ตอนที่ 4

3761 Words
ภายในเรือนส่องนภา...เสียงอ่อนเสียงหวานของสตรีรวมกับเสียงบุรุษแหบห้าว ต่างก็ส่งเสียงหัวเราะปนเสียง หยอกล้อดังชัดขึ้นภายในห้อง “คุณชาย โปรดรอสักครู่ก่อนเจ้าค่ะ” เสียงหวานของหรูเจียวเจียนพูดอย่างฉอเลาะ ชายหนุ่มเพียงหัวเราะฮ่าๆ แฝงด้วยแววตาเร้าร้อนอย่างสุดกำลัง “คนงามของข้า ข้ารอเจ้ามานานเหลือเกิน ตอนนี้ข้าเริ่มทนไม่ไหวแล้ว” หวังเยว่ซินพลันหางตากระตุกทันที ใบหน้าขาวเนียนกลายเป็นแดงก่ำอย่างไม่รู้ตัว มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูด เล็บเรียวจิกเข้าไปในฝ่ามือจนของเหลวสีแดงไหลซึมออกมา “คุณชาย อย่านะเจ้าค่ะ อย่าแกล้งข้าเลย” เสียงใสๆ ของหรูเจียวเจียนพูดขึ้นอย่างหวาดกลัว “ข้าจะค่อยๆ ทำช้าๆ นุ่มนวลกับเจ้า...เชื่อฟังข้านะคนดี” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ต่ำช้า! หวังเยว่ซินเผลอกัดริมฝีปากแน่น จนเลือดไหลซิมออกมา “ว้าย! คุณชาย..ค่อยๆ ก็ได้สิเจ้าค่ะ ” “ดูสิเจ้าค่ะ ข้าแฉะไปหมดแล้วนะคุณชาย” น้ำเสียงเย้ายวนชวนฝันปลุกให้คนที่ฟังเกิดจินตนาการไปไกลจนฉุดไม่อยู่ ชั่วช้า! เลวทราม! หญิงสาวพูดขึ้นด้วยเสียงสั่น “ขา...ของท่าน...” “ขาของข้า ทำไมรึ?” “เปียกแฉะไปหมดแล้วเจ้าค่ะ” ควรตัดมันทิ้งเสีย! หวังเยว่ซินคิดด้วยความคับแค้นใจ “เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่” ชายหนุ่มกระซิบอันแหบพร่าข้างหูสาวงาม “จะดีหรือเจ้าคะ” สาวงามพูดด้วยความเอียงอาย  เสียงหยอกเหย้าระหว่างชายหนุ่มกับหญิงงามคละเคล้ากับเสียงครางหอบหายใจลอยเข้าหูเป็นละลอก ยั่วให้คน ที่อยู่ใต้เตียงเกิดเพลิงโทสะอย่างร้อนแรง หน้าแดงเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ จวบจนกระทั่งความอดทนที่มีขาดสะบั้น  ความรู้สึกเจ็บปวดขุมหนึ่งเริ่มแล่นเข้ามาที่ข้างอกซ้าย เมื่อต้องคิดถึงภาพหญิงงามผู้เป็นที่รัก ตกไปเป็นของชายอื่นให้ กระทำย่ำยี่  ข้ายอมไม่ได้! หวังเยว่ซินสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างสุดแรง ก่อนจะพุงตัวออกจากใต้เตียงพร้อมเตรียมใช้มีดสั้นบุกแทงแทงชายชั่วที่อยู่ตรงหน้าในทันที “ตายซะเถอะไอ้สาร...”  เอ๊ะ! อะไรกัน? มือที่ถือมีดสั่นพลันชะงักค้างกลางอากาศ หญิงสาวตกตะลึงพรึงเพริด ตัวแข็งทื่อราวกับเป็นน้ำแข็งแกะสลักในฤดูเหมันต์ ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าหญิงสาว ช่างเหนือความคาดหมายจากที่นางคิดไว้โดยสิ้นเชิง เห็นเพียงชายหญิงทั้งคู่สวมใส่อาภรณ์เรียบร้อย  ฝ่ายชายถือถ้วยชา อีกฝ่ายกำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบน้ำชาที่เปียกรดขากางเกงชายหนุ่ม อย่างรู้สึกผิด  ผิดจากภาพที่หญิงสาวจิตนาการไว้ก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับเหวก็ไม่ปาน บุรุษผู้นั้นนั่งอยู่บนเตียง บนร่างกายสวมเครื่องแต่งกายอย่างเรียบง่าย รูปร่างสง่างามผึ่งผาย คิ้วเรียวตาได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเรียว ช่างเป็นบุรุษรูปงามราวอิสตรีโดยแท้    นัยน์ตาสีนิลเรียบนิ่งแฝงด้วยความรู้สึกยากที่จะคาดเดา เว่ยเฟยหลิงยิ้มที่มุมปาก ทำให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา...จ้องมองมาด้วยสายตาตกตะลึง   “ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวเสียที...โจรราคะ” “เจ้าว่าอะไรนะ!” นางรู้สึกตื่นตระหนกกับคำเรียกขานของบุรุษผู้นี้ เหตุใดเขาถึงรู้ตัวตนที่แท้จริงของนางได้ เว่ยเฟยหลิงยื่นใบประกาศที่มีภาพเหมือนโจรเด็ดบุปผาใบหนึ่ง ให้ชายหนุ่มดูพร้อมกับส่งยิ้มยียวนให้คนตรงหน้า “หรือว่าภาพคนผู้นี้ ไม่ใช่เจ้าหรอกรึ?” ดวงตาเรียวเล็กเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ “นี่เจ้า!...สะกดรอยตามข้ามาอย่างนั้นหรือ” เมื่ออีกฝ่ายรู้สถานะที่แท้จริงของตัวนางแล้ว ก็อย่ากล่าวโทษที่นางแล้งน้ำใจกับเขาก็แล้วกัน หญิงสาวก้าวจู่โจมบุรุษตรงหน้าอย่างรวดเร็ว หวังว่าจะใช้ฝ่ามือปะทะอีกฝ่ายให้เขาได้รับบาดเจ็บ แต่บุรุษผู้นี้กลับหลบฝ่ามือของนางได้อย่างรวดเร็วไม่มีที่ติ “จะให้ข้าจับดีๆ หรือจะให้ข้าลงมือสังหารเจ้าเพียงดาบเดียว เจ้าเลือกเอา” เขาพูดพลางหลบฝ่ามือที่ปะทะเข้ามาตรงหน้าอย่างใจเย็น ดุจดั่งราชสีห์ที่กำลังวิ่งไล่เหยื่อให้หมดแรง หลังจากประมือกับชายหนุ่มหลายกระบวนท่า  ทำให้เถาจื่อรู้แล้วว่าวรยุทธ์ของร่างเดิมของนางอ่อนด้อยเพียงใด หากนางยังฝืนสู้รบปรบมือกับบุรุษตรงหน้าต่อไป  เกรงว่านางต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างหมดรูปเป็นแน่ เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้หญิงสาวจึงตัดสินใจใช้วิชาตัวเบาเหินตัวออกนอกหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว เว่ยเฟยหลิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือหงุดหงิด “กล้าหนีข้ารึ?”   ด้วยความไม่พอใจเหยื่อที่ตนกำลังเล่นสนุกกลับขี้ขลาดหนีเขาไป จึงทำให้ชายหนุ่มเร่งวิชาตัวเบาตามติดไป อย่างไม่ลดละ แต่ก็ยังแอบเว้นระยะห่างให้อีกฝ่ายได้พักเหนื่อยบ้าง ขณะที่เยว่ซินกำลังเหาะเหินเดินอากาศ พยายามหลบหนีอยู่บนหลังคาบ้านของใครสักคน ชายหนุ่มชุดดำก็ตามติดนางอย่างไม่ลดละ ทำให้หญิงสาวเหนื่อยจนแทบจะขาดใจ เหตุใดถึงไม่ละเว้นนางบ้าง นางกับเขาหาไม่ได้มี ความแค้นอันใดต่อกันนี่นา ทำไมบุรุษผู้นี้ถึงได้จ้องตามล้างตามผลาญตัวนางอย่างไม่ลดละ หรือว่าเขาเป็นคนของทางการส่งมาจับตัวนางกัน ไม่ได้การแล้ว...หากเป็นเช่นนั้นจริง อนาคตของนางคงจบสิ้นแน่ ขณะที่นางกำลังมัวกังวลคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงๆ หนึ่งแว่วเข้ามาใกล้ๆ หญิงสาว “เจ้าเหนื่อยเมื่อไหร่ก็บอกข้านะ” เขามองเหยื่อที่อยู่ตรงหน้าอย่างนึกสนุก นานๆ ทีจะได้ยืดเส้นยืดเสียสายบ้างก็ดีเหมือนกัน ยังไม่ทันที่เยว่ซินจะก้าวเท้าหนี ชายหนุ่มชุดดำก็เข้ามาประชิดตัวนางอย่างไม่ทันตั้งตัว พลางกระซิบข้างหูหญิงสาวเสียงเบาๆ ทำให้นางรู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัว “จะยอมให้ข้าจับเสียดีๆ หรือจะให้ข้าลงมือกับเจ้า” เสียงลมหายใจของชายหนุ่ม ยังคงดังกึกก้องอยู่ข้างๆ ใบหูหญิงสาวไม่ขาดสาย “เจ้าเป็นใคร? เหตุใดจังต้องตามจับตัวข้า” หญิงสาวรู้สึกจนมุม แต่ก็ยังพยายามพูดคุยกับเขาเพื่อถ่วงเวลา เสียงแหบห้าวของชายหนุ่มพูดขึ้นช้าๆ “ในเมื่อการกระทำของเจ้าไม่เกรงกลัวต่อฟ้าดิน ไม่เห็นกฎหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตา...เจ้ายังคิดว่าจะมีผู้ใดอยากละเว้นให้เจ้าอย่างนั้นรึ?” นางมองเขาอย่างหวาดระแวง “ท่านเป็นคนของทางการอย่างนั้นหรือ” “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร...”  ยังไม่ทันที่บุรุษตรงหน้านางจะพูดจบ หญิงสาวสบโอกาสเหมาะตอนที่ร่างสูงโปร่งเผลอลดการป้องกันตัวซัดฝ่า มือเข้าสู่อกด้านซ้ายของเขาอย่างแรง แต่ใครจะรู้ว่าแทนที่เขาจะหลบฝ่ามือนาง ชายชุดดำกลับจับมือนางไว้ได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องออกแรงสักกระผีกเดียว                      “เจ้ามีแรงแค่นี้เองรึ?” เสียงกระซิบเบาปานขนนกของชายหนุ่ม เป่าเข้าไปข้างใบนางอย่างจงใจ ทำให้หญิงสาวหน้าเผลอหน้าแดงอย่างไม่รู้ตัว                                                                       แขนที่เต็มไปด้วยกล้ามของชายหนุ่ม โอบรอบเอวหญิงสาวในทันที มือใหญ่เอื้อมไปจับแขนนวลทั้งสองข้างมัดด้วยเชือกที่เขานำมาอย่างรวดเร็ว   สภาพของเยว่ซินในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับสุกรรอถูกเชือด นางถูกมัดมือมัดเท้าด้วยเชือกอย่างหนาแน่น เหลือแค่เพียงอย่างเดียวคือ...ให้เพชฌฆาตมาเชือดคอนางก็เท่านั้นเอง หากรู้ว่าตนจะต้องโดนจับให้อยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ นางสู้ยอมให้เขาจับเสียตั้งแต่ทีแรกก็ดี  เว่ยเฟยหลิงจ้องมองดูโจรน้อยนอนเป็นสุกรโดนเชือด ใบหน้าเรียบนิ่งพลันยิ้มอย่างพอใจ ที่จริงแล้วเขาไม่ได้คิดจะจับคนผู้นี้ส่งทางการแต่อย่างใด หากแต่เขาอยากจะทดสอบความสามารถของโจรน้อยผู้นี้เท่านั้นเอง ว่าเพราะเหตุใดเหล่าบุปผางามในเมืองหลวงถึงได้หลงใหลคลั่งไคล้เจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้ยิ่งนัก  จากที่ตัวเขาได้สอบสวนเหล่าหญิงงามที่เคยตกเป็นเหยื่อเจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้ดูแล้ว ทำให้เขารู้ว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้หาได้  ล่วงเกินพวกนางแต่อย่างใด เหล่าสตรีพวกนั้นก็ช่างน่ากลัวยิ่ง พวกนางต่างใจลอยพร่ำเพ้ออยากจะหนุ่มน้อยผู้นี้อีกสักครั้ง  ถึงขั้นบุกมาจวนมือปราบขอร้องเขาให้จับโจรผู้นี้ให้ได้ ทำให้เฟยหลิงเริ่มรู้สึกหวาดกลัวเหล่าสตรีหน้ามืดพวกนี้เหลือเกิน หากเป็นตัวเขาที่ถูกกลุ่มสตรีใจกล้าพวกนั้นลุ่มหลงแล้วล่ะก็...เกรงว่าไม่เกินสามวันเจ็ดวันเขาต้องรีบย้ายถิ่นฐานออกจากเมืองหลวง...ยิ่งไปให้ไกลยิ่งดี!   เยว่ซินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “หน้าข้ามีอะไรติดอยู่อย่างนั้นรึ?” นางเริ่มรู้สึกไม่พอใจเขาขึ้นมาแล้วสิ จับมัดมือมัดเท้าตนไว้ยังไม่พอ ยังมีหน้ามาจ้องมองผู้อื่นอย่างไร้มารยาท  ทำไมไม่รีบจับตัวนางไปส่งทางการเสียที   ถึงตอนนั้นจะฆ่าจะแกงกันอย่างไร...นางก็หาได้กลัวไม่ ดีกว่าถูกมัดไว้บนหลังคาอยู่แบบนี้  หากว่าร่างบอบบางของนางพลัดตกลงไป เกรงว่าสภาพศพของนางคงดูไม่ได้กระมัง เว่ยเฟยหลิงเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาเชยคางเรียวเล็กของเด็กหนุ่มขึ้น พลางส่งยิ้มด้วยแววตาชั่วร้าย “เจ้าว่าข้าควรจะทำยังไงกับเจ้าดีล่ะ”  “เจ้าจะฆ่า...จะแกงข้ายังไงก็เชิญ” นางเชิดหน้าพร้อมกับหลับตาเตรียมใจรอรับบทลงโทษที่เขาจะมอบให้ “ดี! ถือว่าเจ้าใจกล้าไม่กลัวตาย...งั้นข้าจะให้เจ้าได้สมใจ” สิ้นคำพูดของชายหนุ่ม เขาก็ฟาดฝ่ามือลงไปที่หลังคอของหญิงสาวในทันที                                   ภายในกระท่อมไม้ไผ่นอกเมือง...ชายหนุ่มรูปร่างบอบกำลังนอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียงไม้เก่าๆ มือทั้งสองข้างของเขาถูกรวบมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนา ข้างๆ กันนั้นมีบุรุษนัยน์ตาสีนิลกำลังจับจ้องมองร่างบอบบางที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่วางตา  โดยที่ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงฉายแววเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก เว่ยเฟยหลิงลอบสังเกตุดวงหน้าชายหนุ่ม เขาคิดว่าหากเจ้าโจรน้อยผู้นี้เป็นสตรีคงเป็นโฉมงามหาจับตัวได้ยากเป็นแน่ ตอนแรกเขาแค่อยากรู้เท่านั้นว่าใบหน้าของโจรราคะที่เหล่าสตรีพวกนั้นหมายปองจะหน้าตาเป็นเช่นไร แต่ใครจะคิดว่าเมื่อตนได้พบหน้าเจ้าหนุ่มน้อยผู้กลับรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกพบ มาถึงตอนนี้เขาจึงอยากเก็บคนอวดดีผู้นี้ไว้ข้างกาย   เขาอยากจะรู้นักว่าโจรน้อยผู้นี้จะทำตัวเยี่ยงไรเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา แค่คิดก็พาลให้ชายหนุ่มรู้สึกอารมณ์ดียิ่งนัก หวังเยว่ซินค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนล้า ก่อนจะเบิกตาโพลงอย่างตกใจกับภาพบุคคลที่อยู่ตรงหน้า ชายชุดดำกำลังจ้องมองนางอย่างไม่วางตา เหมือนจะกลืนกินตัวนางก็ไม่ปาน เยว่ซินพยายามมองไปรอบๆ ตัว ก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลกใจว่านางอยู่ที่ใดกัน ภายในกระท่อมหลังเล็กๆ มีสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น และเตียงไม้เก่าๆ หลังหนึ่งเท่านั้น เมื่อมองออกไปด้านนอกก็รายล้อมไปด้วยแม่น้ำป่าเขา ดูเป็นสถานที่ที่นางไม่คุ้นตา “ข้าอยู่ที่ไหน?” หญิงสาวจ้องมองเขาพลางถลึงตาใส่ชายหนุ่ม เหตุใดชายผู้นี้ถึงต้องลักพาตัวนางมาสถานที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ หวังเยว่ซินขมวดคิ้วมุ่ม “ต่อให้เจ้ารู้แล้วอย่างไร...ยังไงเสีย...ข้าก็ไม่ปล่อยให้โจรชั่วอย่างเจ้าลอยนวลลอย ออกไปก่อเรื่องได้อีกเป็นแน่” เว่ยเฟยหลิงจงใจพูดขู่ให้คนตรงหน้ารู้สึกกลัว หญิงสาวจ้องมองคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง นางทำอะไรผิดนักหนา เขาถึงได้กระทำกับนางราวกับนักโทษหนี  ความผิด หากจะผิดก็คงผิดตรงที่นางรูปงามเกินไปกระมัง ถ้าหากนางย้อนเวลากลับไปได้ หญิงสาวสัญญาว่าจะไม่ข้อง แวะกับเหล่าสตรีปีศาจพวกนั้นอีกเป็นแน่      แค่คิดก็พาลให้หญิงสาวทอดถอนใจ “เฮ้อ…”    ริมฝีปากบางของชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างพอใจ “โดนจับมาแค่วันเดียว ถึงกับถอยหายใจเป็นคนแก่เชียวรึ?”  คำพูดของชายหนุ่มราวกับน้ำมันที่ราดลงกองไฟ ทำให้หญิงสาวไม่อาจสะกดกลั้นไฟโทสะที่มีไว้ได้  “ในเมื่อท่านเป็นคนของทางการ เหตุใดไม่ส่งข้าเข้าคุก กลับตั้งศาลเตี้ยกักขังผู้อื่น อย่างนี้หรือที่เขาเรียกว่าผู้พิทักษ์ราษฎร...หรือว่าเจ้าเป็นแค่ผู้ที่แอบอ้างกัน” เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าโจรน้อยผู้นี้จะมีวาจาที่แหลมคม สามารถด่าทอผู้อื่นด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งชวนให้ผู้ที่ฟังรู้สึกแสบๆ คันๆ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มที่มุมปาก “เหตุใดข้าต้องตอบคำถามเจ้า” หวังเยว่ซินจ้องมองเขาด้วยท่าทางที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หากตอนนี้นางไม่ถูกมัดไว้ละก็ เกรงว่าใบหน้างามๆ ของเขาจะต้องเป็นทางยาวเป็นแน่  “ท่านเป็นใคร? เหตุใดต้องจับข้ามาที่นี่  ท่านมีจุดประสงค์อะไรกันแน่” หญิงสาวพยายามพูดอย่างใจเย็นพลางกดความรู้สึกที่ไม่พอใจเอาไว้ข้างใน  หากนางทำให้บุรุษหน้าตาตายผู้นี้ไม่พอใจ...ไม่แน่ว่า...คงไม่ตอบคำถามนางง่ายๆเป็นแน่ “…” ชั่วขณะนั้นเอง เว่ยเฟยหลิงโยนป้ายสี่เหลี่ยมสีทองให้นางดู ก่อนที่นางจะลอบอ่านตัวอักษรภายในป้ายสี่เหลี่ยมแผ่นนั้น ฉับพลัน...ดวงตาเรียวเล็กเบิกตาโพลงอย่างตกตะลึง ‘เว่ยเฟยหลิง’ นางจ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างเหนือความคาดหมาย “เจ้า...คือมือปราบเว่ยหน้าชั่งผู้นั้นนะหรือ” นางชี้หน้าเขาด้วยความรู้สึกหลากหลายอารมณ์ เฟยหลิงจ้องมองชายหนุ่มด้วยความสนใจ เหตุใดคนผู้นี้ถึงราวกับว่ารู้จักเขามาก่อน “ข้าไม่ยักจะรู้ว่าโจรน้อยเช่นเจ้า...จะรู้จักข้าด้วย”   นัยน์ตาสีนิลฉายแววฉงน “ข้าว่า...ข้ารู้จักท่านดีจนท่านคาดไม่ถึงเป็นแน่” ดวงตาเรียวเล็กจ้องมองชายหนุ่มอย่างเคืองแค้น   หากไม่ใช่เพราะเขาทำลายชื่อเสียงของนางจนป่นปี้ ทำให้บิดาของนางต้องหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจที่ถูกเขา หักหน้าในงานแต่ง ตอนนี้นางคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาเช่นนี้ หากวันนี้นางไม่สั่งสอนเขาให้เข็ดหลาบ...สวรรค์! ก็อย่าเรียกนางว่าหวังเยว่ซินเลย ด้วยความเจ็บแค้นที่ถูกชายหนุ่มทำลายชีวิตของตนจนย่อยยับ หญิงสาวจึงขาดสติเผลอลืมตัวใช้พลังปราณ  เซียนตัดเชือกที่พันธนาการรอบตัวนางจนขาดสะบั้น ก่อนจะกำมีดสั้นพุ่งไปยังเว่ยเฟยหลิงอย่างรวดเร็วและรุนแรง คมมีดปักไปที่แขนซ้ายของชายหนุ่มชั่วพริบตา เลือดสดๆ ค่อยๆ ไหลซึมออกมาผ่านใบมีดอย่างรวดเร็ว  ชั่วขณะนั้น บรรยากาศรอบตัวเหมือนจะหยุดนิ่ง จนกระทั่งหญิงสาวค่อยๆ ปล่อยมือออกจากมีดสั้นอย่างช้าๆ เลือดสดๆ ค่อยๆ ไหลรินทั่วพื้นใรทันที ดวงตาคู่งามค่อยๆ หันมาสบตาเขาด้วยความรู้สึกผิด “ข้า...ขอโทษ” หวังเยว่ซินพูดเสียงสั่น        ใบหน้าเรียบนิ่งของชายหนุ่ม...ทำให้เยว่ซินไม่รู้ว่าจะจัดการกับเขาอย่างไรดี  ต่างฝ่ายได้แต่จ้องมองกันโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เฟยหลิงมั่นใจว่าวรยุทธ์ของตนเป็นหนึ่งไม่มีสอง เหตุใดโจรผู้นี้ถึงลงมือแทงเขาได้ง่ายเพียงพริบตา หากคนผู้นี้มี วรยุทธ์สูงเหนือชั้นกว่าเขาจริงๆ ทำไมถึงยอมให้เขาจับมาง่ายดายเพียงนี้...ด้วยความรวดเร็วเมื่อครู่นี้ไม่น่าจะเป็นความบังเอิญกระมัง  ด้วยเพราะเว่ยเฟยหลิงเป็นมือปราบ เขาย่อมต้องสร้างศัตรูไว้มากมาย และผูกจิตสังหารกับพวกศัตรูไว้ก็เยอะ เป็นไปได้ว่าคนผู้นี้อาจจะเป็นหนึ่งในคู่อริที่หมายจะเอาชีวิตเขาก็เป็นได้ หากว่าเขาไม่รีบกระชากหน้ากากมันออกมา เกรง ว่าคนที่ตกที่นั่งลำบากจะเป็นตัวเขาเองก็ได้ ดวงตาเรียวคมจ้องมองร่างบอบบางอย่างหาคำตอบ “เจ้าเป็นใครกัน?”    “…” เยว่ซินได้แต่จ้องมองเขานิ่งๆ อยู่อย่างนั้นราวกับรูปปั้นที่ไร้วิญญาณ “หากเจ้าไม่ตอบข้า ก็อย่าหาว่าข้าแล้งน้ำใจต่อเจ้าก็แล้วกัน” ใบหน้าเรียบนิ่งเยียบเย็นขึ้นมาในทันที  “…”   หวังเยว่ซินเริ่มรู้สึกผิดที่เผลอทำร้ายเขาเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ และการที่นางละเมิดกฎสวรรค์ก็ยิ่งทำให้นางเริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้นกว่าเดิม หากเรื่องนี้รู้ถึงพระกรรณขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เกรงว่าคนที่จะรับเคราะห์แทนนางคงเป็นท่านตาเป็นแน่   คิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากันอย่างเป็นกังวล หากนางไม่วู่วาม...เรื่องก็คงไม่เป็นเช่นนี้ เยว่ซินได้แต่โทษตัวเองอยู่อย่างนั้น...โดยที่ไม่ได้สนใจบุรุษตรงหน้าที่จ้องมองนางด้วยสายตามาดร้าย  “ดี! ครานี้ถือว่าเจ้ารนหาที่แล้วจริงๆ”   สายตาเย็นชาของเฟยหลิงแสดงให้เห็นถึงเส้นความอดทนของเขาขาดสะบั้น ชายหนุ่มฟาดฝ่ามือไปที่อกซ้ายของเยว่ซินอย่างไม่ยั้งมือ ทำให้ร่างบอบบางกระเด็นออกไปนอกห้องในทันที  ขณะที่ร่างบอบบางตกกระแทกพื้น เลือดสดๆ พุ่งออกมาในทันที หญิงสาวจ้องมองคราบเลือดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะแค่นยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ดี!...สมควรแล้ว  ข้าแทงเจ้าครั้งหนึ่ง เจ้าก็ตอบแทนข้าด้วยฝ่ามือหนึ่งครั้งเช่นเดียวกัน”   ความเจ็บปวดขุมหนึ่งแล่นเข้ามาที่อกซ้ายของหญิงสาวจนแทบทรุด โลหิตสดๆ ค่อยๆ ไหลซึมออกมาที่มุมปาก ดวงตาเรียวเล็กจ้องมองเขาอย่างโศกเศร้า “เจ้านี้ช่างใจร้ายกับข้ายิ่งนัก มาถึงตอนนี้เจ้าก็ยังลงมือกับข้าอย่างเลือดเย็นเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเสียเลยจริงๆ” นางเปล่งเสียงพูดออกมาอย่างยากลำบาก  เฟยหลิงมองชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดเจ้าถึงพูดเหมือนรู้จักกับข้า?” เขากับคนผู้นี้มีบุญคุณความแค้นอันใดกันแน่?  “…” “ถึงตอนนี้เจ้ายังจะปากแข็งอยู่อีกหรือ?” นัยน์ตาสีนิลฉายแววอำมหิต   เยว่ซินแค่นยิ้มพลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีนิลคู่นั้น “เจ้ารู้ไปแล้วได้อะไร” “ดี!...ดีมาก!” เฟยหลิงขบกรามแน่น “หากวันนี้ข้าไม่ลงมือกับกับเจ้า เกรงว่าปากน้อยๆ ของเจ้าคงไม่ยอมคายชื่อออกมาง่ายๆ เป็นแน่” “ต่อให้ท่านฆ่าข้าให้ตาย...ก็อย่าหวังว่าจะได้รู้ว่าข้าเป็นผู้ใด” ใบหน้าซีดขาวของนางมองตอบเขาอย่างท้าทาย  สายตาท้าทายของเยว่ซินทำให้ชายหนุ่มขาดสติในทันที ฉับพลัน...ริมฝีปากบางของเขาก็ประทับลงเรียวปากบางอย่างร้อนแรง ก่อนจะใช้ปลายลิ้นร้อนระอุบุกรุกเข้าไปตวัดรัดลิ้นอันอ่อนนุ่มของหญิงสาว เย้าแหย่ชิมรสชาติหอม หวานอยู่ภายใน ดุจดั่งพยัคฆ์ที่กำลังลิ้มรสเนื้อของเหยื่อที่หามาได้  ชั่วพริบตา สติของเฟยหลิงก็หวนกลับคืนมา ชายหนุ่มรีบก้าวถอยห่างออกมาอย่างรวดเร็ว  . น่าตายนัก! นี่เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไร ถึงได้ใจกล้าทำเรื่องไม่ละอายต่อฟ้าดินแบบนี้    และตอนนี้ร่างบอบบางของเยว่ซินก็แข็งทื่อเป็นก้อนหินไปเสียแล้ว ดวงตาเรียวเล็กพลันเบิกกว้าง ขณะจ้องมองชายหนุ่มอย่างตกตะลึงงัน      เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง ภาพทุกภาพที่เกิดขึ้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมองของหญิงสาวอยู่อย่างนั้น  เขา จูบนางอย่างนั้นหรือ?  ที่ผ่านมาเขายังทำร้ายกันไม่พออีกใช่ไหม? ความแข็งแกร่งหวังเยว่ซินพังทลายลงในทันที เจ็บ! นางเจ็บเหลือเกิน หากตอนนี้นางตายไปคงดีไม่น้อย ดีกว่าอยู่ในสภาพอดสูเยี่ยงนี้...สวรรค์! มาเอาชีวิตข้าเถิด  นัยน์ตากระจ่างใสของหญิงสาวกลายเป็นสีแดงก่ำ หยาดน้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลรินลงมาอย่างไม่ขาดสาย  ใบหน้า ซีดขาวฉายแววเจ็บปวดอย่างปิดไม่มิด เว่ยเฟยหลิงยืนนิ่ง จ้องมองร่างบอบบางโดยไร้คำพูดใดๆ “ได้!...ในเมื่อเจ้าอยากรู้นักว่าข้าเป็นผู้ใด...ข้าจะบอกเจ้า” หญิงสาวจ้องมองเขาด้วยความเจ็บปวดพลางใช้หลังมือปาดน้ำตาอย่างรวดเร็ว  “ข้าแซ่หวัง...นามว่าเยว่ซิน...เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?” ตอนแรกเขายังไม่เข้าใจ จากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูยิ่งนัก! ฉับพลัน...ชายหนุ่มรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย ดวงตาเรียวคมพลันเบิกกว้าง “นี่เจ้า!...คือนาง...คือนางอย่างนั้นหรือ?” “ในที่สุดเจ้าก็จำข้าได้แล้วสินะ” นางแค่นยิ้มหัวเราะ...ก่อนจะค่อยๆ ลอบเดินพลังลมปราณเฮือกสุดท้าย ทันใดนั้น...ฝ่ามือบางปะทะเข้าที่อกซ้ายของตนอย่างรวดเร็ว  ฝ่ามือแกร่งของเฟยหลิงคว้าข้อมือหญิงสาวได้ทันท่วงที แต่ด้วยพลังฝ่ามือของชายหนุ่มได้ปะทะที่อกซ้ายของนางก่อนหน้านี้  ทำให้หญิงสาวได้รับบาดเจ็บภายใน บวกกับที่นางพยายามเดินลมปราณเฮือกสุดท้าย ทำให้ร่างบอบบางของหญิงสาวบาดเจ็บสาหัสในทันที “นี่เจ้า....” ภาพตรงหน้าของนางพลันมืดลง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD