บทที่ 3

1748 Words
การคัดเลือกคู่หมั้นรอบแรกดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและน่าเบื่อหน่ายราวกับไม่มีวันจบสิ้น ท่ามกลางเสียงบรรเลงพิณและร่ายกลอนของผู้เข้าร่วมคัดเลือกคนแล้วคนเล่า เซี่ยเหยียนอวี่ยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของศาลาพักรับรอง ใบหน้าขาวซีดของเขาดูเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่ภายใต้แขนเสื้อกว้างนั้น มือเรียวกำลังจิกเกร็งเข้ากับฝ่ามือตัวเองแน่นขึ้นเรื่อยๆ เพื่อระงับความเจ็บปวดที่กำลังกรีดแทงทรวงอก อาการวิญญาณไม่เสถียรกำเริบหนักกว่าที่คิด ทุกครั้งที่เขาหายใจเข้า มันเหมือนมีคมมีดนับพันเล่มกรีดลงบนปอด ความรู้สึกวิงเวียนทำให้ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวซ้อนทับกัน เหยียนอวี่รู้ดีว่าขืนปล่อยไว้เช่นนี้ เขาอาจจะวูบหมดสติไปกลางงาน และนั่นจะเป็นโอกาสทองให้ฉินลี่หรงสร้างข่าวลือว่าเขาสุขภาพอ่อนแอ ไม่คู่ควรแก่การเป็นคู่ครองขององค์ชาย เขาต้องเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส... สายตาคมกริบของเหยียนอวี่กวาดมองไปรอบๆ บริเวณที่พักของเหล่าขุนนาง จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ร่างโปร่งในชุดขุนนางฝ่ายแพทย์สีเทาอ่อน ซึ่งกำลังยืนแยกตัวออกมาอยู่ใต้ร่มไม้เงียบๆ ไป๋เหวินเจี๋ย หมอหลวงอัจฉริยะผู้มีนิสัยสันโดษและหยิ่งทระนง ในชาติก่อน ชายผู้นี้เป็นคนเดียวที่กล้าขัดคำสั่งเบื้องบนเพื่อแอบเอายามาให้เขาในคุก แต่ตอนนั้นเหยียนอวี่สิ้นหวังเกินกว่าจะรับไมตรี บัดนี้ เขาจะไม่ยอมปล่อยมือคู่นั้นไปอีก เหยียนอวี่สูดลมหายใจลึก รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น เขาทำทีเป็นเดินเลี่ยงออกมาจากกลุ่มผู้คัดเลือกเพื่อไปหาน้ำดื่ม แต่ทิศทางที่เขามุ่งไปนั้น ตัดผ่านเส้นทางที่ไป๋เหวินเจี๋ยยืนอยู่พอดี หนึ่งก้าว... สองก้าว... เมื่อระยะห่างเหลือเพียงไม่กี่ช่วงตัว เหยียนอวี่ก็แสร้งทำเป็นสะดุดชายเสื้อตัวเอง ร่างบางเซถลาไปข้างหน้าอย่างหมดท่า ทว่าในจังหวะที่เขากำลังจะล้มฟาดพื้น เขาก็ปล่อยให้จิตสำนึกวูบดับไปชั่วขณะจริงๆ ตามความต้องการของร่างกาย "ระวัง!" เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นพร้อมกับท่อนแขนแข็งแรงที่พุ่งเข้ามารับร่างของเขาไว้ได้ทันท่วงที กลิ่นสมุนไพรหอมเย็นๆ ลอยมาแตะจมูก เหยียนอวี่ลอบยิ้มในใจ... ปลาติดเบ็ดแล้ว "นายน้อยเซี่ย! ท่านเป็นอะไรไหม?" ไป๋เหวินเจี๋ยเอ่ยถามด้วยความตกใจ เขารีบประคองร่างที่เบาหวิวนั้นให้นั่งลงบนม้านั่งหินใกล้ๆ เหยียนอวี่ปรือตาขึ้นมอง ใบหน้าซีดเผือดจนไร้สีเลือด เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มกรอบหน้า "ข้า... ข้าหน้ามืด... ขออภัยที่เสียมารยาท ท่านหมอ..." "อย่าเพิ่งพูด" ไป๋เหวินเจี๋ยขมวดคิ้วมุ่น สัญชาตญาณแพทย์ทำให้เขารีบคว้าข้อมือของเหยียนอวี่ขึ้นมาจับชีพจรทันที ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสชีพจร สีหน้าของหมอหนุ่มก็เปลี่ยนไป จากความกังวลกลายเป็นความตื่นตะลึง... และความหวาดหวั่น ชีพจรของเหยียนอวี่นั้นแปลกประหลาดพิสดาร มันเต้นแผ่วเบาและรวดเร็วสลับกันอย่างไม่มีจังหวะจะโคน เหมือนกับคนใกล้ตาย แต่ในขณะเดียวกันก็มีพลังชีวิตที่รุนแรงอัดแน่นอยู่ภายใน ทว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ... ความว่างเปล่า มันเหมือนกับชีพจรของคนที่วิญญาณไม่ได้ยึดติดอยู่กับร่างกายอย่างสมบูรณ์ เหมือนมีรอยแยกที่มองไม่เห็นคั่นกลางระหว่างกายเนื้อและดวงจิต "นี่มัน..." ไป๋เหวินเจี๋ยพึมพำเสียงสั่น "เป็นไปไม่ได้... ชีพจรแบบนี้มัน..." "ชีพจรวิปลาส... หรือชีพจรคนตายที่ยังหายใจ... ท่านจะเรียกมันว่าอย่างไรดีล่ะ ท่านหมอไป๋?" เสียงกระซิบแผ่วเบาแต่ชัดเจนดังขึ้นข้างหู ไป๋เหวินเจี๋ยสะดุ้งเฮือก เงยหน้าขึ้นมองคนไข้ในอ้อมแขน เหยียนอวี่ไม่ได้ดูมึนงงหรืออ่อนแออีกต่อไป ดวงตาคู่สวยจ้องลึกเข้าไปในตาของเขาอย่างรู้ทัน แววตาคู่นั้นลึกล้ำและดำมืดราวกับผ่านความตายมาแล้วนับพันครั้ง "ท่าน... ท่านรู้?" ไป๋เหวินเจี๋ยถามเสียงเครียด เขารีบมองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครได้ยินบทสนทนานี้ "ข้าไม่เพียงแค่รู้..." เหยียนอวี่ขยับตัวเข้าไปใกล้ขึ้น จนริมฝีปากแทบชิดใบหูของหมอหนุ่ม "แต่ข้ายังรู้วิธีรักษา... และข้ารู้ด้วยว่าท่านกำลังตามหาสูตรยาโบราณเพื่อรักษาอาการป่วยประหลาดของมารดาท่านอยู่ ใช่หรือไม่?" ไป๋เหวินเจี๋ยตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความช็อก เรื่องมารดาของเขาเป็นความลับสุดยอดที่เขาไม่เคยบอกใคร แม้แต่คนในสำนักหมอหลวงก็ไม่มีใครรู้ แล้วนายน้อยตระกูลเซี่ยผู้นี้ ที่วันๆ เอาแต่อยู่ในห้องหอ รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? "ท่านเป็นใครกันแน่?" ไป๋เหวินเจี๋ยถามเสียงลอดไรฟัน "ข้าคือคนที่จะช่วยท่าน... หากท่านยอมช่วยข้า" เหยียนอวี่ตอบกลับ พลางผละตัวออกมาเล็กน้อย แล้วแสร้งทำท่าอ่อนแรงอีกครั้งเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นฉินลี่หรงที่กำลังเดินตรงมาทางนี้ "นายน้อยเซี่ย! เป็นลมไปหรือ?" ฉินลี่หรงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเสแสร้งว่าเป็นห่วง แต่สายตาจับจ้องไปที่เหยียนอวี่อย่างจับผิด "ร่างกายอ่อนแอเพียงนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะกับการปรนนิบัติองค์ชายกระมัง?" ไป๋เหวินเจี๋ยรับรู้สถานการณ์ได้ทันที เขาปรับสีหน้ากลับมาเคร่งขรึมและเย็นชาตามฉบับหมอหลวง ลุกขึ้นยืนบังร่างของเหยียนอวี่ไว้ "เรียนใต้เท้าฉิน นายน้อยเซี่ยเพียงแค่พักผ่อนน้อยและตื่นเต้นจนลมปราณตีกลับ ไม่ใช่อาการป่วยร้ายแรงแต่อย่างใด" ไป๋เหวินเจี๋ยโกหกหน้าตาย "ข้าฝังเข็มระบายลมปราณให้สักครู่ก็หายแล้ว... แต่จำเป็นต้องใช้สถานที่เงียบสงบ" ฉินลี่หรงหรี่ตามองหมอหนุ่มอย่างไม่ไว้ใจ "งั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้หมอประจำตัวข้ามาช่วยดูอีกแรง..." "ไม่จำเป็น!" เหยียนอวี่เอ่ยขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด แม้จะยังดูอ่อนเพลีย "ข้าไว้ใจท่านหมอไป๋... เขาเป็นคนเดียวที่จับชีพจรข้าถูกจุด ข้าไม่ต้องการให้หมอคนอื่นมายุ่งย่าม" ฉินลี่หรงชะงัก เขาไม่คาดคิดว่าเหยียนอวี่จะกล้าปฏิเสธความหวังดีจอมปลอมของเขาต่อหน้าธารกำนัล "ก็ตามใจ" ฉินลี่หรงยักไหล่ ยิ้มเย็น "ขอให้หายไวๆ ก็แล้วกัน นายน้อยเซี่ย... เวลาของเจ้าเหลือไม่มากแล้ว" ทิ้งท้ายด้วยคำขู่กลายๆ แล้วฉินลี่หรงก็เดินจากไป แต่เหยียนอวี่รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงส่งคนมาจับตาดูแน่ "พาข้าไปที่ห้องพักรับรองเดี๋ยวนี้" เหยียนอวี่กระซิบสั่งไป๋เหวินเจี๋ย "เรามีเรื่องต้องตกลงกัน" … … … ภายในห้องพักรับรองที่มิดชิด