ตอนที่ 2

3082 Words
วันที่เก้า เดือนเก้า เป็นวันดีเหมาะแก่งานมงคล แต่งงาน รับหมั้น ตั้งชื่อ ทำพิธีเซ่นไหว้ อธิฐานขอพรต่างๆ และเป็นฤกษ์งามยามดีเหมาะแก่การประกอบพิธีแต่งงานของสกุลหวังและสกุลเว่ย ณ เรือนสกุลหวังทั่วทั้งเรือนเต็มไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่น ผู้คนต่างมาร่วมแสดงความยินดีกับนายท่านหวังกันถ้วนหน้า ภายในห้องเต็มไปด้วยอักษรมงคลสีแดงตัวใหญ่ มีโฉมสะคราญนางหนึ่งอยู่ในนั้น ซึ่งหากเป็นหญิงสาวคนอื่นก็คงจะกำลังสงบเสงี่ยมเรียบร้อยแสดงกิริยาอ่อนช้อยงดงาม เชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดามารดาปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีของภรรยาที่ดี  รู้จักหลักการครองเรือน แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสตรีนางนี้อย่างแน่นอน “แอ่นอีกนิด อ้าอีกหน่อย...อืมม์อ่าห์” หวังเยว่ซินกำลังแสดงท่าทางประกอบลีลาการเคลื่อนไหวบนเตียงตามตำราเข้าห้องหอของหอจันทร์คะนึง โดยมีเสี่ยวผิงนั่งดูอยู่ข้างๆ สาวใช้ข้างกายเหงื่อผุดเต็มใบหน้า หางตากระตุกเมื่อมองดูเจ้าสาวที่สวมชุดแดงทำท่าทางกิริยา แปลกประหลาดอยู่บนเตียง  “คุณหนู...ท่านทำอะไรอยู่เจ้าค่ะ ไยทำท่าทางแปลกประหลาดยิ่งนัก” เสี่ยวผิงเอ่ยถามขึ้นอย่างกังวล  “ข้ากำลังฝึกเคล็ดลับวิชาหอจันทร์คะนึง หนึ่งในกระบวนท่าเผด็จศึกตรงขอบเตียง” หญิงสาวพูดพลางแสดง ท่าทางประกอบ “มาเสี่ยวผิง...ข้าจะสาธิตให้เจ้าดูแล้วทำตามข้านะ” ยังไม่ทันที่เสี่ยวผิงจะตอบรับ นางรีบดึงแขนสาวใช้ให้มานั่งบนลงบนเตียง จากนั้นกระผลักร่างเสี่ยวผิงนอนราบกับพื้นห้อง ร่างบอบบางของหวังเยว่ซินรีบขึ้นคร่อมตัวสาวใช้ในทันที “กระบวนท่านี้เรียกว่ามังกรพิโรธต้องทำท่าดุดันแบบนี้ เข้าใจหรือไม่?” นางทำหน้าตาจริงจังราวกับว่าตัวเองเป็นมังกรที่พร้อมจะขย้ำหญิงสาวเพียงกรงเล็บเดียวก็ไม่ปาน เสี่ยวผิงหน้าแดงเถือกเมื่อคิดภาพตามที่หญิงสาวได้อธิบาย...ชวนให้นางคิดลึกนัก “คุณหนู เหตุใดท่านต้องพยายามถึงเพียงนี้ด้วยเจ้าค่ะ” “เพราะข้ามิอาจพ่ายต่อศึกครั้งนี้ได้ไงเล่า” เยว่ซินพูดอย่างภาคภูมิใจกับเคล็ดวิชาที่นางพยายามฝึกฝนมาตลอดหลายวัน  ยิ่งแสดงท่าทางมากเท่าไหร่แก้มนวลเปล่งปลั่งก็ยิ่งแดงซ่านราวกับทาชาดแดงมาเกินงาม ใบหน้างดงามเรียกได้ว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ร่างแน่งน้อยอรชรอ้อนแอ้นที่มีส่วนเว้าส่วนโค้ง จนสตรีนางอื่นมองยังอิจฉาอยู่หลายส่วน ด้วยจุดเด่นเหล่านี้ยิ่งส่งเสริมให้ความงามของนางเลื่องลือไปทั่วในเมืองและนอกเมือง เสียแต่ว่าชื่อเสียงอันฉาวโฉ่และความไม่เป็นกุลสตรีของนางทำให้ไม่มีบุรุษใดกล้าเข้าใกล้นางก็เท่านั้นเอง ใบหน้าขาวเนียนเริ่มแดงระเรื่อขึ้น เมื่อภาพที่ปรากฏขึ้นในสมองนั้นเป็นภาพของชายหญิงคู่หนึ่งกำลังร่วมเรียง เคียงหมอนกัน เมื่อถึงห้องหอต่างฝ่ายต่างถอดชุดให้กันและกัน ฝ่ายหญิงอยู่บนฝ่ายชายอยู่ล่าง อ้อมแขนที่เต็มไปด้วย กล้ามอันแข็งแกร่งโอบกอดรัดร่างฝ่ายหญิงอย่างช้าๆ พร้อมขยับตัวไปตามบทเพลงแห่งรักอันหวานซึ้งจนถึงแรงเฮือกสุดท้ายที่พวกเขามี พอคิดถึงว่าคืนนี้จะเป็นคืนแรกของนาง ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกลำพองใจยิ่งนัก ผ่านไปสองชั่วยาม...ภายในห้องโถงใหญ่ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศมงคลของจวนสกุลเว่ย บนแท่นประกอบพิธีมีเพียงร่างบอบบางของหญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่เพียงลำพังไร้วี่แววของเจ้าบ่าวมาร่วมพิธี หวังเยว่ซินมีผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวปกคลุมอยู่บนศีรษะ จึงไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์รอบบริเวณงานได้ เพียงได้ยินผู้คนต่างกระซิบกระซาบ แขกในงานต่างกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันว่าไฉนเลยป่านนี้เจ้าบ่าวยังไม่มาปรากฏตัว แต่ด้วยนางมีพลังปราณเซียนอยู่ในตัว จึงทำให้เยว่ซินได้ยินผู้คนในงานซุบซิบนินทาได้อย่างง่ายดาย บางคนก็ว่าเจ้าบ่าวเกิดอุบัติเหตุกะทันหัน บางคนก็ว่าเจ้าบ่าวหนีตามหญิงอื่นไป หลายคนก็ว่าเจ้าบ่าวหนีงานแต่งเพราะไม่กล้าแต่งให้กับนาง คิ้วเรียวงามเริ่มขมวดเข้าหากันแน่น เมื่อได้ยินคำนินทาว่าร้ายที่มีนางเป็นหัวข้อในการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนภายในงานอย่างสนุกปาก “น่าสงสารนางจริงๆ...ถูกเจ้าบ่าวทอดทิ้ง” ชายหัวล้านพูดขึ้น “ข้าได้ยินมาว่า...ตอนแรกเจ้าบ่าวโดนบิดาบังคับให้แต่งงานกับนาง” สตรีวัยกลางคนชุดแดงกล่าวสมทบ “แม้ว่านางจะเป็นโฉมสะคราญ แต่ก็หาได้มีความเป็นกุลสตรีไม่ ชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ของนางทำให้ไม่มีผู้ใดกล้ามาสู่ขอ” “ชู่ว์! เจ้าอย่าได้พูดเสียงดังไปเดี๋ยวนางก็ได้ยินเข้าหรอก” บัณฑิตชุดขาวกล่าวเตือน “เจ้าบ่าวหนีงานแต่งแบบนี้เท่ากับจงใจหักหน้าเจ้าสาว ข้าว่าต่อจากไปนี้คงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะมาสู่ขอนางอีกเป็นแน่” ชายหัวล้านพูดเสริมขึ้น เสียงกระซิบกระซาบพร้อมกับสายตาทุกคู่ต่างจ้องมามาที่นาง ล้วนแต่เหมือนมีดแหลมคมที่คอยทิ่มแทงเข้าไปในกลางใจหญิงสาวทั้งสิ้น นางหลุบตาลง ใบหน้าเริ่มซีดขาว ริมฝีปากเม้มสนิท มือทั้งสองข้างกำแน่นจนสั่นระริก ชายผู้นั้น...เหตุใดถึงกล้าทำให้นางอับอายถึงเพียงนี้ ในเมื่อเขาไม่เต็มใจจะแต่งให้กับนางแล้วไยให้แม่สื่อมาสู่ขอนางเล่า หรือเพราะชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ของนาง เขาจึงรังเกียจไม่กล้าลดตัวมาแต่งกับนาง หญิงสาวได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจยากที่จะหาคำตอบได้ ครู่ต่อมานางก็ได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า... “เจ้ามาบ่าวมาแล้ว...โปรดหลีกทางด้วยพ่อแม่พี่น้อง” ทหารหนุ่มนายหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับมือที่ถือกล่องไม้เรียบเล็กใบหนึ่ง ข้างในบรรจุแหวนหยกเขียวคล้ายมรกตวงหนึ่งอยู่ภายใน “อ่า!  นี่มันอะไรกัน” “เหตุใดเป็นแหวนไปได้แล้วมือปราบเว่ยหายไปไหน” “คงไม่ใช่ให้แหวนวงนี้จะมาเข้าพิธีแทนเจ้าบ่าวกระมัง” “จะเป็นไปได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ท่ามกลางความตื่นตระหนกตกใจของผู้คนที่มาร่วมงาน ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ว่าเหตุใดมือปราบเว่ยไม่มาร่วมงานแต่งของตน แต่กลับส่งแหวนหยกมาเข้าร่วมพิธีแทน ในขณะนั้นนายทหารหนุ่มผู้ที่ถือกล่องไม้ก็ประกาศเสียงดังก้องกลางห้องโถงใหญ่ “เรียนแขกผู้มีเกียรติทุกท่านโปรดฟังทางนี้ เนื่องจากเจ้าบ่าวตกม้ากะทันหันขณะที่ปฏิบัติภารกิจลับนอกเมือง จึงทำให้ขาทั้งสองข้างของมือปราบเว่ยได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถลุกจากเตียงได้  ดังนั้นเจ้าบ่าวจึงได้ให้ข้านำแหวนวงนี้มาเป็นตัวแทนเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินไปพลางก่อน” แหวนหยก! อย่างนั้นรึ? หวังเยว่ซินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง นางจะกราบไหว้ฟ้าดินเพียงคนเดียวโดยที่ไร้วี่แววเจ้าบ่าวเยี่ยงนั้นหรือ แหวนวงเดียวสามารถเป็นตัวแทนเจ้าบ่าวได้จริงหรือ โลกมนุษย์นี่ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก หากคนผู้นั้นมิเต็มใจที่จะแต่งให้กับนาง ไยต้องทำเรื่องขายหน้าแบบนี้ นางผิดอันใด เหตุใดเขาถึงกระทำการหยามเกียรติข้าถึงเพียงนี้ สายตาทุกคู่ต่างมองมาที่หวังเยว่ซินอย่างเห็นใจ ต่างก็ซุบซิบนินทาว่าเหตุใดเจ้าบ่าวถึงกระทำการหักหน้านางถึงเพียงนี้ บางคนก็สมน้ำหน้านางที่เป็นตัวกาลกิณีทำให้ไม่มีบุรุษผู้ใดอยากข้องแวะ ราวกับเข็มพิษนับหมื่นนับพันเล่มทิ่มแทงลงมาที่กลางใจ ใบหน้าของหวังหลวนซานแข็งกระด้างเจ็บปวดจนไม่อาจทนดูเหตุการณ์ครั้งนี้ต่อไปได้ พลันตบโต๊ะเสียงดังปัง! “เรื่องงานแต่งวันนี้...เป็นอันยกเลิก!” หวังเยว่ซินไม่ใช่สตรีผู้อ่อนแอที่จะไม่สามารถทนต่อคำซุบซิบนินทาของผู้คนได้ แต่ในทางตรงกันข้ามนางกลับสงบนิ่งเยือกเย็น ไม่แสดงอารมณือ่อนไหวต่อหน้าแขกเหรื่อ หรือผู้คนที่มองมายังนางด้วยสายตายสมเพชเวทนา “ลูกพ่อ พ่อขอรับผิดต่อเจ้าที่ทำให้เจ้าขายหน้าในวันนี้” หวังหลวนซานพูดพลางเช็ดน้ำตาอย่างสะเทือนใจ “ท่านพ่อ อย่าได้ถือโทษตัวเองเลย หากลูกมีวาสนายังต้องได้พานพบ หากสิ้นไร้วาสนาแม้อยู่ใกล้ก็มิอาจครองคู่” นางเอ่ยปลอบบิดาอย่างอ่อนใจ พร้อมกับรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หวังเยว่ซินยืดอกอย่างทะนงตน ดวงตาเยือกเย็นดุจน้ำแข็งจ้องมองผู้คนในงาน นางยกจอกชาชูขึ้นและโยนลงไปที่พื้นอย่างสุดแรง พร้อมกับประกาศเสียงกร้าวต่อหน้าผู้คนที่มาร่วมงาน “จากนี้ไป ข้าหวังเยว่ซินกับเว่ยเฟยหลิงก็เหมือนกับจอกใบนี้ที่แตกละเอียด ไม่สามารถที่จะต่อกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก!” พอหญิงสาวพูดจบก็ประครองผู้เป็นบิดาเดินออกไปจากสถานที่วุ่นวายแห่งนี้ในทันที กิ่งไผ่สะบัดพริ้มตามสายลม  ดอกท้อเรียงรายเต็มต้นริมฝั่งแม่น้ำ หมู่ภมรบินว่อนชมเชยกลิ่นผกา เหล่าสกุณาต่างบินว่อนเฝ้าหมู่ภมร ริมฝั่งแม่น้ำนอกเมืองหลวง มีกระท่อมหลังเล็กหลังหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวริมฝั่งแม่น้ำ ภายในมีชายหนุ่มสองคนกำลังร่ำสุราดอกท้อบนโต๊ะไม้ไผ่อย่างเบิกบานสำราญกาย  “พี่เว่ยเมื่อไหร่ท่านจะกลับจวนเสียที นี่ก็หลายเดือนแล้วที่ท่านหนีงานแต่งมาอยู่ที่นี่” ลูกน้องคนสนิทเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล ใบหน้าสง่างามเรียบนิ่งมองเหม่อไปยังริมแม่น้ำอย่างใจลอย ทำให้เขาหวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ชายหนุ่มรู้สึกละอายใจต่อการกระทำของตนนัก แต่ในเมื่อตัวเขาไม่ได้มีใจคิดอยากจะแต่งงานมีครอบครัว ก็ยิ่งไม่ควรทำเรื่องตลกทำลายชีวิตผู้อื่นเช่นนั้น หากบิดาไม่บังคับเขาให้แต่งงานเรื่องน่าปวดหัวเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น “จะโทษว่าท่านผิดก็ไม่ได้ หากเป็นข้าที่ต้องแต่งกับสตรีที่มีท่าทางเยี่ยงบุรุษ วันๆ มีแต่ทำเรื่องฉาวโฉ่ นิสัยหยาบกระด้างหาความเป็นกุลสตรีก็ไม่มี เป็นข้าก็คงปฏิเสธนางเช่นเดียวกัน" ฝู่หลิ่งอี้ลูกน้องคนสนิทของเว่ยเฟยหลิงกล่าวขึ้น เว่ยเฟยหลิงถามขึ้น “เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ?” “หรือท่านชอบสตรีที่ไม่ประพฤติตัวในกรอบเช่นนาง” ฝู่หลิงอี้ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยหน่ายใจกับสตรีน่ารังเกียจผู้นั้น “ข้ามิได้รังเกียจนาง หากเพียงแต่ข้ายังไม่พร้อมที่จะมีครอบครัว” .เขาตอบด้วยความสัตย์จริง การแต่งงานนั้นเกี่ยวข้องกับความสุขชั่วชีวิตของมนุษย์ หากเขาและนางไม่ได้มีวาสนาต่อกัน มิสู้ปล่อยให้นางแต่งงานไปกับคนที่นางรักไม่ดีกว่าหรือ เว่ยเฟยหลิงได้แต่คิดอยู่ในใจ “หลังจากที่ท่านหายตัวไป ท่านรู้หรือไม่ว่าเมืองหลวงมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นมากมายเพียงใด ทำให้ข้าปวดหัวยิ่ง นัก” ฝู่หลิงอี้บ่นพึมพำ ด้วยเพราะผู้เป็นนายละทิ้งหน้าที่ ปล่อยให้เขาต้องจัดการสะสางปัญหาต่างๆ ภายในเมืองหลวงตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เว่ยเฟยหลิงมองลูกน้องคู่กายตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสนใจ “มีเรื่องอันใดรึ?” “เวลานี้มีโจรนิรนามผู้หนึ่งช่างเหิมเกริมยิ่งนัก เที่ยวทำลายชื่อเสียงสตรีทั่วเมืองหลวงยังไม่พอ ล่าสุด โจรชั่วผู้นี้ บุกเข้าเด็ดบุปผาหญิงคณิกาแห่งหอจันทร์คะนึงไปถึงสามรายติดกัน ทุกครั้งที่ลงมือจะแนบเนียนไร้ร่องรอย มีเพียงของสิ่งหนึ่งที่ทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุคือไหสุราเพียงไหเดียว ข้าเลยสันนิษฐานว่าโจรผู้นี้ต้องเป็นโจรขี้เมาเป็นแน่ แต่ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นคือเหล่าสตรีพวกนั้นที่ถูกโจรชั่วนั้นหยามเกียรติ กลับพร่ำเพ้ออยากให้โจรราคะผู้นั้นปีนกำแพงมาหาพวกนางอีกสักครา เรื่องนี้ทำให้ข้าจนปัญญาที่จะจัดการกับคดีนี้จริงๆ เฮ้อ!” ฝู่หลิงอี้พูดอย่างจนปัญญา ใบหน้าเรียบนิ่งฉายแววประหลาดใจ “มีเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ด้วยรึ?” “หากท่านไม่เชื่อ ข้าขอเชิญท่านกลับไปพิสูจน์ด้วยตาของท่านเองเถิด” ฝู่หลิงอี้พูดขึ้นอย่างท้าทาย “ได้ ข้าจะกลับไป” หอจันทร์คะนึงคือโรงคณิกาเลืองชื่อที่สุดในเมืองหลวง ตั้งอยู่บนถนนสายเริงรมย์ย่านใจกลางเมือง รอบด้านเต็มไปด้วยบรรยากาศคึกคัก ภายในมีห้องโถงขนาดใหญ่ไว้รองรับผู้คนที่มาแสวงหาความสำราญในยามราตรี บรรดาแขก เหรื่อต่างทยอยกันหลังไหลเข้ามาไม่ขาดสาย และมีจำนวนมากกว่าแขกของโรงคณิกาหออื่น เห็นได้ชัดว่ากิจการของหอจันทร์คะนึงแห่งนี้รุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง สายตาของหวังเยว่ซินแอบลอบสังเกตการณ์อยู่ครู่ใหญ่ นางลอบเดินอ้อมมาที่ประตูเล็กด้านหลังอย่างชำนาญเส้นทาง หญิงสาวก้มลงหยิบชุดที่แอบซ่อนไว้ในพุ่มไม้ข้างเรือนมาเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ชุดดำเรียบง่ายของบุรุษช่วยขับเน้น ผิวขาวราวหิมะรับกับใบหน้างดงาม เมื่อนางแต่งกายเป็นบุรุษกลับงดงามเหนือบุรุษในใต้หล้า ก่อนที่หญิงสาวจะใช้วิชา ตัวเบาเหินเข้าไปในหน้าต่างบานหนึ่งที่เปิดทิ้งไว้  ทันทีที่เข้ามาในตัวเรือน หญิงสาวแอบเร้นกายอยู่ในมุมมืดหวังสังเกตการณ์ ทันใดนั้นนางได้ยินเสียงพิณดังแว่ว มาแต่ไกล หญิงสาวพลันแอบเงยหน้ามองไปตามเสียงเพลง บนยกพื้นสูงที่ใช้สำหรับการแสดง มีนักดนตรีกำลังบรรเลง เพลงพิณและมีสตรีนางหนึ่งที่กำลังร่ายรำตามจังหวะเสียงเพลง ชั่ววินาทีที่หวังเยว่ซินสบตากับหญิงงามก็ต้องตื่นตกตะลึงในความงามปานเทพเซียนมาจุติ ทำให้หญิงสาวไม่อาจละสายตาไปจากหญิงงามตรงหน้าได้เลย  สวรรค์! เทพธิดาองค์ใดแอบลงมาจุติที่โลกมนุษย์กันหนอ ช่างงามเหลือเกิน งามจนข้าลืมหายใจ แม่ยอดพธู ของข้า... โฉมสะคราญดวงหน้างามพิสุทธิ์ ดวงตาหยาดเยิ้มปานน้ำผึ้งเดือนห้า ท่วงท่าการร่ายร่ำอ่อนช้อยงดงาม  โบกสะบัดแขนเสื้อตามจังหวะเสียงดนตรี ทั่วก้าวย่างการร่ายรำอย่างเป็นจังหวะ  เสน่ห์เย้ายวนชวนให้ผู้คนคนึงหลงใหล ดุจดั่งเทพธิดาจำแลงกายลงมาจากสรวงสรรค์ก็ไม่ปาน หัวใจดวงน้อยๆ ของหญิงสาวกำลังจะหยุดเต้น รู้สึกราวกับว่าวิญญาณของนางถูกสายตาของหญิงงามตรง  กระชากมันออกจากร่างของตนไปแล้ว เยว่ซินจับจ้องมองหยิงงามอย่างหน้ามืดตาบอด จวบจนกระทั่งการแสดงจบลง หญิงสาวก็ยังไม่อาจตื่นจากภวังค์ได้ เสียงซุบซิบของสาวใช้ทั้งสองนางที่กำลังทำความสะอาดฉุดให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์อันเคลิบเคลิ้ม “นี่เสี่ยวหลัน ข้าว่าแม่นางหรูเจียวเจียนผู้นี้ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก หลังจากที่ท่านแม่ซูเม่ยซื้อตัวนางเข้ามาได้ไม่กี่วัน นางก็กลายเป็นที่หมายปองของบุรุษกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าและกิริยาอันงดงาม และใบหน้าที่งามปานสตรีล่มเมือง  ยิ่งทำให้บุรุษทั่วเมืองหลวงต่างก็หลงใหลคลั่งไคล้ในตัวนาง” “ข้าได้ยินมาว่านางขายศิลป์ไม่ขายตัว เพียงแค่คืนเดียวค่าตัวของผู้คนที่หวังจะพบหน้านางก็สูงถึงหนึ่งพันตำลึง ขนาดค่าตัวแม่นางซูหลิ่งอี้ที่เป็นคณิกาอันดับหนึ่งของหอเรา ยังตกเพียงคืนละร้อยตำลึง....” หรูเจียวเจียนชื่อนี้ช่างไพเราะยิ่ง... หวังเยว่ซินแอบจดจำชื่อนางไว้ในใจ ก่อนจะยกไหสุราใบเล็กที่ถือเทเข้าไปในปากอึกใหญ่ จากที่ฟังมานั้น ผู้ที่สามารถพบปะพูดคุยกับหรูเจียวเจียนได้ ล้วนเป็นบุคคลที่แม่เล้าซูเม่ยต่างคัดสรรมาเป็นอย่างดี แต่ละคนเป็นถึงขุนนางขั้นสูงหรือไม่ก็เป็นคหบดีที่มีฐานะร่ำรวย...จึงจะสามารเข้าพบหญิงงามได้  นางเคยพบเห็นสตรีที่รูปโฉมงดงามมาไม่น้อย แต่หรูเจียวเจียนผู้นี้เป็นโฉมสะคราญที่สุดในบรรดาสาวงาม  ทั้งหมดที่นางเคยพบมา ทุกท่วงท่าของนางล้วนแต่เชิญชวนให้ผู้คนหลงใหลเคลิบเคลิ้ม โดยเฉพาะเรียวปากงามอันอวบอิ่มคู่นั้น...ช่างเย้ายวนชวนถวิลหายิ่งนัก จู่ๆ ก็เกิดความคิดชั่ววูบขึ้นมาในสมองของหวังเยว่ซิน หากนางสามารถสวมกอดเรือนร่างอรชรไว้แนบอก และค่อยๆ บรรจงจูบกลีบปากอวบอิ่มอันแสนเย้ายวนของหญิงงามสักครั้งได้...คงดีไม่น้อย แม้ว่าเยว่ซินจะเป็นสตรี แต่นางกลับมีนิสัยที่ชมชอบบุปผางามมากกว่าบุรุษ ทุกครั้งที่พบเจอหญิงงามรูปร่างหน้าตางามหมดจด  หญิงสาวก็มักจะหยุดชื่นชมความงดงามของเหล่าโฉมสะคราญอยู่บ่อยครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เยว่ซินแอบบิดาปีนกำแพงออกจากบ้าน นางเผลอพบดรุณีน้อยนางหนึ่ง กำลังวิ่งหนีสุนัขจนหกล้มขาเจ็บ ทั้นใดนั้นนางก็ฉวยโอกาสอุ้มหญิงงามกลับไปส่งถึงบ้านในทันดี และก่อนที่นางจะจากไป...ยังแอบฉวยโอกาสทาขี้ผึ้งลงบนผิวเนียนละเอียดของโฉมงาม หญิงสาวค่อยๆ ลูบไล้ตามแผลของดรุณีน้อยอย่างช้าๆ...จนหญิงสาวผู้นั้นเผลอส่งเสียงครางอย่างลืมตัว หรูเจียวเจียน...ความงามของเจ้าหาได้มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงได้เลย ข้าสัญญาว่าจะรักมั่นและซื่อตรงต่อเจ้าแต่เพียงผู้เดียว.... หวังเยว่ซินหันกลับไปมองแท่นยกพื้นอีกครั้งอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนที่ร่างบอบบางจะหายตัวไปในความมืด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD