรย์ล้มตัวลงนอนตามแรงดึงของอีกฝ่ายที่กำลังจ้องเขา แต่เมื่อคิเฮย์ปล่อยมือออก พลันนั้นเขาก็รีบหยัดกายลุกขึ้น แต่กลับชนถูกแผ่นอกหนาที่เอี้ยวท่อนบนมาคร่อมเขาไว้ ซาเรย์ที่หน้ากระแทกกับแผ่นอกจึงต้องกลับลงไปนอนภายใต้แขนทั้งสองข้างที่กักตัวเขาเอาไว้ "เจ้าไม่คิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าได้มันไป?" ซาเรย์ขนวดคิ้ว ทำตาปริบๆ แสร้งไม่เข้าใจในสิ่งที่คิเฮย์พูด ก่อนจะเฉไฉพูดเรื่องอื่น "เจ้าไม่เห็นต้องทำแบบนี้" ซาเรย์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อน "แก้มัดให้ข้าเถอะ สัญญาว่าข้าจะนอนนิ่งๆ ไม่ทำอะไรเจ้า" เสียงหวานเอ่ยพูดพร้อมกับชูมือที่ถูกมัดขึ้น "เจ้าไม่ทำ?" "อือ" พยักหน้าแรงๆอย่างคาดหวัง คิเฮย์มองการกระทำนั้น ก่อนจะค่อยๆใช้ริมฝีปากงับผ้าที่รัดมือเล็กเบาๆ แล้วดึงรั้งพันธนาการให้แน่นขึ้น! ซาเรย์มองการกระทำนั้นก่อนจะกลืนน้ำลายคงคอ พร้อมกับจ้องนัยน์ตาคมที่เงยขึ้นมาสบ "ข้า..." ซาเรย์พยายามดึงมือกลับ แต่รู้สึกเหมือนจะไร้เรี่ยวแรง เมื่อริมฝีปากหนางับเข้าที่ปลายนิ้ว "คิ… คิเฮย์" ร่างบางเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย แต่ถ้าให้หนีตอนนี้เขาก็ต้องเสียหน้าน่ะสิ "เจ้าไม่ทำ" คนข้างบนปล่อยสายรัดหลุดจากริมฝีปาก สบนัยน์ตาสีนิลก่อนจะระบายยิ้มบางๆแล้วเอ่ย "ก็ใช่ว่าข้าจะไม่ทำ" นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่ซาเรย์จะยอมทำตามทุกอย่างแต่โดยดี ยอมแม้กระทั่งนอนทั้งๆที่ถูกมัดมือ พร้อมกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟันที่ทำอะไรไม่ได้ ครั้งนี้เขาจะยอมให้ก่อนเพราะไม่ทันคิดว่าคิเฮย์จะเล่นแบบนี้ แต่รอบหน้าเขาไม่มีทางลงเอยแบบนี้แน่! "เมื่อคืนนอนหลับไม่สบายรึ" เสียงสูงวัยเอ่ยถามเมื่อเห็นนัยน์ตาของอีกฝ่ายดูอิดโรยคล้ายคนอดหลับอดนอน ก่อนจะวางหนังสือเล่มหนาลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยต่อพลางเลื่อนมันไปข้างหน้าโดยไม่ได้รอฟังคำตอบใด "นี่เป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับตำนานของศิลากาฬ ถึงมันจะเล่มหนา แต่ก็บอกอะไรได้ไม่มากนัก" คิเฮย์รับหนังสือก่อนจะมองอย่างพินิจพิเคราะห์จับต้องอย่างระมัดระวัง เพราะดูจากความเก่าผุของมันแล้ว ไม่แน่ว่ามันอาจบุบสลายเพียงเพราะสัมผัสอันแผ่วเบา "ศิลากาฬหรือหินแห่งความตายถูกหลอมรวมขึ้นโดยคนตระกูลซาคานอย่างผู้นำตระกูลนามว่า เวเคน เขายอมขายวิญญาณแก่แม่มดปีศาจแลกกับอำนาจด้านมืด เพื่อใช้ทำลายล้างพวกพ้องมนุษย์ยึดครองแคว้นไซโดเวียตั้งตนเป็นใหญ่เหนือทุกสรรพสิ่ง แต่ทว่า..." โอจุนเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างใช้ความคิด แล้วกล่าวต่อ "ซาคานถูกสยบลงก่อนด้วยมนตราสองสายของตระกูลเจ้า...คานวาเรส" คิเฮย์นั่งนิ่งฟังตำนานเรื่องเล่าด้วยท่าทีสงบ ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด จนผู้ที่แอบฟังอยู่นึกอยากกระโดดเข้าไปฟังเอง ถามเองเสียให้สิ้นเรื่อง ไม่รู้ว่าตอนเด็กถูกเลี้ยงด้วยอะไรถึงได้เป็นผู้รู้ผู้ดีจนแทบแยกไม่ออกไหนคนไหนนักบวช ซึ่งนั่นทำให้ซาเรย์ได้แต่พ่นลมอย่างขัดใจ กลอกตาไปมาเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ "แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ถูกกล่าวขานมานานพร้อมกับตัวศิลากาฬที่ถูกแยกส่วน" คำพูดของผู้อาวุโสเรียกนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนให้ตวัดกลับขึ้นไปสบกับนัยน์ตาสีชาที่ดูอิดโรยไม่ต่างกัน "เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับเมืองวาดัว ตอนที่เปลี่ยนผู้นำคนใหม่ หมายถึงเปลี่ยนตระกูลผู้นำเมือง" ประโยคท้ายโอจุนอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้คนฟังเข้าใจมากขึ้น ก่อนยกถ้วยชาขึ้นจิบ ขับไล่ความง่วงที่เกิดจากการอดหลับอดนอนเพราะวุ่นอยู่กับการหาหนังสือตำราข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับศิลากาฬที่หอคัมภีร์ลับ "เปลี่ยนตระกูล?" คิเฮย์เลิกคิ้วหนาทวนคำ แววตาฉงน ประมุขอาวุโสยกมือลูบคาง เพื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต "เรื่องนี้มีบันทึกไว้ในหนังสือเช่นกัน แต่ที่ผ่านมาข้าก็เคยได้ยินพ่อข้าพูดถึงอยู่บ้าง แต่รายละเอียดไม่ได้มากนัก หากเจ้าต้องการรู้มากกว่านี้ ข้าเกรงว่าเจ้าคงต้องไปถามเกลนดอนเอาเอง" "ประมุขวิคเซส?" มาถึงตอนนี้ซาเรย์ที่แทบเอาหูแทรกเข้ากับบานหน้าต่างชักเริ่มไม่แน่ใจว่าการศึกษาทางด้านภาษาสื่อสารของคิเฮย์จบมาได้ด้วยขั้นไหน เพราะถ้าให้เขาประเมิน อย่าว่าแต่แย่เลย คำว่าห่วยแตกยังน้อยไป "หลังจากสยบเวเคนลงได้ ตระกูลซาคานก็ถูกล่าฆ่าล้างตระกูล โดยผู้นำตระกูลวิคเซส ก่อนที่พวกวิคเซสจะถูกแต่งตั้งก้าวขึ้นเป็นผู้นำหัวเมืองใหญ่คนใหม่ของวาดัวนับแต่นั้นมา" โอจุนพยักหน้าตอบรับพลางเล่าเรื่องไปพลาง "ว่ากันว่าแม่มดปีศาจที่เวเคนทำสัญญาขายวิญญาณให้ ครั้งหนึ่งนางสามารถแก้คนตายให้ฟื้นคืนได้ แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าที่ไม่ได้แน่ชัดนัก เช่นเดียวกับวิธีทำลายศิลา แทบไม่มีบันทึกในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์เล่มใด" คิเฮย์ปิดหน้าหนังสือเล่มใหญ่ลง เขาไม่รู้จะกล่าวคำพูดใด เพราะหากว่าท่านโอจุนยอดนักปราชญ์หมดหนทางเขาเองก็คงไม่ต่างอะไรกับคนหูหนวกตาบอด "แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางอยู่เลย" ชายสูงวัยหยุดคิดชั่วครู่ แววตานั้นแสดงความกังวลเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นปกติทันทีที่เอ่ย "หลังจากหมดสิ้นตระกูลซาคาน แม่มดปีศาจหนึ่งในผู้หลอมรวมศิลากาฬร่วมกับเวเคนถูกตระกูลวิคเซสจองจำเอาไว้ในสถานที่ที่หนึ่งที่มีเพียงผู้นำตระกูลใหญ่ทั้งห้าตระกูลกุมความลับเอาไว้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการจองจำได้ถูกส่งต่อให้กับลูกหลานตระกูลวิคเซสรุ่นต่อรุ่นจวบจนปัจจุบัน" "เช่นนั้น..." ชายชราลูบเคราขาวพร้อมพยักหน้าตอบรับ "ไม่มีผู้ใดจะรู้ดีไปกว่าผู้ที่หลอมรวมมันขึ้น มายาวีเซอร์ซีล แม่มดปีศาจมนตร์ดำผู้ที่เคยสร้างหายนะครั้งใหญ่ให้แก่แผ่นดินไซโดเวีย" คิเฮย์พยักหน้ารับทีหนึ่ง ก่อนจะสบนัยน์ตาสีชาที่มองมาด้วยความหนักใจ หากไม่มีทางเลือกอื่นใดเขาก็จำเป็นจะต้องหาคำตอบที่ซึ่งไม่อาจเลี่ยงได้ ‘ปลุก’ แม่มดร้ายมนตร์ดำ ผู้ถูกกักขังมานานเกือบครึ่งสหัสวรรษ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD