กลิ่นสมุนไพรขมหอมฉุนลอยอวลอยู่ในห้องพักรับรองที่เงียบสงบ ไป๋เหวินเจี๋ยบรรจงฝังเข็มเงินเล่มสุดท้ายลงบนจุดชีพจรบริเวณข้อมือของเซี่ยเหยียนอวี่ด้วยความระมัดระวัง เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายขึ้นตามไรผมของหมอหนุ่ม แม้จะเป็นเพียงการฝังเข็มเพื่อระงับอาการชั่วคราว แต่ชีพจรที่แปรปรวนดุจพายุคลั่งของคนตรงหน้าก็ทำให้เขาต้องใช้สมาธิมากกว่าปกติหลายเท่า
"อึก..."
เหยียนอวี่กัดฟันแน่นเมื่อความรู้สึกร้อนวูบแล่นปราดไปทั่วร่าง ความเจ็บปวดที่หน้าอกค่อยๆ ทุเลาลง แทนที่ด้วยความรู้สึกชาหนึบที่แผ่ซ่านไปถึงปลายนิ้ว
"ยาเทียบนี้จะช่วยพยุงอาการของท่านได้ราวสามชั่วยาม" ไป๋เหวินเจี๋ยกล่าวพลางดึงเข็มออกแล้วเก็บลงกล่องเครื่องมือ "แต่ท่านต้องระวัง อย่าใช้ความคิดมากเกินไป หรือปล่อยให้อารมณ์รุนแรงเข้าครอบงำ... วิญญาณของท่านเปราะบางมาก หากกระทบกระเทือนอีก ข้าเกรงว่า..."
"ข้าเข้าใจแล้ว" เหยียนอวี่ตัดบท น้ำเสียงของเขาเริ่มกลับมามั่นคง "ขอบใจท่านมาก พี่ไป๋"
เขาลุกขึ้นยืน จัดเสื้อผ้าอาภรณ์สีขาวให้เรียบร้อย แม้ใบหน้าจะยังซีดเซียวอยู่บ้าง แต่แววตาที่เคยอ่อนล้ากลับมาแข็งกร้าวทรงพลังดังเดิม
"งานคัดเลือกคงใกล้จะจบแล้ว ข้าควรจะกลับจวนเสียที ขืนอยู่นานกว่านี้อาจเป็นที่สงสัย"
"ให้ข้าไปส่งไหม?" ไป๋เหวินเจี๋ยถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่ต้อง" เหยียนอวี่ส่ายหน้า "ท่านเพิ่งจะช่วยข้าไว้ หากเราตัวติดกันมากเกินไป ฉินลี่หรงจะยิ่งจับตามองท่าน ท่านควรกลับไปรวมกลุ่มกับหมอหลวงคนอื่นๆ ทำตัวให้เป็นปกติที่สุด"
หมอหนุ่มพยักหน้าจำยอม "เช่นนั้น... รักษาตัวด้วย นายน้อย"
เหยียนอวี่เดินออกจากห้องพักรับรองเพียงลำพัง แสงแดดยามบ่ายคล้อยสาดส่องผ่านกิ่งไม้เป็นลวดลายบนพื้นหิน เขาเลือกใช้เส้นทางลัดผ่านสวนหินด้านหลังตำหนักเพื่อหลีกเลี่ยงผู้คน มุ่งหน้าไปยังประตูวังฝั่งตะวันตกที่รถม้าของตระกูลเซี่ยจอดรออยู่
สวนแห่งนี้เงียบสงบและร่มรื่น มีเพียงเสียงนกร้องและเสียงน้ำไหลจากธารจำลอง ในชาติก่อนนี่คือสถานที่ที่เขาชอบมาเดินเล่นเพื่อดักรอพบองค์ชายจวิ้นอี่ ความทรงจำอันหวานชื่นในวันวานผุดขึ้นมาซ้อนทับกับภาพปัจจุบัน
“เหยียนอวี่ ดูสิ ดอกเหมยบานแล้ว... งดงามเหมือนเจ้าเลย”
เสียงกระซิบแผ่วเบาในความทรงจำทำให้เหยียนอวี่ต้องสะบัดศีรษะไล่ความคิด เขาเกลียดตัวเองที่ยังจดจำถ้อยคำลวงโลกเหล่านั้นได้แม่นยำ
"หยุดเพ้อเจ้อเสียที" เขาพึมพำด่าตัวเอง "ทางเดินเส้นนี้ไม่มีเขาอีกแล้ว และต่อให้มี... เขาก็ไม่ใช่คนเดิมที่เจ้ารู้จัก"
ทว่า... ราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง
เมื่อเหยียนอวี่เลี้ยวพ้นมุมกำแพงหิน ร่างสูงสง่าในชุดลำลองสีน้ำเงินเข้มปักลายมังกรเงินก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ยืนขวางทางเดินแคบๆ นั้นอยู่ราวกับกำลังรอคอยใครบางคน
องค์ชายจวิ้นอี่
