ตอนที่ 1 ข่าวลือ

3333 Words
"เฮ้อ ข่าวลือที่ว่าแดนสรวงโสมถูกบุกเมื่ออาทิตย์ก่อนเป็นข่าวจริงงั้นหรือ?" หนึ่งในชายฉกรรจ์บนโต๊ะอาหารถอนหายใจพลางเอ่ยเปิดเรื่อง ก่อนจะตักชิ้นเนื้อวางลงบนจานอาหารตรงหน้าตน "ข้าเองก็ได้ยินมาว่าอย่างนั้น เห็นว่าศิลากาฬที่อยู่ในความดูแลของท่านคามาร์ก็ถูกขโมยไปแล้ว" ชายที่นั่งข้างๆหันใบหน้ากลับมาหาคนถามพร้อมเอ่ยตอบอย่างที่ตนได้ยินมา "แต่ข้าว่าไม่นา" อีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยลากเสียงยาวทำท่าทางครุ่นคิดแล้วกล่าวต่อ "แดนสรวงโสมใช่ว่าใครจะเข้าออกได้โดยง่าย ยิ่งมี ‘ทวิรมนตรา’ คอยคุ้มกันศิลากาฬอยู่ด้วย ยิ่งเป็นการยากเข้าไปอีก" ว่าเสร็จก็โบกมือทำท่าทางให้คนทั้งโต๊ะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ตนเอ่ย "มนตรานั่นก็ผ่านมาห้าร้อยกว่าปีแล้ว มันจะยังมีอยู่จริงๆนะหรือ?" ชายคนแรกที่กล่าวเปิดเรื่องหันไปหาแนวร่วมกับบรรดาชายฉกรรจ์บนโต๊ะ ชักจูงให้คนฟังเห็นด้วยกับตน "ข้าเกิดมาจนหัวจะหงอกอยู่ร่อมร่อ ยังมิเคยได้เห็นเป็นบุญตาสักครั้ง" ว่าเสร็จก็ตักข้าวเข้าปากคำใหญ่ก่อนจะหันไปซดน้ำแกงให้คล่องคอ "เรื่องนั้นข้าไม่สนหรอก เพราะข่าวที่ข้าได้ยินมามันยิ่งกว่านั้นเสียอีก" ครานี้ดูเหมือนจะเป็นชายหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มเอ่ยปากบ้าง เขาใช้ตะเกียบคีบเศษผักที่เหลืออยู่บนจานตรงหน้าส่งมันเข้าปากเคี้ยวชิมรสช้าๆ โดยไม่ได้สนใจสายตาใคร่รู้อีกแปดคู่ที่กำลังมองมา จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบนาทีเขาถึงพึ่งรู้สึกได้ว่าตนตกเป็นเป้าสายตาจากบรรดาผู้ร่วมโต๊ะอาหาร "ว่ามาบรูช" หนึ่งในสี่คนบนโต๊ะเอ่ยเร่ง วางช้อนในมือ จดจ่อใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังเลิกคิ้วมองตนอยู่ บรูชกวาดสายตาไล่มองแต่ละคนที่กำลังจ้องเขา แล้ววางตะเกียบในมือลงบ้าง "นี่นะ ข้าไม่มั่นใจนักหรอกว่าศิลากาฬถูกขโมยไปหรือไม่ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้ามั่นใจนัก" กล่าวเสร็จเขาค่อยๆโน้มหน้าเข้าหาวงสนทนา กดเสียงทุ้มให้ต่ำลงจนแทบเป็นเสียงกระซิบ "ศิลากาฬกลับมามีพลังอำนาจอีกครั้งแล้วนะสิ" เมื่อประโยคดังกล่าวจบลงชายฉกรรจ์เหล่านั้นต่างแสดงสีหน้าตกใจในทันที บางคนลอบกลืนน้ำลาย บางคนมือไม้อ่อนจนเผลอทำช้อนหลุดมือ บางคนถึงกับหาเส้นเสียงตนเองไม่พบ เพราะข่าวที่ว่าศิลากาฬถูกขโมยไปจากแดนสรวงโสมว่าแย่แล้ว แต่หากข่าวเรื่องศิลากาฬกลับมามีพลังอำนาจอีกครั้งเป็นเรื่องจริง นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่แย่กว่าสิ่งแรก แต่มันคือ 'หายนะ' ที่กำลังจะมาเยือนแคว้นไซโดเวีย "งั้นเรื่องเทวามารก็อาจจะเป็นเรื่องจริงนะสิ" ชายที่นั่งตรงข้ามบรูชหรี่นัยย์ตาเล็กลงโน้มหน้าเข้ามาใกล้คนในวงสนทนามากขึ้นกว่าเดิม แล้วกระซิบถามว่า "บุตรเทพแห่งจอมมารที่เล่าลือกันว่าถือกำเนิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อนมีจริงๆนะหรือ?" ซาเรย์หมุนตัวออกจากร้านอาหารหลังจากจ่ายเงินเสร็จ เขาได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับศิลากาฬตลอดการเดินทางกลับจากหุบยมกว่าครึ่งค่อนวัน ชาวบ้านทั่วทั้งแคว้นต่างหวั่นวิตกเมื่อศิลากาฬ หรือหินแห่งความตายที่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ แดนสรวงโสม ถูกเทวามารลงมืออย่างอุกอาจในยามวิกาลปลุกพลังและขโมยมันอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด แม้กระทั่งตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากทวยเทพ อย่างตระกูลคานวาเรส แต่เรื่องนั้นจะจริงเท็จประการใด ก็คงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ดีไปกว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวขโมย ครั้นจะตามหาเพื่อสอบถามความจริงให้กระจ่างก็มิอาจทำได้ เพราะทั่วทั้งแคว้นไซโดเวียหารู้ไม่ว่าผู้ใดกัน คือ เทวามาร! ซาเรย์ไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ รู้สึกเบื่อหน่ายกับคำกล่าวอ้างและเรื่องราวอันไร้แก่นสารที่ไม่มีแม้แต่หลักฐานใดชี้ชัด แต่ทว่าในเรื่องที่ได้ยินมาก็พอมีส่วนจริงอยู่บ้าง อย่างที่ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นกล่าว ศิลากาฬไม่ใช่สิ่งของที่ถูกวางทิ้งไว้ตามทางเดินเพื่อรอให้ผู้ใดพบเห็นแล้วฉวยโอกาสหยิบติดมือกลับบ้าน เพราะนอกจากมันจะถูกเก็บรักษาไว้ในห้องลับ มันยังถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาทั้งเวทมนตร์ คาถา อักขระวิชา และที่ขาดไม่ได้...ทวิรมนตรา มนตราอันเก่าแก่ของตระกูลคานวาเรส แน่นอนว่าสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดซาเรย์ไม่ได้ท่องจำจากในตำราเรียน หรือฟังข่าวลือไร้ความจริงผ่านสองหู แต่เป็นเพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้หลงผิดที่คิดขโมยศิลากาฬมาแล้วครั้งหนึ่ง และมันส่งผลกับชีวิตอันสุขสงบของเขาตลอดระยะเวลาหนึ่งปีเต็มที่ศึกษาอยู่แดนสรวงโสม ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีก่อน ซาเรย์ บุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลโทจินถูกส่งตัวไปยังแดนสรวงโสมเพื่อเข้ารับการเตรียมพร้อมขึ้นเป็นประมุขแห่งหัวเมืองใหญ่ซีซาน เช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆอีกหกสิบคน จากทั้งหมดสี่หัวเมืองใหญ่ และห้าสิบเจ็ดเมืองรองของแคว้นไซโดเวีย ในตอนนั้นซาเรย์มีอายุเพียง 13 ปี ถึงแม้จะไม่ใช่เด็กที่อายุน้อยที่สุดในรุ่น แต่เขากลับถูกมองว่าทำตัว ‘เด็ก’ จากผู้นำรุ่นที่อายุมากกว่าเขาเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เพื่อจะกอบกู้ศักดิ์ศรีและพิสูจน์ว่าตนไม่ใช่เด็กอย่างที่ถูกกล่าวหา เขาจึงหาทางเอาชนะผู้นำรุ่นอย่างคิเฮย์ คานวาเรส ด้วยการลอบเข้าไป ‘ขโมย’ ศิลากาฬ เพียงเพื่อหวังจะเอาชนะ แต่สุดท้ายแล้วนอกจากจะไม่ชนะ เขายังต้องถูกลงโทษทางวินัย พร้อมกับถูกผู้นำรุ่นอย่าง คิเฮย์ คานวาเรส จับตามองแทบจะตลอดเวลา เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ก็พาลให้ซาเรย์นึกถึงใบหน้านิ่งๆของคิเฮย์อย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้เจ้าตัวจะทำสีหน้าท่าทางยังไง เมื่อรู้ว่าศิลากาฬที่พยายามเฝ้ารักษาถูกขโมยหายไป แต่ไม่ว่าสีหน้านั้นจะออกมาเป็นแบบไหน มันก็น่าจะดูดีกว่าใบหน้าไร้สภาวะอารมณ์ที่เขามักเห็นอยู่เป็นประจำนั่นละนา ชั่วขณะที่ซาเรย์กำลังขำอยู่กับรูปแบบใบหน้าท่าทางต่างๆในจินตนาการ จู่ๆร่างสูงสง่าของใครคนหนึ่งก็ปรากฎขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่เดินขวักไขว่ไปมากลางถนน ซาเรย์หันหลังทันทีตามสัญชาตญาณ นึกไม่ถึงว่าคนที่เขากำลังจินตนาการจะมาปรากฎตัวขึ้นที่นี่ แต่เมื่อดึงสติกลับมาได้ เขาจึงค่อยๆหันใบหน้าเพียงเล็กน้อยมองข้ามหัวไหล่ตนเองไปยังร่างสูงอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาดหรือเห็นภาพหลอนซ้อนทับจากจินตนาการที่สร้างขึ้น แต่ทันทีที่ภาพของชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง อันงามสง่าฉายชัดในดวงตา ซาเรย์ก็ต้องสะดุ้งตกใจหันหน้ากลับทันที และแน่ใจแล้วว่าชายในจิตนาการเป็นคนเดียวกันกับคุณชายรองตระกูลคานวาเรสที่เขากำลังนึกถึง ซาเรย์นิ่งไปชั่วขณะ ยกมือขึ้นลูบคางมนอย่างใช้ความคิด ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากเหมือนเด็กเจอเรื่องสนุก ก็แน่ล่ะในเมื่อตัวจริงอยู่ตรงนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องจินตนาการสีหน้าท่าทางให้เสียเวลา เมื่อคิดได้ดังนั้นซาเรย์จึงก้มลงจัดระเบียบเสื้อผ้าตนเองให้เข้าที่เข้าทางเท่าที่พอจะดูได้ ก่อนจะเงยหน้ามองตามแผ่นหลังกว้างของร่างสูงที่เดินเลยผ่านไปได้ไม่ไกลนัก "คุณชายรองคานวาเรส!" เสียงตระโกนดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่กำลังเดินขวักไขว่เลือกซื้อของตามร้านค้ามากมายทั้งสองฟากฝั่งถนน เจ้าของชื่อชะงักเท้าเล็กน้อยยังไม่ทันได้หันหน้ากลับมามอง เจ้าของเสียงเรียกก็โผล่ใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มเข้ามาให้เห็น คิเฮย์ยังคงทำหน้านิ่งไม่ตอบกลับ หรือไม่ส่งยิ้มทักทายตามมารยาทที่ควรจะทำ เขาเพียงแค่หยุดมองชั่วขณะแล้วเบี่ยงตัวหลบเพื่อก้าวเดินต่อราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น การที่ได้เจอ ‘ซาเรย์ โทจิน’ สำหรับคิเฮย์แล้วก็เหมือนการได้เจอกับเรื่องยุ่งยากที่ไม่ควรจะยุ่งยากเพิ่มขึ้นเป็นอีกเท่าตัว ฉะนั้นตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเขาจึงเลือกที่จะมองดูความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอยู่ห่างๆ ซึ่งในตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะนักที่จะพบกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีข่าวเกี่ยวกับการหายไปของศิลากาฬ ซาเรย์เมื่อถูกเมินเขาก็ยังคงไม่รู้สึกอะไรมากไปกว่า ‘หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว’ ดังนั้นเขาจึงยังคงวิ่งตามร่างสูงไปอยู่ดีถึงแม้จะไม่ได้รับการตอบสนองกลับจากอีกฝ่ายก็ตาม "นี่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่" ซาเรย์สืบเท้าเดินขึ้นมาเทียบเคียงชายหนุ่มที่รูปร่างสูงกว่าเขา 4-5 นิ้ว "จะมาเมืองข้าทั้งทีไม่บอกข้าก่อนล่ะ ข้าจะได้เตรียมต้อนรับ" ยังคงไม่มีเสียงตอบรับใดจากบุรุษที่ยังคงก้าวเดินอย่างมาดมั่น นั่นไม่ได้สร้างความหงุดหงิดใจหรือรู้สึกว่าไร้ตัวตนสำหรับคนอย่างซาเรย์ เขายังคงพูดนั้น ถามนี่ ไปเรื่อย ซึ่งมันดูเหมือนว่าเขาจะเป็นฝ่ายถามเองตอบเองเสียมากกว่า แต่ก็นั่นแหละ ก็บอกแล้วไง หนักกว่านี้เขาก็เจอมาแล้ว "เจ้ากำลังจะไปที่..." คำถามยังไม่ทันจะจบประโยคดีนัก จู่ๆคิเฮย์ก็หยุดเดินแล้วหันหน้าหลุบนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนลง มองไปยังชายหนุ่มผมดำร่างเล็กเพียงชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองไปยังซุ้มโค้งประตูเบื้องหน้า ซาเรย์หยุดชะงักตามร่างสูง เขาลืมประโยคคำถามไปเสียสิ้น ก่อนจะค่อยๆหันหน้ามองตามสายตาคิเฮย์ขึ้นไป "สำนักเรียนโทจิน" ซาเรย์อ่านอักษรบนป้ายเบาๆ ก่อนจะมุ่นหัวคิ้วเข้าหากันพร้อมพึมพำกับตนเองว่า "นี่มันสำนักเรียนของตระกูลข้านี่" ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกทีคิเฮย์ก็เดินเลยผ่านเขาข้ามซุ้มประตูเข้าไปยังภายในแล้ว ‘สำนักเรียนโทจิน’ อยู่ในความดูแลของประมุขโอจุน โทจิน นักปราชญ์อาวุโสแห่งหัวเมืองใหญ่ซีซาน หนึ่งในผู้นำสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นไซโดเวีย เขาปกครองเมืองรองทั้งหมด 21 เมือง จัดการงานด้านการศึกษาทั้งหมดของแคว้น และยังถูกนับหน้าถือตาให้เป็นนักปราชญ์ที่เก่งที่สุดในยุคนี้ คิเฮย์เดินผ่านลานโล่งด้านหน้าที่เต็มไปด้วยต้นหญ้าอ่อน มันถูกตัดให้ราบเสมอเป็นหน้าตัดเดียวกันอยู่เป็นประจำ เขามุ่งหน้าไปยังตึกไม้หลังใหญ่สองชั้นที่ตั้งตระหง่านท่ามกลางตำหนักน้อยใหญ่หลายหลัง แต่เมื่อมาถึงตีนบันไดเขากลับหยุดเล็กน้อย เพื่อจะหมุนตัวเดินเลี้ยวซ้ายไปยังเส้นทางอีกทางที่พาอ้อมไปยังด้านหลังของตัวอาคาร เขาเดินผ่านต้นไม้ใหญ่หลากหลายชนิดที่แข่งกันแผ่กิ่งก้านเพื่อขยายอาณาบริเวณเบื้องล่างให้ร่มรื่น ใกล้กันนั้นยังมีสระบัวขนาดย่อมที่เป็นแหล่งกำเนิดบัวหลายสายพันธุ์ให้ได้ชม ซึ่งในยามเที่ยงเช่นนี้บรรดาลูกศิษย์ตระกูลโทจินต่างพากันออกมานั่งพักผ่อนหย่อนใจหลังจากที่ผ่านการเรียนในช่วงเช้ามาแล้ว ศิษย์รุ่นน้องหลายคนเห็นบุรุษร่างสูงในชุดคลุมสีครีมเข้มที่กำลังเดินผ่านมา พวกเขาต่างพากันรีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพผู้ที่เป็นทั้งศิษย์พี่และอาจารย์พวกเขาในทันที คิเฮย์พยักหน้าแผ่วเบาเป็นการตอบรับก่อนจะเดินต่อไปอย่างไม่เร่งรีบนัก เมื่อห่างจากลูกศิษย์เหล่านั้นได้พอประมาณ เขาจึงหยุดเดินก่อนจะหลับตาสูดกลิ่นอายของธรรมชาติเข้าให้เต็มปอด เรียกความสดชื่นและลบข้อหมองใจจากสมองไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เพียงสองสามนาทีให้หลังคิเฮย์ก็ต้องลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังก้าวเดินออกจากตำหนักที่ไม่ไกลจากจุดที่เขายืนอยู่นัก เมื่อมองไปยังหน้าระเบียงทางเดินของตำหนัก ปรากฎบุรุษหนุ่มร่างบางในชุดดำตัดขอบสีน้ำเงินเข้มที่กำลังชะโงกหน้าซ้ายทีขวาทีอย่างไม่สบอารมณ์ ปากอวบได้รูปบ่นงึมงำโดยไม่ได้สนใจเสียงของผู้เป็นพ่อที่ตะโกนถามไล่หลัง แต่เมื่อไม่เห็นผู้ที่ตนกำลังตามหาก็ได้แต่พ่นลมพองแก้มลดความหงุดหงิดที่กำลังก่อตัวขึ้น ไม่นานก็หันหลังสะบัดผมรวบยาวเดินกลับไปยังทางเดิมที่พึ่งจะผ่านเข้ามา คิเฮย์มองร่างนั้นจนกระทั่งลับตาไป ก่อนก้าวออกจากหลังต้นไม้ใหญ่เพื่อเลี้ยวไปยังเส้นทางที่นำไปสู่ตำหนักของประมุขโทจิน ความจริงแล้วเขาสามารถเดินทะลุอาคารหลังใหญ่ด้านหน้าเพื่อใช้ทางเดินเชื่อมไปยังตำหนักของประมุขโทจินเพียงแค่เสี้ยวนาทีเท่านั้น ซึ่งปกติแล้วเขาก็มักจะทำแบบนั้นอยู่เป็นประจำยามเมื่อมาที่นี่ แต่หนนี้ดันมี ‘เด็ก’ โผล่มา เขาจึงต้องเปลี่ยนเส้นทางเพื่อหลบความป่วนของเจ้าเด็กที่มักดื้อ และหัวแข็งอย่าง ซาเรย์ โทจิน ประตูหน้าห้องไม่ได้ถูกปิดไว้ แต่คิเฮย์ยังคงเคาะตามมารยาท เมื่อได้ยินเสียงขานรับ เขาจึงก้าวเท้าผ่านบานประตูก่อนจะโค้งคำนับผู้อาวุโสที่กำลังวุ่นอยู่กับกองเอกสารงานบนโต๊ะ "ประมุขโทจิน" คนถูกเรียกหยุดการกระทำที่อยู่ตรงหน้าทันที เบนนัยย์ตาภายใต้กรอบแว่นมองไปยังชายหนุ่มที่ค่อยๆยืดตัวขึ้นหลังจากโค้งคำนับเขา ก่อนจะระยายยิ้มบางเบาเมื่อรู้ว่า 'ใครบางคน' ที่ซาเรย์ถามถึงเมื่อครู่คงไม่พ้นคนตรงหน้า ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คิเฮย์จะปรากฎตัวขึ้นที่นี่ เพราะเจ้าตัวเข้าออกสำนักเรียนโทจินอยู่แล้วเป็นประจำในฐานะอาจารย์พิเศษ แต่กลับซาเรย์แล้วร้อยวันพันปีหากไม่ถูกบังคับไหนเลยจะโผล่หัวมาที่นี่ได้ นั่นจึงไม่แปลกที่ลูกชายของเขาจะเห็นเป็นเรื่องผิดปกติเมื่อบุรุษหนุ่มร่างสูงผู้นี้ปรากฎกายขึ้นที่นี่ "ไปยังไงมายังไงถึงได้เจอเจ้าตัวปัญหาเข้าให้" โอจุนเลิกคิ้วถาม ใช่ว่าเขาจะไม่รู้วีรกรรมอันโดดเด่น(?)ของลูกชาย โดยเฉพาะกับคิเฮย์ยามเมื่ออยู่แดนสรวงโสม บุรุษร่างสูงยังคงยืนนิ่ง ไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับไป นัยน์ตาคมฉายแววกังวลเล็กน้อย แต่เพียงชั่วครู่ก็ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่าของสีหน้าเรียบเฉยไร้คลื่นอารมณ์ โอจุนเปลี่ยนจากยิ้มบางเป็นหัวเราะน้อยๆ หากจะให้คาดเดาเขาเองก็ไม่รู้ว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้าควรจะกังวลเรื่องใดก่อนดี "เรื่องมนตรามังกรยังมิทันได้ความ ศิลากาฬก็มาหายเสียอีก ไม่รู้ว่าจะตามหาอะไรก่อนกัน" ผู้อาวุโสวางเอกสารในมือลง ผุดลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะทำงานมายังด้านหน้าที่มีโต๊ะอีกตัวสำหรับไว้รับรองแขกตั้งอยู่ ก่อนจะขยับเก้าอี้แล้วนั่งลงพลางเอ่ย "ข้าเองก็ได้ยินข่าวลือมาเช่นกัน แต่คงไม่จริงเสียทั้งหมด?" คิเฮย์ทิ้งตัวลงนั่งด้านตรงข้ามกับประมุขโทจิน เขายังคงไม่แสดงสีหน้าใดก่อนหันไปหยิบกาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะรินส่งให้ผู้อาวุโสกว่า แล้วจึงรินให้ตนเอง "ท่านลุงให้ข้ามาพบท่าน" โอจุนถอนหายใจบางเบา ยกน้ำชาขึ้นจิบอย่างไม่เร่งรีบนักก่อนเอ่ย "หากเป็นเรื่องตามหาเทวามาร ข้าเองก็จนปัญญา" คำว่า ‘จนปัญญา’ ดูจะไม่เกินจริงนัก ถึงแม้ว่าคนที่เอ่ยจะเป็นถึงนักปราญช์ผู้มากความรู้ก็ตามที เพราะการตามหาเทวามารตั้งแต่วันแรกของคำทำนายจวบจนวันนี้ก็กินเวลาไปกว่ายี่สิบปีแล้ว คิเฮย์ยังคงวางหน้านิ่ง ใช้มือเลื่อนถ้วยชาตนออกไว้ด้านข้าง แล้วล้วงมือหยิบบางสิ่งออกจากอกเสื้อวางลงบนโต๊ะตรงหน้า วินาทีที่เห็นกล่องไม้เก่าคร่ำคร่าขนาดเท่าฝ่ามือถูกวางลง โอจุนขยับนั่งตรงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าที่มีริ้วรอยอันเกิดจากอายุที่ล่วงเข้าสู่วัยชรากำลังแสดงความสงสัย ใช่ว่าตัวเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งใดที่อยู่ในกล่อง เพียงแค่ไม่แน่ใจว่าคิเฮย์จะนำมันติดตัวมาด้วย "กำปั่นนั่น..." โอจุนหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น เขารู้ดีว่ามันไม่ได้ถูกขโมยไปอย่างที่มีข่าวลือ เพราะถ้าหากมันถูกขโมยไปจริงมีหรือที่สภาหลวงจะยังคงนิ่งเงียบไม่ตามตัวผู้นำทั้งสี่ตระกูลใหญ่เข้าพบเป็นการด่วน "ศิลากาฬหลอมตัว ความกลัวหวนคืน อสุภกลับฟื้น คืนสู่พื้นพิภพ" จบคำกล่าวสลักกำปั่นหลุดออก สิ่งที่อยู่ภายในกล่องค่อยๆลอยขึ้นสู่สายตาของคนทั้งคู่ ก้อนสีดำวาวหมุนรอบตัวมันเองอย่างช้าๆพร้อมกับกลุ่มควันสีทองจางโอบล้อมรอบตัว โอจุนมองก้อนศิลากาฬที่มีรอยแตกร้าวหักแหว่งไม่สมประกอบนานหลายอึดใจ นึกถึงตำนานเรื่องเล่าที่ถูกถ่ายทอดจากปากต่อปากมาเป็นหลายร้อยปี ไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเขาเองจะได้เห็นมันกับตาตนเอง "ศิลากาฬกำลังกลับมามีอำนาจ... อีกครั้ง" เสียงทุ้มที่กล่าวกับชายชราฟังดูราบเรียบ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนสั่นไหวชั่วครู่ยามเมื่อเอ่ยถึงหินสีดำ ไม่มีเสียงใดเอ่ยตอบกลับมาจากชายชราผู้สวมแว่น มีเพียงใบหน้าและแววตาที่ฉายชัดบ่งบอกถึงความหนักใจอย่างปิดไม่มิด ก่อนจะส่ายหน้าเนิบช้าพลางถอนหายใจ นี่อาจจะเป็นอีกครั้งที่คนอย่างโอจุน โทจิน จะต้องยอมกล่าวคำว่า จนปัญญา ในระหว่างที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ไกลออกไปบนต้นไม้ใหญ่หลังตำหนัก ปรากฎร่างบุรุษหนุ่มนัยน์ตาสีนิลกำลังจับจ้องมองก้อนศิลาอย่างไม่วางตา พลันนั้นคัมภีร์ในมือกลับหายวับไปยามเมื่อเขาปิดหน้าคัมภีร์ลงด้วยมือเดียว ก่อนกระตุกยิ้มมุมปาก เอ่ยผ่านสายลมเมื่อมองไปยังใบหน้าเย็นชาตายด้านของบุรุษที่เขาพึ่งจะพบเมื่อไม่นานมานี้ "แล้วเจอกัน" ถ้าคิดว่าหนีคนอย่างซาเรย์ โทจินพ้น คิเฮย์ คานวาเรส คงต้องเรียนรู้เขาให้มากขึ้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD