“ไม่มีอะไรหรอก พี่สาแค่มาถามเรื่องงาน”
“แน่ใจ?” แอนจ้องตาเพื่อนราวจะจับผิด ทำให้กังสดาลต้องถอนหายใจยาวพร้อมกับยิ้มออกมา
“แน่สิ แกก็ได้ยินไม่ใช่เหรอ นั่งใกล้กันแค่นี้เอง”
“ได้ยินแต่ไม่ถนัดย่ะ พอดีพี่กล้วยเดินมาขอเอกสารบัญชีจากฉันเพิ่มเติม ฉันถึงได้ต้องมาถามแกนี่ไง”
“ไม่มีอะไรจริงๆ”
แอนค้อนขวับ
“ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร แต่ฉันว่าแกไปหายากินที่ห้องพยาบาลก็น่าจะดีนะ หน้าแกดูซีดเซียวว่ะ ฮึ่ย! อย่าบอกนะว่าแก...” แอนทำตาโต แล้วมองลงไปที่หน้าท้องของเพื่อน ทำเอากังสดาลมองตามแล้วพ่นลมหายใจพรืด
“บ้า! ไม่ใช่ย่ะ กลับไปทำงานเลยไป บ้าจริงแกเนี่ย”
เมื่อถูกเพื่อนปฏิเสธ แอนก็ทำหน้ายู่ยี่พลางบ่นอุบ
“แหม ใครจะไปรู้ เห็นแกหน้าซีดๆ ก็เป็นห่วง”
“จ้า ขอบใจมากจ้า แต่ไม่เป็นอะไรอย่างที่แกคิดจริงๆ”
เมื่อได้รับคำยืนยันจากเพื่อน แอนจึงเดินกลับไปทำงานของตนเอง กังสดาลเลิกคิ้วขึ้นพลางถอนหายใจยาวเหยียด
ช่วงพักเที่ยงกังสดาลได้เจอกับภามพิชญ์อีกครั้ง คราวนี้เขาตั้งใจรอหญิงสาว หลังจากที่คลาดกันไปสองสามวัน
“อ้าว เจอกันอีกแล้วคุณภาม” แอนร้องทักภามพิชญ์พร้อมส่งยิ้มให้ เช่นเดียวกับหยาดและกุ๊กที่ส่งยิ้มให้ชายหนุ่มเช่นกัน ทว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะจดจ่ออยู่แต่กับกังสดาลมากกว่าใคร ทำให้แอนหน้าเจื่อนลง กังสดาลมองเพื่อนอย่างเห็นใจ เพราะรู้ว่าแอนคลั่งไคล้ภามพิชญ์ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ผมมารอคุณ”
ท่าทางของเขาชัดเจนว่าคิดเช่นไร ทำให้หญิงสาวรู้สึกอึดอัด แล้วบอกตนเองว่าคงต้องหาเวลาเหมาะๆ บอกกับเขาว่าหล่อนไม่ใช่ผู้หญิงที่ใครจะมายุ่งด้วยได้ง่ายๆ เพราะหล่อนมีเจ้าของแล้วทั้งตัวและหัวใจเลยทีเดียว...
“ความจริงคุณไม่น่าหิ้วท้องรอพวกเราเลย”
“ไม่เป็นไรครับ รอได้” เขายิ้มให้หญิงสาว ขณะเดินออกจากอาคาร
ทั้งหมดเลือกอาหารจานเดียวมาคนละจาน จากนั้นนั่งกินรวมกันที่โต๊ะชิดผนังภายในร้าน คนที่ ภามพิชญ์ชวนคุยมากที่สุดคือกังสดาล แอนจึงได้แค่แอบมองเขาเป็นระยะ และสอดแทรกไปบ้างเป็นบางครั้ง กุ๊กและหยาดมองเพื่อนอย่างเห็นใจ แต่เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้จริงๆ และเห็นอยู่ว่ากังสดาลค่อนข้างลำบากใจไม่น้อยเมื่อภามพิชญ์แสดงความสนใจหญิงสาวอย่างออกนอกหน้า กระทั่งรับประทานอาหารมื้อนั้นเรียบร้อย ทั้งหมดจึงเดินกลับเข้าอาคาร ระหว่างนั้นกังสดาลและภามพิชญ์เดินรั้งท้าย เขาจึงถือโอกาสขอเบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวเอาไว้
ทว่ากังสดาลมีสีหน้าอึดอัดใจ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวัง
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ละลาบละล้วง คุณคงไม่ชอบให้เบอร์โทรศัพท์กับใคร”
กังสดาลยิ้มเจื่อน และมองเพื่อนทั้งสามที่เดินนำหน้า ก่อนตัดสินใจบอกความจริงกับชายหนุ่มโดยไม่คิดจะยืดเยื้อหรือทำให้ยุ่งยากวุ่นวายใจอีกต่อไป
“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ เพียงแต่เอ่อ...”
“กั้ง”
ทุกคนหยุดชะงักทันทีเมื่อใครคนหนึ่งยืนขวางทางเดินข้างหน้า แอน หยาดและกุ๊กเผลออ้าปากค้างอย่างลืมตัวแล้วหุบลงก่อนแมลงจะบินเข้าปาก พร้อมกับหันไปมองเพื่อนที่เดินตามมาข้างหลัง
กังสดาลยืนอึ้ง เพราะไม่คิดว่าจู่ๆ เขาจะปรากฏตัวต่อหน้าหล่อนและเพื่อนๆ โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า
“คุณมาทำอะไรคะ” หญิงสาวก้าวผ่านทุกคน ออกมายืนตรงหน้าร่างสูง แต่เขามองผ่านสาวๆ ที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพราะเดาออกตอนนี้เองว่าเขาคือใคร แล้วลากสายตาเลยไปยังร่างสูงของหนุ่มหล่อหน้าใสที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด และกำลังมองตรงมายังเขาเช่นกัน ก่อนจะหลุบตามองคนตัวเล็กตรงหน้า ริมฝีปากได้รูปแย้มออกนิดๆ
“แค่ผ่านมาเฉยๆ กินข้าวอิ่มแล้วเหรอ” แม้จะเป็นเพียงคำถามเรียบๆ แต่กลับทำให้หญิงสาวรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะแววตาคมคู่นั้นกำลังส่งยิ้มมาให้
“เรียบร้อยแล้วค่ะ พวกเรากำลังเข้าบริษัทพอดี คุณจะเข้าไปด้วยกันไหมคะ”
ชายหนุ่มมองหญิงสาวนิ่งอยู่อึดใจก่อนตอบ
“ฉันเดินไปส่งแล้วจะกลับ มีงานต้องไปจัดการต่อ” บอกพลางเงยหน้าขึ้นมองสาวๆ อีกสามคน กังสดาลหันตามแล้วแก้มร้อนเมื่อเพื่อนๆ ต่างยิ้มกรุ้มกริ่ม
“พวกเรา เอ่อ...นี่คือคุณคมน์นะ” แม้พยายามซ่อนเร้นอาการขัดเขินเพียงใดแต่ก็ไม่อาจปิดบังได้ เพราะเพื่อนตัวแสบที่กลั้นยิ้มจนปวดแก้มรีบเปิดยิ้มแฉ่งออกมาทันที
“สวัสดีค่ะ” สามสาวไหว้ทักทายชายหนุ่ม จากนั้นกังสดาลก็เริ่มแนะนำเพื่อนๆ ให้เขารู้จัก จนมาถึงชายหนุ่มหนึ่งเดียวที่ยืนเซ่อเพราะเจอเหตุไม่คาดฝัน “ส่วนคนนี้คือคุณภามพิชญ์ ทำงานอยู่ในตึกเดียวกันค่ะ”
เจ้าของดวงตาคมดุปรายตามองฝ่ายนั้นแวบหนึ่งพร้อมโน้มศีรษะทักทาย
“ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ”
หลังจากรู้จักกันแล้ว เขาก็เดินเคียงไปกับหญิงสาว ปล่อยให้คนทั้งสี่เดินตามด้วยความคิดมากมายโดยเฉพาะภามพิชญ์ เพราะยังไม่ทันได้เริ่มอะไรสักนิด ก็หมดสิทธิ์เสียแล้ว
แอน หยาด และกุ๊กต่างสบตากันยิ้มๆ ลืมใครบางคนที่เดินตามหลังไปชั่วครู่ เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับผู้มาใหม่ ซึ่งเป็นคนที่ส่งเสียเลี้ยงดูเพื่อนรักของพวกตนมาโดยตลอด ไม่มีใครเคยคิดว่าผู้ปกครองของเพื่อนจะหน้าตาดีมากขนาดนี้
“ชีวิตยัยกั้งเหมือนนางเอกนิยายเลยเนอะ” กุ๊กแอบกระซิบเบาๆ ทำให้เพื่อนอีกสองคนพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย
“จริง ดูคุณพ่อทูนหัวของมันสิ ดาร์ก ทอล แอนด์ แฮนด์ซั่ม ยังไม่แก่สักกะนิด ดูดีสุดๆ” หยาดกระซิบ ท่าทางตื่นเต้นกว่าใครๆ
“ทำไม แกชอบแบบนี้เหรอ” กุ๊กถาม อีกฝ่ายจึงพยักหน้ายิก
“อือ ฉันชอบแบบนี้ คนของคุณเขามีแบบนี้บ้างไหมนะ”
“เห็นยัยกั้งว่าเป็นแบบนี้ทั้งหมด”
หยาดดีดนิ้วเปาะ นัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
“ฉันขอคนหนึ่ง อีฟโป๊ะเป๊ะจองก่อนมีสิทธิ์เลือกก่อน”
กุ๊กกลอกตาไปมากับความบ้าบอของเพื่อน
“เออ แกนี่นะเป็นเอามาก”
“ไม่รู้ละ ฉันจองแล้ว ต้องได้เลือกก่อน”
แอนหัวเราะขัน ก่อนจะนึกได้ว่ายังมีใครอีกคน เมื่อหันไปมองก็พบว่าเขาเดินตามมาห่างๆ หน้าตาดูหมองเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด หัวใจของแอนเกิดอาการวูบโหวงด้วยความสงสารเขาจับใจ
“ท่าทางดิบๆ ออกแนวแบดบอยแบบนี้ใช่เลย”
หยาดชวนเพื่อนคุยเบาๆ สายตาก็เฝ้าสำรวจอีกฝ่ายไปพลาง
“แหมย้ำจังนะ” กุ๊กกระเซ้าเพื่อน แต่แอบเห็นด้วยกับอีกฝ่าย ปกติหล่อนไม่เคยนิยมหนุ่มมาดนี้นัก แต่เมื่อมาเจออธิคมน์รู้สึกจะต้องยกเว้นเอาไว้เป็นกรณีพิเศษ เพราะดูดีจนหล่อนอยากเปลี่ยนแนวดูบ้าง
“ก็ฉันชอบ หล่อแบบเถื่อนๆ ดิบๆ เรียลดี”
ทั้งสามมองตรงไปยังคนตัวโตที่ใส่ชุดดำทั้งชุด ท่อนบนเป็นเชิ้ตเนื้อดีพับแขนเสื้อขึ้นมาถึงข้อศอก สอดชายเสื้อเข้าไปในกางเกงยีน และคาดทับด้วยเข็มขัด สวมรองเท้าหนังหุ้มส้น ทั้งชุดเป็นสีดำทั้งหมด แต่กลับส่งให้คนตัวโตกำยำดูเพรียวลงและดูดีอย่างมาก
“ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าใส่ชุดดำยังไงให้ไม่ดูเหมือนเพิ่งกลับมาจากงานศพอะ”
หยาดหันไปกระเซ้ากับกุ๊ก เพราะเพื่อนรักมักค่อนแคะคนที่ใส่ชุดดำทั้งชุดว่าทำเหมือนเพิ่งกลับมาจากงานศพอย่างไรอย่างนั้น
“แหม ยกให้คนหนึ่งแล้วกัน” กุ๊กเอ่ยอุบอิบ สีหน้าอมยิ้ม ยอมรับว่าผู้ปกครองของเพื่อนดูดีจนต้องมองซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้ว่าความเป็นจริงเขาจะไม่ได้หล่อเหลาปานดารา แต่กลับคมคายสะดุดตาเสียอย่างนั้น หากวันหนึ่งเขาเกิดนึกอยากแสดงละครขึ้นมา อย่างน้อยๆ คงได้รับบทนำเป็นตัวร้ายที่หน้าตาท่าทางเข้าทีดีมากๆ โดยเฉพาะรูปร่างของเขาที่ทั้งสูงใหญ่ หุ่นก้านดีกว่าพระเอกดังบางคนที่บอบบางอ้อนแอ้นจนอุ้มนางเอกเข้าฉากแทบไม่ไหวด้วยซ้ำไป
ดูอย่างสาวๆ แถวนี้สิ ขนาดเดินผ่านไปแล้วยังเหลียวหลังหันกลับมามองตามเขาตาเป็นมันเชียว