เหยียนอวี่ชะงักฝีเท้า ลมหายใจสะดุดเฮือก หัวใจที่เพิ่งจะสงบลงกลับมาเต้นรัวแรงด้วยความตื่นตระหนกและความเจ็บปวด
จวิ้นอี่ยืนหันหลังให้เขา กำลังทอดสายตามองดูกอไผ่ที่พลิ้วไหว แต่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า องค์ชายหนุ่มก็ค่อยๆ หันกลับมา
วินาทีนั้น สายลมพัดวูบหนึ่งพาเอากลิ่นหอมเย็นๆ ของดอกเหมยและกลิ่นกายเฉพาะตัวของชายตรงหน้ามาแตะจมูกเหยียนอวี่ กลิ่นที่เคยทำให้เขารู้สึกอบอุ่นปลอดภัย บัดนี้กลับทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ออก
"บังเอิญจริง..." จวิ้นอี่เอ่ยทัก น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงแววประหลาดใจ "ข้าคิดว่าเจ้ากลับไปแล้วเสียอีก นายน้อยเซี่ย"
เหยียนอวี่ตั้งสติ รีบก้มหน้าประสานมือคำนับ "ถวายบังคมฝ่าบาท กระหม่อมเพียงแต่รู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงแวะพักสักครู่ ตอนนี้กำลังจะกลับแล้วพะย่ะค่ะ"
เขาพยายามจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่จวิ้นอี่กลับขยับตัวมาขวางไว้
"เดี๋ยวก่อน"
เหยียนอวี่หยุดกึก ไม่กล้าเงยหน้าสบตา "ฝ่าบาทมีพระประสงค์สิ่งใด?"
จวิ้นอี่ไม่ได้ตอบในทันที เขาเดินเข้ามาใกล้เหยียนอวี่ทีละก้าว จนระยะห่างเหลือเพียงหนึ่งช่วงแขน เหยียนอวี่เผลอก้าวถอยหลังโดยสัญชาตญาณ แต่แผ่นหลังกลับชนเข้ากับผนังหินเย็นเฉียบเสียแล้ว
ไร้ทางหนี...
"เงยหน้าขึ้น" จวิ้นอี่สั่ง
เหยียนอวี่เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นตามรับสั่ง เขาปรับสีหน้าให้เรียบเฉยและเย็นชาที่สุดเท่าที่จะทำได้ สร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นมาปกป้องหัวใจ
ดวงตาคมกริบของจวิ้นอี่จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเขา ราวกับกำลังพยายามค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ข้างใน คิ้วเข้มขององค์ชายขมวดมุ่น แววตาฉายความสับสนว้าวุ่นใจ
"เจ้า..." จวิ้นอี่เอ่ยเสียงเบา ราวกับคนละเมอ "เรา... เคยพบกันมาก่อนหรือไม่?"
คำถามนี้เปรียบเสมือนคมมีดที่กรีดลงกลางใจเหยียนอวี่
เคยพบสิ... เราเคยรักกัน เคยแต่งงานกัน เคยนอนเคียงหมอนกัน และท่าน... ก็เคยฆ่าข้า
แต่สิ่งที่เขาตอบออกไปกลับเป็นน้ำเสียงที่ไร้เยื่อใย "กระหม่อมเป็นเพียงบุตรขุนนางต่ำต้อย เติบโตแต่ในจวน มิเคยเข้าวังหลวงมาก่อน จะเคยพบพระพักตร์ฝ่าบาทได้อย่างไร? พระองค์คงจำคนผิดแล้ว"
"จำคนผิดงั้นหรือ?" จวิ้นอี่พึมพำ เขายกมือขึ้นนวดขมับที่เริ่มปวดตุบๆ อย่างไร้สาเหตุ "แปลกนัก... ทันทีที่ข้าเห็นเจ้าในงาน ข้ากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เหมือนข้ารู้จักเจ้ามานานแสนนาน... นานจนเจ็บปวด"
เหยียนอวี่กำมือแน่นในแขนเสื้อ เล็บจิกเข้าเนื้อจนเลือดซิบ
อย่าพูด... อย่าพูดคำหวานพวกนั้นออกมาอีก
"อาจเป็นเพราะกระหม่อมหน้าโหลกระมัง" เหยียนอวี่ตอบตัดบท "หากไม่มีรับสั่งอื่น กระหม่อมขอทูลลา"
เขาทำท่าจะเบี่ยงตัวหนี แต่จวิ้นอี่กลับคว้าข้อมือเขาไว้
หมับ!
สัมผัสจากฝ่ามือใหญ่นั้นร้อนผ่าราวกับถ่านไฟ ทันทีที่ผิวเนื้อสัมผัสกัน กระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปทั่วร่างของทั้งคู่
เปรี้ยง!
ภาพนิมิตบางอย่างวาบเข้ามาในหัวของจวิ้นอี่อย่างรุนแรง จนเขาต้องสะดุ้งเฮือก
ภาพของมือคู่หนึ่งที่เปื้อนเลือด... มือของเขาเองที่กำลังกำด้ามดาบ และเบื้องหน้าคือชายหนุ่มชุดขาวที่ล้มลง... ดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขาด้วยความตัดพ้อและสิ้นหวัง
"อึก!"
จวิ้นอี่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วศีรษะ เขาเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มือเผลอปล่อยข้อมือของเหยียนอวี่
เหยียนอวี่เองก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกอย่างรุนแรงเช่นกัน อาการวิญญาณไม่เสถียรกำเริบขึ้นเมื่อสัมผัสตัวคนที่มีพันธกรรมต่อกัน เขาหน้าซีดเผือด รีบยกมือกุมอก
"ฝ่าบาท!" เสียงองครักษ์ดังมาจากไกลๆ
เหยียนอวี่รู้ว่านี่คือโอกาสเดียวที่จะหนี เขาไม่รอช้า รีบอาศัยจังหวะที่จวิ้นอี่ยังมึนงง หันหลังวิ่งหนีออกจากสวนหินไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามอง
"เดี๋ยว... กลับมา..."
จวิ้นอี่ยื่นมือออกไปไขว่คว้าอากาศ เขาพยายามจะเรียก แต่เสียงกลับติดอยู่ในลำคอ ความปวดร้าวในหัวค่อยๆ จางหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าและความสงสัยที่ท่วมท้น
เขาหงายฝ่ามือขึ้นดู สัมผัสเย็นเยียบจากผิวกายของชายหนุ่มคนนั้นยังคงติดตรึงอยู่ที่ปลายนิ้ว และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกเหมยที่ลอยค้างอยู่ในอากาศ มันช่างเหมือนกับกลิ่นในความฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนเขามาตลอดหลายปี
ฝันร้ายที่เขาฆ่าคนรักด้วยมือตัวเอง...
"เซี่ย... เหยียน... อวี่..."
จวิ้นอี่ทวนชื่อนั้นช้าๆ แววตาที่เคยสับสนแปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นอันน่าเกรงขาม
"เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก... ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าเป็นใคร และทำไมข้าถึงรู้สึกเช่นนี้กับเจ้า"
….
…
..
.
อีกด้านหนึ่งของกำแพงวัง บนหอสังเกตการณ์สูง
ฉินลี่หรงยืนกอดอกมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านหน้าต่างบานเล็ก รอยยิ้มมุมปากของเขาบิดเบี้ยวด้วยความริษยาและอำมหิต
"น่าสนใจ... น่าสนใจจริงๆ" เขาแค่นเสียงหัวเราะ "ท่านอ๋องผู้เย็นชา กลับดูร้อนรนเพียงเพราะแค่ได้สัมผัสตัวนายน้อยตระกูลเซี่ย... ดูท่า สวรรค์จะเหวี่ยงพวกเจ้ามาเจอกันอีกแล้วสินะ"
เขาหันไปสั่งลูกน้องคนสนิทที่ยืนอยู่ด้านหลัง "ไปสืบประวัติของเซี่ยเหยียนอวี่มาให้ละเอียด ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน ข้าอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน... และเตรียมปล่อยข่าวลือชุดที่สองได้เลย"
"ข่าวลือเรื่องอะไรขอรับ?"
ฉินลี่หรงหรี่ตาลง แสงอำมหิตวาบผ่านดวงตา
"ลือไปว่า... เซี่ยเหยียนอวี่มีดวงกินผัว ใครที่เข้าใกล้จะต้องมีอันเป็นไป... ข้าอยากรู้ว่า ถ้าราชสำนักเชื่อว่ามันเป็นตัวกาลกิณี ท่านอ๋องผู้ปรีชาจะยังกล้ายุ่งกับมันอีกหรือไม่!"