ไป๋เหวินเจี๋ยลงกลอนประตูแน่นหนา ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มรูปงามที่นั่งอยู่บนเตียง บัดนี้ อาการอ่อนแอเสแสร้งหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงนายน้อยเซี่ยที่มีใบหน้าเคร่งเครียดและจริงจัง "ชีพจรของท่าน..." ไป๋เหวินเจี๋ยเปิดประเด็นทันที "ในตำราแพทย์ร้อยปี ข้าเคยอ่านเจอเพียงครั้งเดียว... มันคือชีพจรของคนที่มีวิญญาณแตกสลาย หรือไม่ก็... คนที่ฝืนลิขิตฟ้า" "ท่านฉลาดสมคำร่ำลือ" เหยียนอวี่ยอมรับ เขาปลดกระดุมเสื้อตัวนอกออกเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยช้ำสีม่วงคล้ำเป็นจ้ำๆ ที่บริเวณหน้าอกข้างซ้าย ราวกับรอยร้าวของเครื่องเคลือบที่กำลังจะแตก "นี่คือราคาที่ข้าต้องจ่าย... เพื่อแลกกับการกลับมาแก้ไขความผิดพลาด" ไป๋เหวินเจี๋ยสูดหายใจลึก เขามองรอยแผลนั้นด้วยความเวทนาปนทึ่ง "ท่าน... ย้อนเวลากลับมา?" "ใช่" เหยียนอวี่สบตาเขาตรงๆ "และในอนาคตที่ข้าจากมา... ท่านคือสหายเพียงคนเดียวที่พยายามช่วยชีวิตข้าจนวาระสุดท้าย ดังนั้นในชาตินี้ ข้าจึงเลือกท่าน" เหยียนอวี่หยิบพู่กันและกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ เขียนสูตรยาสมุนไพรชุดหนึ่งลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วยื่นให้หมอหนุ่ม "นี่คือสูตรยา 'บัวหิมะพันปี' ที่สามารถรักษาโรคเกล็ดน้ำแข็งของมารดาท่านได้ ในชาติก่อน ท่านใช้เวลาอีกห้าปีถึงจะคิดค้นมันสำเร็จ แต่มันสายเกินไปสำหรับนาง... ข้ามอบให้ท่านตอนนี้ แลกกับคำสัตย์สาบาน" มือของไป๋เหวินเจี๋ยสั่นเทาขณะรับกระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความตื้นตัน สูตรยานี้ซับซ้อนและลึกซึ้งเกินกว่าที่ใครจะมั่วนิ่มขึ้นมาได้ มันคือความหวังเดียวของเขาจริงๆ "ท่านต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน?" ไป๋เหวินเจี๋ยถามเสียงเครือ "ข้าต้องการยาระงับอาการปวดนี้... ยาที่จะช่วยตรึงวิญญาณข้าให้อยู่กับร่าง" เหยียนอวี่กล่าว "และที่สำคัญที่สุด... ข้าต้องการให้ท่านเป็นตาเป็นหูให้ข้าในสำนักหมอหลวง คอยตรวจสอบยาพิษทุกชนิดที่ผ่านเข้ามาในวัง โดยเฉพาะยาที่มาจากตำหนักจินหลงของฉินลี่หรง" ไป๋เหวินเจี๋ยเงยหน้าขึ้น แววตาของเขาเปลี่ยนจากความลังเลเป็นความมุ่งมั่น เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ประสานมือคารวะเหยียนอวี่อย่างเต็มใจ "ชีวิตของมารดาข้า คือชีวิตของข้า... บุญคุณที่นายน้อยมอบให้ในวันนี้ ไป๋เหวินเจี๋ยจะจดจำไว้ชั่วชีวิต นับจากนี้ไป ไม่ว่านายน้อยจะชี้ไปทางทิศใด ข้าจะขอติดตามเป็นแขนขาให้ท่าน... แม้ต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งวังหลวงก็ตาม!" เหยียนอวี่ยิ้มบางๆ ยื่นมือไปประคองหมอหนุ่มให้ลุกขึ้น "ลุกขึ้นเถิด พี่ไป๋... เส้นทางที่เราจะเดินต่อไปนี้ มันจะเต็มไปด้วยขวากหนามและกลิ่นคาวเลือด ท่านต้องเตรียมใจไว้ให้ดี" "ข้าพร้อมแล้ว" ในขณะที่พันธสัญญาเงาถูกก่อร่างสร้างตัวขึ้นภายในห้องพัก... ด้านนอกหน้าต่าง อีกฟากหนึ่งของกำแพงวังฉินลี่หรงกำลังยืนมองมายังทิศทางนี้ด้วยสายตาเย็นชา "ส่งคนไปสืบมา" เขาสั่งลูกน้องคนสนิทเสียงเหี้ยม "ข้าอยากรู้ว่าไอ้หมอนั่นคุยอะไรกับเซี่ยเหยียนอวี่... ถ้ามันคิดจะแว้งกัดข้า ข้าจะให้มันได้ลิ้มรสยาพิษสูตรใหม่ของข้าเป็นคนแรก!"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD