๔
เป็นเมียมาเฟียต้องอดทน
กังสดาลตื่นขึ้นพร้อมความรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว โดยเฉพาะตรงจุดอ่อนไหวนั้นบอบช้ำมากที่สุด ร่างเล็กกระชับผ้าห่มปิดทรวงอกแล้วมองไปรอบๆ ทว่าข้างกายกลับว่างเปล่า ทิ้งไว้เพียงรอยยับยู่ยี่ ไร้เงาของผู้ที่ร่วมเรียงเคียงหมอนมาตลอดคืน
หญิงสาวก้มลงมองตัวเองแล้วต้องยอมรับอยู่เงียบๆ ว่า กังสดาลในวันนี้ไม่มีอะไรเหมือนกับกังสดาลคนเมื่อวานอีกต่อไป หล่อนไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาอีกแล้ว อธิคมน์พาหล่อนก้าวข้ามความไร้เดียงสา ผ่านค่ำคืนแสนเร่าร้อนที่ยากจะลืมเลือน
หญิงสาวลากสังขารอันกะปลกกะเปลี้ยตรงไปยังห้องน้ำ เมื่อมองเข้าไปในกระจกเงาก็ต้องตกใจ เพราะเนื้อตัวของหล่อนเต็มไปด้วยร่องรอยเป็นจ้ำช้ำ เข้มบ้าง จางบ้าง ประปราย...
สิ่งที่เห็นทำให้ต้องถอนหายใจยาว ก่อนปล่อยให้สายน้ำพร่างพรูราดรดตัว ชำระล้างคราบคาวที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนจนเกือบรุ่งสาง ตลอดคืนอันแสนยาวนานอธิคมน์สอนให้รู้จักความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงอย่างถ่องแท้
คนตัวบางยืนนิ่งที่หน้ากระจก คนในนั้นหน้าตาผ่องใสแทนที่จะอ่อนเพลียอย่างที่ควรจะเป็น อีกทั้งแววตายังกระจ่างจนน่าหมั่นไส้ยิ่ง พลันก็ยกมือขึ้นทาบแก้มนวลเปล่งปลั่งด้วยความรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งดวงหน้าเมื่อคิดถึงของขวัญชิ้นโตที่เขามอบให้จนแทบรับเอาไว้ไม่หมด...
บ้าจริง...แล้วจะออกไปเจอหน้าเขาได้อย่างไรกัน
แต่ไม่ว่าอย่างไรหล่อนก็ไม่สามารถที่จะทำตัวเป็นนางอายอยู่แต่ในห้องได้ จึงรวบรวมความกล้าตรงไปเปิดประตูแล้วออกไปด้านนอกด้วยหัวใจที่เต้นถี่รัว
เสียงพูดคุยเบาๆ ที่ดังมาจากห้องรับแขกทำให้หญิงสาวมองออกไป พลันฝ่าเท้าเรียวชะงักเมื่อพบว่า อธิคมน์ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง แต่มีผู้ชายร่างกำยำสวมเชิ้ตสีดำสองคนและน้ำเงินเข้มอีกหนึ่งคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามชายหนุ่ม หนึ่งในสามคนคือนพ คนที่หล่อนคุ้นหน้าคุ้นตามากที่สุด อีกสองคนเพียงคลับคล้ายคลับคลาทว่าจำไม่ได้ว่าเป็นใคร
แต่แล้วหญิงสาวก็ใจกระตุกด้วยความตกใจเมื่อหนึ่งในนั้นเงยหน้าขึ้นมาเจอหล่อนเข้าพอดี ทำให้คนอื่นๆ หันมามองหล่อนเป็นตาเดียว
หญิงสาวทำตัวไม่ถูกอยู่ครู่เดียวและกำลังจะหมุนตัวกลับ แต่อธิคมน์ก็ลุกจากโซฟาแล้วเดินตรงมาหาหล่อนเสียก่อน
แก้มนวลร้อนผ่าวเมื่อคนตัวโตหยุดลงตรงหน้า เขาใช้สายตาคมกริบคู่นั้นมองหญิงสาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า วันนี้กังสดาลอยู่ในชุดเดรสแขนกุดผ้าลินินสีเหลืองอ่อนยาวเสมอเข่า ดูน่ารักน่าใคร่สมวัยหล่อนนัก สายตาคมเข้มทำให้คนถูกมองแก้มร้อนฉ่า ก้มหน้าลงด้วยความขัดเขิน แต่เมื่อเงยหน้าชายหนุ่มก็โน้มลงมาพร้อมกับจูบหน้าผากมนหนักๆ หนึ่งครั้งทำเอาคนถูกจูบใจเต้นโครมคราม และเมื่อมองไปยังโซฟาหล่อนก็ต้องผ่อนลมหายใจยาวเพราะไม่มีใครสนใจมองมายังเขาและหล่อน แต่จะว่าไปพวกเขาอาจไม่ได้รับอนุญาตให้มองก็เป็นได้
“อรุณสวัสดิ์ รีบลุกขึ้นมาทำไม ถ้าไม่ไหวจะนอนต่อก็ได้นะ” เขาไม่พูดเปล่าแต่ยังยกมือขึ้นสอดเข้าไปใต้พวงผมอ่อนนุ่มที่ปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง แล้วลูบไล้ต้นคอระหงพร้อมกับรั้งร่างเล็กเข้าไปหา หญิงสาวใจเต้นแรงอีกครั้งเมื่อเขาโน้มใบหน้าลงมาแล้วบดจูบลงบนเรียวปากอิ่มสีเรื่อ นานครึ่งนาทีเขาจึงยอมผละออกแล้วถาม
“หิวไหม ถ้าหิวไปหาอะไรกินในครัวก่อน อาหารเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว ฉันคุยงานอีกนิดหน่อยแล้วจะตามไป”
เจ้าของดวงตาสีเข้มกับใบหน้าครึ้มๆ ด้วยไรหนวดเพราะคงไม่ทันได้โกนก็ออกมาจากห้องนอนเสียก่อนมองหล่อน ริมฝีปากได้รูปมีรอยยิ้มแต้มมานิดๆ
“ค่ะ” หญิงสาวรีบตอบรับเพราะไม่อยากอยู่ใกล้เขานานนักและไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาลูกน้องของเขาจึงรีบหมุนตัวเดินจากมา เมื่อเข้ามาในห้องครัวก็เป่าลมหายใจฟู่
ทันทีที่อธิคมน์นั่งลงเขาก็ได้เห็นสายตาล้อเลียนของลูกน้องตัวดี ดวงตาคมเข้มจึงถลึงใส่คนเหล่านั้น แต่เพียงเสี้ยววินาทีต่อมาพวกมันก็หัวเราะครืนอย่างรู้ใจเจ้านาย
“พวกมึงนี่นะ” อธิคมน์ไม่จำเป็นต้องพูดสุภาพเมื่ออยู่กับลูกน้องคนสนิทที่ล้มลุกคลุกคลานและเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาด้วยกัน รักกันเหมือนพี่เหมือนน้องคลานตามกันมา กระทั่งตายแทนกันยังได้ แต่คนเหล่านั้นเองก็รู้ดีว่าเวลาไหนควรแหย่และเวลาไหนควรหยุด
“หวงเหรอเฮีย” โดมกระเซ้าลูกพี่ หน้าตายิ้มกริ่ม น่าโดนถีบ แต่คนถูกแหย่ยังทำหน้าตาเฉย
“เฮียอย่าหักโหมมากนะ สงสารเด็กมัน” สิ้นเสียงของริว นพก็ตวัดสายตามอง
“พวกมึงนี่ชักเอาใหญ่” กำราบพรรคพวกแทนลูกพี่ ก่อนหันมาบอก “แต่จะว่าไปก็จริงนะเฮีย สงสารน้อง”
ไม่พูดเปล่า แต่นพยังทำหน้าทำตาให้รู้ว่ากำลังสงสารกังสดาลมากแค่ไหนที่ต้องมาอยู่กับคนที่มีพลังเหลือเฟือแบบเขา
อธิคมน์ปรายตามองลูกน้องทั้งสาม พลางพูดออกมาประโยคหนึ่ง
“พวกมึงก็รู้ ของอะไรที่สำคัญสำหรับกู กูไม่มีวันทำพัง เพราะฉะนั้น อย่าทำเป็นไม่รู้จักกู”
ได้ยินแบบนั้นทั้งสามต่างปรายตามองกันอย่างพอใจ อันที่จริงพวกเขาไม่ได้คิดแบบนั้นสักนิด เพราะรู้ดีว่าลูกพี่ของพวกตนเป็นคนอย่างไร สำหรับผู้หญิงอื่น อธิคมน์อาจไม่ทะนุถนอมนัก แต่ไม่ใช่กับกังสดาลอย่างแน่นอน
บริเวณบ้านเดี่ยวสองชั้นมีพื้นที่มากกว่าหนึ่งไร่เศษ ตัวบ้านเป็นปูนกึ่งไม้ตามสมัยนิยม การตกแต่งโดยรอบก็ดูดีแบบฉบับบ้านของเศรษฐีทั่วไป ทว่าคนวงในต่างรู้ดีว่านอกจากบ้านหลังนี้แล้วนายภิญโญและครอบครัวก็ไม่เหลืออะไรให้เชิดหน้าชูตาอีกต่อไป
“เราจะทำอย่างไรกันดีคะคุณพี่” คุณนายสุดาที่นั่งบนโซฟาหลุยส์อย่างกระสับกระส่ายเอ่ยถามสามี
“พี่ก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน” ชายวัยกลางคนร่างสูงผอมที่เดินกลับไปกลับมาตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดจัด หน้าตาดำคล้ำไร้สง่าราศีเหมือนอย่างเคย
คุณนายสุดาเองก็ไม่ต่างจากสามี นางมีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด เพราะหากไม่ได้เงินก้อนใหญ่ภายในหนึ่งเดือน ทั้งตนและคู่ชีวิตคงไม่มีที่ซุกหัวนอนเป็นแน่คราวนี้
“ยัยก้อยติดต่อกลับมาหรือยัง” นายภิญโญเอ่ยถามถึงลูกสาวคนเดียวที่เวลานี้ใช้ชีวิตอยู่กับสามีนักธุรกิจ แรกๆ ลูกสาวก็แวะเวียนมาเยี่ยมมาเยือน แต่นานเข้าก็ค่อยๆ ห่างเหินไปทีละนิด จนเหลือแค่ปีละครั้งที่จะได้พบหน้าค่าตากัน
“ยังเลยค่ะ” เมื่อคิดถึงลูกสาว ก็ทั้งโกรธและผิดหวัง
“อาศัยไม่ได้! ได้ดิบได้ดีแล้วลืมพ่อแม่!” นายภิญโญคำรามเสียงขรม ทำให้คนเป็นภรรยาเม้มปากแน่น นางเองก็รู้สึกโกรธลูกสาวเช่นเดียวกัน เพราะตั้งแต่กรธิดาออกจากบ้านไปคราวนั้น ลูกสาวก็ห่างหายไป ลูกเขยของนางยิ่งไม่เคยพูดคุยกัน เย่อหยิ่งจองหองเสียไม่มี ทันใดนั้นคุณนายสุดาก็คิดถึงหลานสาวที่แทบลืมเลือนขึ้นมาได้
“คุณคะ! ฉันคิดอะไรออกแล้ว” คุณนายสุดายิ้มด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง แววตาที่มองมาอย่างเรืองรองทำให้ผู้เป็นสามีเกิดความหวังตามไปด้วย
“คุณคิดอะไรออก”
คุณนายสุดากระหยิ่มยิ้มย่อง
“เราลืมยัยกั้งหลานสาวคุณไปได้ยังไงคะ ฉันได้ข่าวว่าไอ้กุ๊ยนั่นมันส่งยัยกั้งไปเรียนถึงเชียงใหม่ นับเวลาดูแล้วตอนนี้ก็น่าจะเรียนจบพอดี ฉันว่าคุณลองติดต่อไปหามันดูดีกว่านะ ยังไงเสียมันก็ต้องนึกถึงบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่ราดรดหัวมันมาบ้างแหละน่า ถ้ารู้ว่าเรากำลังลำบาก มันจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ”
ความคิดของภรรยาทำให้นายภิญโญยิ้มบางๆ แต่แล้วเมื่อคิดถึงสิ่งที่พวกเขาได้กระทำต่อเด็กสาวโดยส่งตัวหล่อนเข้าไปในวงล้อมของหมาป่าแบบนั้นโดยไม่ไปรับตามคำสัญญาก็ให้รู้สึกลังเล กังสดาลจะรู้สึกเช่นไร เสียใจ น้อยใจหรือโกรธเกลียดพวกตนแค่ไหนกัน แล้วแบบนี้เด็กสาวยังจะยอมช่วยเหลือเขาและครอบครัวอยู่อีกหรือไม่
“คุณพี่คิดอะไรอยู่หรือคะ” คุณนายสุดากดสายตามองสามีที่มีสีหน้ากลัดกลุ้มและเงียบไปอึดใจใหญ่
นายภิญโญเดินกลับไปนั่งบนโซฟาหลุยส์ข้างๆ ภรรยา ท่าทีหมกหมุ่นไม่ได้คลายลงจากเดิมนัก
“พี่ไม่แน่ใจว่ายัยกั้งจะยอมช่วยเรา” เขาตอบออกมาในที่สุด ทว่าเป็นสิ่งที่คุณนายสุดาไม่อาจรับได้
“ต้องยอมสิคะ! เราเลี้ยงดูปูเสื่อมันมาอย่างดี ตอนนี้เราลำบากมันก็ต้องช่วยเราบ้าง”
นายภิญโญส่ายหน้าขณะมองภรรยา นางลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าทำอะไรไว้กับเด็กสาวคนนั้นเอาไว้บ้าง
“คุณนี่ท่าจะความจำเสื่อม”
คุณนายสุดาผงะหน้าหนีทันทีเมื่อถูกสามีตำหนิซึ่งหน้า ก่อนจะร้อนวูบวาบด้วยความโกรธ
“เอ๊ะ ฉันความจำเสื่อมยังไงคะ คุณพี่พูดมาดีๆ นะ”
นายภิญโญทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ก่อนจะตอบออกมาอย่างหงุดหงิด
“ก็พวกเราไม่ใช่เหรอที่ส่งมันไปอยู่กับไอ้คมน์แทนลูกสาวของเราไง ยังคิดอยู่อีกเหรอว่ามันจะยอมช่วย ดีไม่ดีถ้าเกิดมันบอกให้ผัวมันฆ่าเราทิ้งจะทำไงล่ะทีนี้”
คุณนายสุดาชะงักอึ้งลงทันทีที่สามีตอบกลับมา นางไม่เคยลืมหรอกว่าส่งเด็กสาวไร้เดียงสาคนนั้นเข้าถ้ำเสือแทนลูกสาว แต่ความเห็นแก่ตัวอย่างที่สุดทำให้นางคิดถึงแต่ครอบครัวของตนเองเท่านั้น จึงไม่เคยมีความเมตตาปรานีหรือรู้สึกผิดต่อเด็กสาวที่ขาดพ่อไร้แม่ เข้ามาอาศัยใบบุญของตนและสามีอยู่ชั่วคราว เมื่อสบโอกาสจึงส่งเด็กสาวไปอยู่กับบุคคลแสนอันตรายแทนลูกสาวคนเดียว เพื่อลบล้างหนี้สินก้อนใหญ่ที่ติดค้างกันมานาน
“แต่ถึงยังไงเราก็...”
“เลิกคิดเถอะคุณ อยากถูกจับไปนั่งยางหรือไง คุณก็รู้ว่าพวกไอ้คมน์มันร้ายแค่ไหน คุณไม่เข็ดหรือไง จำไม่ได้แล้วหรือตอนมันสั่งให้ลูกน้องเข้ามาพังข้าวของในบ้านเราเป็นการสั่งสอน ผมนึกว่าจะต้องตายเสียแล้ว ยังนึกแปลกใจที่มันไม่ฆ่าพวกเราแต่กลับยอมรับยัยกั้งเอาไว้แทนยัยก้อย ยังกลัวว่าพวกมันจะตามมาเอาลูกสาวเราไปทีหลัง แต่มันกลับเงียบ มิหนำซ้ำยังเลี้ยงหลานของผมเอาไว้เสียดิบดี ผมว่าพวกเราอย่าไปยุ่งกับมันอีกเลยนะ”
คำอธิบายยาวเหยียดของนายภิญโญไม่ได้ทำให้คุณนายสุดาหยุดคิดเรื่องนั้น แต่ยิ่งเจ็บใจมากขึ้นเป็นเท่าตัว
“ถ้ารู้ว่ามันจะดูแลยัยกั้งดีขนาดนั้น แถมยังมีบอดีการ์ดคอยคุ้มครองราวกับเป็นเจ้าหญิงตลอดเวลา ฉันคงส่งยัยก้อยไปให้มันเสียตั้งแต่แรกแล้ว เจ็บใจนัก ดันส่งลูกคนอื่นไปได้ดิบได้ดีเสียนี่!! แถมเราเองก็ไม่ต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจอยู่อย่างนี้ด้วย”
คุณนายสุดาก่นด่าโชคชะตาที่เล่นตลกกับครอบครัวของนาง เพราะเมื่อไม่นานมานี้ยังได้ยินมาว่าอธิคมน์ดูแลกังสดาลเป็นอย่างดี มิหนำซ้ำยังแผ่อิทธิพลไปในหลายพื้นที่ มีทรัพย์สินมากมายมหาศาล หากนางส่งกรธิดาไปแทนกังสดาลตั้งแต่แรกทุกคนจะมีความเป็นอยู่อย่างสุขสบายขนาดไหนนะ...
นายภิญโญเองก็เห็นด้วยไม่น้อย เขาครุ่นคิดถึงหลานสาว พลางถอนหายใจเฮือกๆ แล้วเงยหน้าขึ้นเมื่อภรรยากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ฉันว่าเรามีทางรอดแล้วนะคะคุณ”
ดวงตาเป็นประกายวาววับของคู่ชีวิต ทำให้นายภิญโญขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจ
“คุณคิดจะทำยังไงเหรอ”
เจ้าของใบหน้าอวบอิ่มสบตาสามีพลางเหยียดยิ้มด้วยความสุขใจกับแผนการใหม่ของตน
สามวันมาแล้วที่กังสดาลใช้ชีวิตอยู่กับอธิคมน์ หล่อนสังเกตว่าช่วงกลางวันชายหนุ่มจะอยู่ที่เพนต์เฮาส์เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ตอนกลางคืนเขาจะหายออกไปข้างนอกกับลูกน้องคนสนิท แล้วทิ้งนพเอาไว้ที่นี่เพื่อดูแลหล่อน ทว่าเขาออกไปเพียงไม่นานก่อนจะกลับเข้ามาและอยู่กับหล่อนไปจนเช้าเหมือนทุกวัน
วันนี้ชายหนุ่มกับลูกน้องคนสนิทยังคงนั่งปรึกษากันอยู่ที่ห้องรับแขกเช่นเคย หน้าตาของเขาดูสงบนิ่ง ทว่าแววตาดุดันราวกับเสือที่เตรียมพร้อมตะครุบเหยื่อทุกวินาที
“แล้วเฮียจะเอาไงเรื่องเสี่ยชัย” โดมเอ่ยถาม ท่าทีขึงขังจากลูกน้องบอกให้รู้เป็นนัยว่าคันไม้คันมือเต็มที
“ปล่อยไปก่อน ระหว่างนี้จับตาดูเอาไว้ ถ้าพวกนั้นคิดลงมือขึ้นมาเมื่อไรจัดการมันได้เลย”
คำตอบของลูกพี่ใหญ่ทำให้คนทั้งสามมีนัยน์ตาวาววาบขึ้นอย่างพอใจในคำตอบ
เสี่ยชัย หรือนายทรงชัย คือคู่ปรับคนสำคัญของอธิคมน์มาช้านาน เรียกได้ว่าตั้งแต่เขายังเป็นลูกน้องคนสนิทของนายอำนาจ เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจนกระทั่งนายอำนาจวางมือจึงมอบกิจการบ่อนขนาดใหญ่ให้กับเขาดูแลสานต่อเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจ และรักในนิสัยใจคอที่จริงจัง กล้าได้กล้าเสียของชายหนุ่ม นานเข้าจากสายตาที่มองอย่างลูกน้องก็ค่อยๆ พัฒนาและแปรเปลี่ยนเป็นมองอย่างลูกชายคนหนึ่ง ในที่สุดจึงยกกิจการและทรัพย์สินทั้งหมดให้ เมื่อนายอำนาจเสียชีวิตลงอธิคมน์จึงเริ่มปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ที่หละหลวมให้แข็งแกร่งรัดกุมยิ่งกว่าที่ผ่านมา
ระหว่างนั้นเขาถูกญาติของนายอำนาจคุกคามอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะศักดิ์ หลานชายจอมเกเรที่แค้นใจเมื่อนายอำนาจยกทุกอย่างให้กับเขาแทนที่จะเป็นหลานของตนเอง จึงกลั่นแกล้งสารพัด คอยขัดแข้งขัดขาและยังเข้าทางนายทรงชัย เจ้าของธุรกิจผิดกฎหมายทุกประเภทที่มากไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม แต่ใช่ว่าอธิคมน์จะเสียเปรียบ ถ้านายทรงชัยมีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลัง เขาเองก็มีเช่นกัน ทั้งเขี้ยวเล็บและอิทธิพลมืดไม่ได้ยิ่งหย่อน คิดจะโค่นล้มเขา มันไม่ง่ายขนาดนั้น...
“เฮียจำลุงกับป้าของคุณกั้งได้ไหม คนที่ส่งเธอมาหาเฮียแทนลูกสาวตัวเองน่ะ” ริวเอ่ยถาม
นัยน์ตาของอธิคมน์หรี่แคบลงเมื่อคิดถึงสองผัวเมียตัวแสบคู่นั้น ส่วนคนถามสบตาลูกพี่ยิ้มๆ แล้วเอ่ยต่อไปว่า
“ตอนนี้ได้ข่าวมาว่ากำลังแย่เลยครับ บ้านกำลังจะถูกยึดอีกแล้ว ส่วนลูกสาวก็แต่งงานไปกับนักธุรกิจถังแตก หลังๆ แทบไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านเพราะถูกสูบเลือดสูบเนื้อไม่หยุดหย่อน” ริวเอ่ยอย่างนึกสนุก
อธิคมน์มองลูกน้องผ่านม่านสีเทาก่อนขยี้ปลายบุหรี่ลงในจานแก้วสีใส
“ไม่ใช่เรื่องของเรา แค่ดูแลอย่าให้มายุ่งกับกั้งก็พอ” เขาตอบราวกับรู้ล่วงหน้าว่าสองผัวเมียกำลังคิดจะทำอะไรอยู่
หลังจากนั้น คนสนิททั้งสามก็กลับไปยังห้องข้างเคียงเพื่อพักผ่อนและคอยดูแลความปลอดภัยให้กับผู้เป็นนายและผู้หญิงของเขาในเวลาเดียวกัน
เมื่อลูกน้องกลับออกไปจนหมด ชายหนุ่มก็เริ่มนัวเนียหญิงสาวอีกครั้งและไม่มีโอกาสได้ลงจากเตียงอีกจนกระทั่งถึงเวลาอาหารมื้อเที่ยง
กังสดาลลอบมองเสี้ยวหน้าคมเข้มของคนตัวโตที่โอบเอวหล่อนเอาไว้ด้วยท่อนแขนข้างหนึ่งหลังจากที่ย้ายมานั่งในห้องนั่งเล่น ส่วนมืออีกข้างก็กำลังพิมพ์ข้อความยุกยิกลงในสมาร์ตโฟนราคาเฉียดแสน ขณะเดียวกันเสียงรายการทีวีที่เขาเปิดทิ้งไว้ก็ดังออกมาเบาๆ
หน้าตาของเขาดูเรียบเฉยยามพิมพ์ข้อความตอบโต้ แต่กลับน่าเกรงขามขึ้นเมื่อเขาขมวดคิ้วไม่ชอบใจอะไรสักอย่าง ระหว่างนั้นยังไม่ลืมที่จะเบนหน้ามาจูบหน้าผากของหล่อนไปพลาง หญิงสาวเพิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนที่ทำอะไรได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน
ติ๊ง...
เสียงข้อความดังมาจากสมาร์ตโฟนของกังสดาลบ้าง แต่ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาจากโต๊ะตรงหน้า หญิงสาวไม่ลืมสบตาคมกริบที่หลุบลงมองมาแวบหนึ่ง แต่เมื่อเห็นหญิงสาวมีท่าทางอึกๆ อักๆ เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบ
“จะไม่ดูหน่อยเหรอ”
เขาพูดเชิงอนุญาตแต่ทำไมแววตาจึงน่ากลัวนักนะ หญิงสาวอดคิดไม่ได้จำต้องขยับตัวทำท่าถอยห่างเพื่อหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดู ทว่าคนหน้านิ่งแต่เกเรที่สุดในความรู้สึกของกังสดาลกลับไม่ยอมปล่อยมือที่กอดรัดหล่อนเอาไว้ หญิงสาวจึงมองหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว
“จะไม่ปล่อยกั้งสักหน่อยเหรอคะ”
อธิคมน์สบตากลมโตคู่หวานที่มองมานั้นแล้วยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง
“ไม่” ไม่พูดเปล่า เขายังยกร่างบางขึ้นไปนั่งบนตักกว้างทันทีที่ขาดคำ ทำเอากังสดาลอุทานออกมาเบาๆ พร้อมกับนวลแก้มที่ร้อนผ่าวและแดงเรื่อขึ้นทันตาเห็น
ชายหนุ่มมองท่าทางเขินอายของหญิงสาวด้วยสายตาพอใจอย่างล้ำลึก
“ก็ดูไปสิ ใครว่าอะไร” เขาบอกหน้าตาเฉยแล้วหันไปสนใจกับการสั่งงานของตัวเองผ่านสมาร์ตโฟนอีกครั้ง หญิงสาวได้แต่มองค้อนแวบหนึ่งแล้วหยิบสมาร์ตโฟนของตนเองขึ้นมาเปิดดูข้อความเมื่อครู่
‘ไงกั้ง ผู้คุมของแกส่งแกถึงที่ปลอดภัยแล้วใช่ไหม แล้วเจอกับคุณพ่อทูนหัวหรือยัง ตอนนี้พวกฉันขึ้นมาที่กรุงเทพฯ แล้วนะ เช่าห้องพักอยู่แถว... ฉันกับนังแอน แล้วก็นังหยาดเลยอยากจะนัดเจอแกน่ะ มาเลี้ยงฉลองกันเฉพาะพวกเราสี่คน ก่อนแยกย้ายไปทำงาน’
‘ถ้าได้ความว่าไงตอบด้วยเน้อ จากกุ๊กกุ๊ก คนสวย’
กังสดาลเผลอยิ้มกับข้อความของเพื่อนสนิทที่แอบเรียกอธิคมน์แบบนั้นมาช้านาน นั่นเป็นเพราะตลอดระยะเวลาสี่ปีที่หล่อนศึกษาอยู่ที่นั่น เขาไม่เคยปรากฏตัวเลยสักครั้งเดียว นอกจากจะส่งเสียเลี้ยงดูพร้อมกับส่งผู้คุมหน้าโหดมาดูแลอีกหนึ่งคนเท่านั้น
หญิงสาวคลายยิ้มก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองคนหน้าเข้มติดจะดุกระด้างอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่สนใจมองหล่อนจึงรีบพิมพ์ตอบกลับไปทันที
ชายหนุ่มหลุบตามองหล่อนแวบหนึ่งพร้อมกับริมฝีปากที่หยักยกขึ้นก่อนเลือนหาย
‘ทุกอย่างเรียบร้อยดี ที่พักของพวกแกอยู่คนละทางกับที่พักของฉันเลย แต่ไม่มีปัญหา ถ้าจะไปก็ขึ้นรถไฟฟ้าไปไม่นานก็ถึง ส่วนเรื่องเลี้ยงฉลอง ฉันขอให้คำตอบทีหลังนะ คิดถึงพวกแกทุกคนเลย’
หญิงสาวขยับตัวอย่างอึดอัดเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างครุ่นคิดว่าจะพูดอย่างไรเขาจึงจะอนุญาตให้หล่อนออกไปพบเพื่อนๆ
อาการขยุกขยิกของคนบนตักไม่ได้ทำให้เขารำคาญหรอก แต่หล่อนคงไม่รู้ว่ากำลังปลุกบางอย่างที่เพิ่งหลับใหลไปได้ไม่นานให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้
“เป็นอะไร” เสียงทุ้มๆ เอ่ยถามออกมาพร้อมกับวางสมาร์ตโฟนของตนลงบนโต๊ะตรงหน้า แล้วสบตากลมโตที่กำลังมองเขา หญิงสาวหลุบตามองที่กระดุมเสื้อคอโปโลสีน้ำเงินเข้มของเขาที่กอดหล่อนเอาไว้ชั่วอึดใจ
“คือว่า เพื่อนที่มหา’ลัยขึ้นมากรุงเทพฯ ก็เลยชวนกั้งออกไปเลี้ยงฉลองกันข้างนอก”
ระหว่างนั้นบรรยากาศตกอยู่ในความเงียบงันไปชั่วครู่ มีเพียงเสียงเสียดสีจากฝ่ามือใหญ่ที่ลูบไล้ต้นขาอวบอิ่มของหล่อนด้วยท่าทางเพลิดเพลิน แต่หล่อนรู้ดีว่าหากขยับเพียงนิดมือข้างนั้นพร้อมจะตะครุบลงมาทันที
“กี่คน” ถามพลางกดริมฝีปากลงบนขมับหอมกรุ่นของหญิงสาว ทำเอาคนถูกจูบเบาๆ ร้อนวูบวาบ
“เอ่อ สามค่ะ รวมกั้งด้วยเป็นสี่คนพอดี” ตอบพลางเอียงแก้มหนีแต่กลายเป็นว่าหล่อนเอียงแก้มให้เขาจูบไซ้อย่างถนัดถนี่มากยิ่งขึ้น
“เพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชาย” ริมฝีปากได้รูปซุกลงตรงซอกคอระหง ร่องรอยเดิมยังไม่ทันจาง เขาก็นึกอยากทำรอยใหม่ขึ้นมาเสียแล้ว
ขนอ่อนๆ ของกังสดาลลุกชันไปทั้งร่างเมื่อเขาทำท่าว่าอยากจะทำอย่างอื่นมากกว่าเอ่ยถามเรื่องของหล่อน
“เอ่อ ผะ..ผู้หญิง ทั้งหมดค่ะ” น้ำเสียงของหญิงสาวเริ่มสั่นพร่า เมื่อริมฝีปากและมือไม้ของเขาไม่อยู่นิ่งเอาเสียเลย
“ฉลองที่ไหน” ถามพลางขบเม้มใบหูบอบบาง แล้วฉกลิ้นแหย่เย้าจนหญิงสาวสั่นยะเยือก
“คะ...คุณคมน์” กังสดาลรู้สึกตื่นตัวเมื่อถูกเขาปลุกเร้า สติกระเจิดกระเจิงจนสมองอื้ออึงลืมเลือนไปว่าต้องตอบเขาว่าอย่างไร
“ว่าไง ที่ไหน” เขาย้ายจากใบหูบอบบางลงมายังแอ่งชีพจร แลบลิ้นไล้เลียหยอกเย้า จนร่างสาวสะท้านเยือก แต่ยังไม่ทันตอบร่างระหงก็ถูกผ่อนให้นอนลงบนโซฟาเรือนแสนพร้อมกับเดรสสีหวานเนื้อนิ่มถูกรั้งขึ้นจากสะโพกอวบอิ่ม จนหญิงสาวต้องตะครุบเอาไว้
“เอ่อ กั้งก็ยังไม่รู้ค่ะ พะ...เพื่อนยังไม่ได้คอน เฟิร์มมา อื๊อ” เจ้าของเสียงหวานเผลอครางอย่างลืมตัวเมื่อมือข้างหนึ่งของเขาสอดเข้าไปใต้ซับในเนื้อบางที่ห่อหุ้มสะโพกของหล่อนเอาไว้
“งั้นเอาไว้ค่อยตอบทีหลังก็แล้วกัน”
เขากล่าวเพียงแค่นั้นเดรสสีหวานก็ถูกเปลื้องออกจากร่างเล็ก ทุกอย่างรวดเร็วเสียจนหญิงสาวทำอะไรไม่ถูก แต่สมองกำลังครุ่นคิดว่าตั้งแต่ค่ำคืนแรกผ่านมาจนเวลานี้ เขาทำเรื่องอย่างว่ากับหล่อนไปทั้งหมดกี่รอบแล้ว!!