“เชิญค่ะ”
รินรดาเอ่ยปากอนุญาต ทั้งที่ใบหน้ายังบึ้งตึงอยู่ เธอเก็บสีหน้าไม่ได้เลย
“สาวน้อยของพ่อ เป็นอะไรล่ะนั่น หน้าหงิกยังกับมะเหงก”
กำนันรุ่งโรจน์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะ ทั้งยังยิ้มล้อเลียนลูกสาวคนเดียวของตนด้วย
รินรดาถอนหายใจแรงอีกครั้ง เธอทำปากยื่นอย่างแสนงอนด้วยความเคยชิน เวลางอนพ่อเธอก็จะทำหน้าแบบนี้ใส่ท่าน
“พอดี เจอลูกค้าเรื่องมาก เอาแต่ใจ และนิสัยไม่ดีค่ะ หนูเลยอารมณ์เสียนิดหน่อย”
กำนันรุ่งหัวเราะในลำคอ เขาเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของลูก ซึ่งเก้าอี้ทำงานตัวที่ลูกนั่ง เขาเคยนั่งประจำมาหลายปีแล้ว ในที่สุด ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนก็มารับตำแหน่งนี้แทน
ที่ต้องการให้ลูกมาดูแลกิจการ ไม่ใช่เพราะเขาเหนื่อย ไม่ใช่เพราะมีปัญหาสุขภาพใด ๆ แต่เขาอยากให้ลูกเรียนรู้การทำงาน เรียนรู้คน ฝึกกายฝึกใจให้แข็งแกร่ง การทำงานและการเจอผู้คนมากหน้าหลายตา เจอลูกค้าและคู่ค้าหลายประเภท ทั้งดีทั้งเลวปะปนกันไป จะทำให้ลูกเขาแข็งแกร่งขึ้น
เขาจะได้มั่นใจได้ว่า แม้ในวันที่ไม่มีเขาคอยกางปีกปกป้อง ลูกสาวสุดรักสุดดวงใจคนนี้ก็ยังจะใช้ชีวิตได้อย่างดี
“แล้วตอนนี้ อารมณ์ดีขึ้นหรือยัง”
“ดีขึ้นนิดหน่อยแล้วค่ะ”
“ถ้าดีขึ้นแล้ว ก็ช่วยยิ้มให้พ่อชื่นใจหน่อยเถอะ”
รินรดาเม้มปากครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ระบายยิ้มหวานสดใส
“มันต้องแบบนี้ ถึงจะสมเป็นรินรดาคนเก่งของพ่อ”
พอได้รับคำชมจากผู้เป็นพ่อ รินรดาก็ยิ้มกว้าง อารมณ์ดีขึ้นอีกเป็นกอง
“พ่อตั้งใจมาหาหนู หรือว่าขับรถผ่านร้านเลยแวะมาดูว่าหนูจะอู้งานไหมหรือคะ”
กำนันรุ่งโรจน์หัวเราะในลำคอ
“หัวเราะมีพิรุธแบบนี้ กำลังจะไปหาเด็กในเมือง แล้วพอดีขับรถผ่านร้าน เลยแวะมาหาหนูสักหน่อย พอเป็นพิธี ใช่ไหมคะ”
บ้านกับร้านอยู่คนละที่ บ้านไม้สักทองหลังใหญ่ของพ่อกำนันตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้าน อาณาจักรของกำนันรุ่งมีพื้นที่ราวสองร้อยไร่ มีทั้งที่นา ที่สวน และหนองน้ำ อยู่ในพื้นที่เดียวกัน
ตั้งแต่รินรดามาดูแลร้าน พ่อกำนันก็อยู่บ้าน เลี้ยงไก่ เลี้ยววัวพันธุ์ที่สวนหลังบ้านอย่างมีความสุข แต่ก็ยังเป็นที่ปรึกษาให้ลูก คอยแนะนำอะไรหลายอย่าง
“พ่อแวะมาให้กำลังใจลูก”
รินรดาเบ้ปาก “พ่อโกหกไม่เนียนเลยค่ะ”
“พ่อก็ว่าจะเข้าไปในเมืองสักหน่อย ก็เลยแวะมาบอกลูกว่า อาจจะกลับค่ำ”
“แต่งตัวหล่อขนาดนี้ แน่ใจนะคะว่าจะกลับค่ำ ไม่ใช่กลับดึก” รินรดาถามอย่างรู้ทัน
เธอรู้มาว่า พ่อมีเด็กเลี้ยงคนหนึ่ง เป็นนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวะ แต่เธอไม่รู้จักไม่เคยเห็นหน้า ลูกน้องพ่อบอกว่า ตั้งแต่มีเด็กเลี้ยงคนนี้เข้ามาในชีวิตเมื่อหกเดือนที่แล้ว พ่อของเธอก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นอีกเลย
เธอโอเคที่พ่อจะหาความสุขให้ตัวเองโดยไม่ผูกมัด เป็นการยินยอมของทั้งสองฝ่าย เป็นการแลกเปลี่ยนที่ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ และการมีเด็กเลี้ยงคนเดียวก็น่าจะปวดหัวน้อยกว่าการมีผู้หญิงหลายคนมาพัวพัน
พ่อกำนันรุ่งไม่ตอบคำถามของลูกสาว และไม่ปฏิเสธ เขาเอาแต่ยิ้มอย่างเดียว
รินรดาจึงมองค้อนพ่อด้วยความหมั่นไส้ จะไปหาสาวล่ะก็ยิ้มหน้าระรื่นเชียว ปล่อยให้ลูกสาวเผชิญหน้ากับลูกค้าเอาแต่ใจอย่างพ่อผู้ใหญ่ขันเงินคนเดียว
“อ้อ! พ่อมีเรื่องอยากให้รดาช่วยนิดหน่อย หนูพอจะทำให้พ่อได้ไหมลูก”
พ่อกำนันถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม สายตาก็มองลูกอย่างอ้อนวอน
รินรดากลอกตามองบน น้ำเสียงและสายตาแบบนี้ ไม่ใช่ขอให้ช่วยหรอก ต้องเรียกว่าบอกให้ทำดีกว่า
“ค่า” หญิงสาวลากเสียงยาวประชด แต่ก็เต็มใจช่วยนั่นแหละ เธอมีพ่ออยู่คนเดียว อะไรที่ทำเพื่อพ่อได้ เธอก็จะทำ
“คืองี้ลูก พอดีค่ำนี้มีนัดประชุมงานจัดผ้าป่าสามัคคี จะเอาเงินบริจาคไปถวายวัด สร้างหอระฆังใหม่ ไม่ได้ประชุมแบบเป็นทางการ แค่ไปพูดคุยกันเตรียมความพร้อมเรื่องทั่วไป ก็มีพวกผู้ใหญ่บ้าน พวกเจ้าของร้านค้ารายใหญ่ในตำบล ถ้าใครไม่สะดวกก็ส่งตัวแทนไปรับฟังแทนก็ได้ แล้วพอดีว่า พ่อไม่สะดวก พ่อเลย...”
“เขานัดกันที่ไหนคะ”
รินรดาถามสวนขึ้นก่อนที่พ่อจะยกเหตุผลอีกร้อยแปดข้อมาอ้าง
เพราะที่พ่ออ้างมามากมาย ความหมายคือพ่อติดนัดสาว
พ่อกำนันรุ่งยิ้มหวานก่อนจะบอกลูกสาวว่า
“ที่ร้านอาหารชายทุ่ง”
“โอเคค่ะ หนูจะไปในนามตัวแทนพ่อ”
“ลูกสาวพ่อน่ารักที่สุด งั้น...พ่อไปก่อนนะจ๊ะ”
พ่อกำนันรุ่งยิ้มหวานให้ลูกสาวอีกหนึ่งกรุบ แล้วรีบร้อนออกจากห้องทำงานของลูก ไปขึ้นรถกระบะสี่ประตูสีแดงตัวท็อปสุดเท่ ขับตรงเข้าเมืองไปหาเด็กเลี้ยงขี้อ้อนของเขา
เมื่อพ่อออกจากห้องทำงานไปแล้ว รินรดาจึงหยิบสมุดรายงานการขายมาตรวจสอบ แต่นั่งทำงานได้ครู่หนึ่ง เธอก็นึกอะไรบางอย่างได้
เมื่อกี้พ่อบอกว่า คนที่จะไปร่วมพูดคุยกันคือผู้ใหญ่บ้านและเจ้าของร้านค้า
ผู้ใหญ่บ้าน!
งั้นอีตาพ่อผู้ใหญ่ขันก็ต้องมาด้วยสิ เธอต้องไปเจอหน้าเขาอีกเหรอเนี่ย
แต่...พ่อบอกว่า ส่งตัวแทนไปก็ได้ บางทีเขาอาจจะไม่ไปก็ได้มั้ง เขาอาจจะส่งคนอื่นไปแทนก็ได้
...เธอภาวนา ขอให้เขาส่งคนอื่นไปแทน เพราะเธอไม่อยากเจอหน้าเขา