๑๑
พ่อคุณทูนหัว
เหตุการณ์ไล่ยิงกันกลางเมืองโด่งดังไปทั้งประเทศ แต่ไม่มีใครออกมาให้คำตอบว่าฝ่ายใดถูกยิงและฝ่ายใดเป็นผู้ยิง ข่าวนี้แพร่ออกไปเพียงไม่กี่วันก็ถูกข่าวอื่นกลืนกลบจนเงียบหาย ศักดิ์ย่ามใจคิดว่าเรื่องเงียบแล้วจึงถือโอกาสนั้นปรากฏตัวอีกครั้ง ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นรถยนต์ส่วนตัวก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์เข้ามาห้อมล้อม เขาดิ้นรนและต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่เพียงไม่นานก็ร่วงลงอย่างคนสิ้นฤทธิ์
เจ้าของร่างสูงในชุดดำเดินตรงเข้าไปยังร่างหมดสติ ควันบุหรี่ถูกพ่นออกมาอีกครั้งก่อนถูกทิ้งลงบนพื้นพร้อมกับใช้ปลายเท้าบดขยี้จนดับสนิท
“เอามันไป”
ทั้งหมดออกไปจากบ้านเช่าในซอยเล็กเก่าแก่แห่งหนึ่ง มุ่งหน้าตรงไปยังโกดังนอกเมืองที่ภายนอกคล้ายว่าถูกทิ้งร้างเอาไว้เนิ่นนาน แต่ภายในกลับพร้อมพรั่งด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีและต้องใช้ในอนาคต...
ซู่!
เสียงสาดน้ำกระทบร่างโครมใหญ่ทำให้คนที่หมดสติไปกว่าชั่วโมงฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ศีรษะที่ห้อยตกค่อยๆ ผงกขึ้น แต่ต้องตกใจเมื่อพบว่าใครบางคนกำลังนั่งสูบบุหรี่ด้วยสีหน้าท่าทางสบายใจอยู่บนเก้าอี้ตรงหน้า
ศักดิ์มองอธิคมน์นัยน์ตาถลน พลางสะบัดตัวดิ้นรนราวกับหมาถูกน้ำร้อนลวกจากการถูกมัดเอาไว้ ก่อนเงยหน้ามองขึ้นไปยังเหนือศีรษะ จึงพบว่ามือทั้งสองข้างของเขาถูกมัดเอาไว้กับเชือกเส้นโตยากที่จะหลุดพ้น จากนั้นกวาดสายตาไปรอบกายเพื่อประเมินสถานการณ์
“พวกมึงมันหมาหมู่! แน่จริงก็ปล่อยกูสิวะ!”
แม้จะมีสภาพที่ดูไม่จืดนัก แต่ศักดิ์ยังปากดีไม่เลิก ไม่ได้สำนึกสักนิดว่าตนเคยทำอะไรไว้
“ถ้าพวกกูเป็นหมาหมู่ มึงมันก็หมาลอบกัดดีๆ นี่เอง” พูดจบเขาก็ทิ้งเศษบุหรี่ลงบนพื้น “เรื่องที่มึงทำให้ผับกูถูกปิดยังไม่กวนใจเท่าที่มึงทำตัวเป็นปลิงสลัดไม่หลุด ตามรังควานกูไม่เลิก บอกตรงๆ นะ ว่าถ้าลุงมึงไม่ขอร้องให้กูไว้ชีวิต ป่านนี้มึงได้เป็นผีเฝ้าหลุมไปนานแล้ว แต่เพราะรับปากท่านเอาไว้ มึงถึงรอดมาได้ตลอด อย่าได้หลงคิดไปเชียวว่ามึงรอดเพราะมึงเก่ง แต่มึงรอดเพราะกูยังอยากให้รอด แต่มึงมันทั้งโง่และดื้อด้าน แทนที่จะไปให้ไกลยังมาวนเวียนอยู่ตรงนี้ คิดหรือว่าพวกของเสี่ยทรงชัยจะอุ้มมึงไว้โดยไม่คิดหาผลประโยชน์จากมึง กูจะบอกอะไรให้เอาบุญ ไอ้เสี่ยมันแค่ร้อยมึงเอาไว้ใช้เหมือนกับที่ร้อยคนอื่นๆ นั่นแหละ”
“กูไม่สน! ฆ่ามึงได้เมื่อไรต่อให้กูตายก็ถือว่าคุ้ม”
อธิคมน์หัวเราะออกมาอย่างนึกขันแกมสมเพช สภาพถูกมัดมือมัดตีนแบบนี้ยังคิดว่าจะหลุดออกมาฆ่าเขาได้ ไอ้หมอนี่มันไม่เคยมีสมองเลยหรือยังไงกัน
“ถ้างั้นมึงตายก่อนกูก็แล้วกัน ส่วนกูยังไม่อยากตายตอนนี้ ไว้เจอกันอีกทีในนรก อย่ารีบไปผุดไปเกิดเสียก่อนล่ะ เดี๋ยวจะคลาดกัน”
พูดจบเขาก็พยักหน้าสั่งลูกน้องให้จัดการกับศักดิ์ ฝ่ายนั้นนัยน์ตาวาวโรจน์ขึ้น เขาดิ้นอย่างรุนแรงเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ก็ถูกคนของอธิคมน์ทำร้ายจนสะบักสะบอม ร้องโอดโอยทว่าเสียงร้องถูกจำกัดอยู่แค่ในลำคอ หน้าตาบวมปูด เนื้อตัวเขียวช้ำ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเปรอะเปื้อนร่างกาย ใบหน้ายับด้วยแผลทั้งเล็กใหญ่ที่มีเลือดไหลโซม
อธิคมน์ขยับเข้าไปใกล้หลังจากสั่งให้ลูกน้องหยุดทำร้ายศักดิ์ เขามองสภาพของหลานชายอดีตเจ้านายเก่าด้วยสายตาสมเพชเวทนา แวบหนึ่งคิดจะไว้ชีวิตอีกสักครั้ง แต่เมื่อศักดิ์เงยหน้าขึ้น แววตาบวมช้ำที่สบมากลับวาววาบโกรธแค้น บอกให้รู้ว่าหากรอดออกไปได้คงไม่วายแว้งกลับมาทำร้ายเขาอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเขาคิดว่าถ้าคิดจะตีงู อย่าตีแค่หลังหัก แต่จงตีมันให้ตายคามือเป็นดีที่สุด...
ชายหนุ่มพยักหน้ากับริว ก่อนหันหลังแล้วเดินออกไปด้านนอกโดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมา ศักดิ์มองตามแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายผ่านดวงตาที่บวมช้ำแทบปิด ภาพนั้นเป็นภาพสุดท้ายที่เขาจะได้เห็น อึดใจต่อมาโลกของเขาก็ดับวูบลงด้วยปลายกระบอกปืนชนิดเก็บเสียงที่จ่อมาจากด้านหลัง ชีวิตของศักดิ์ จบลงที่ตรงนั้น และถูกฝังเอาไว้ในที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งไม่มีใครรู้และไม่มีใครคิดตามหา...
อธิคมน์ถอนหายใจยาวขณะมองออกไปนอกกระจก เขารู้ตัวว่าไม่ใช่คนดีอะไร การปลิดชีวิตใครสักคนก็แค่เพิ่มเกราะความชั่วให้กับตัวเองขึ้นไปอีกระดับ รู้ว่าผิด แต่จำเป็นต้องทำ... ผลของเวรกรรมรอก่อน เขายังไม่พร้อมรับเหมือนไอ้ศักดิ์ในวันนี้...
‘ถ้าไอ้ศักดิ์มันยังคิดร้ายไม่ยอมหยุด ไม่ยอมสำนึกว่าเอ็งช่วยมันอยู่เงียบๆ มาตลอด ที่มันรอดตายก็เพราะเอ็งหลายครั้งหลายคราว ข้าก็อนุญาตให้เอ็งส่งมันกลับบ้านเก่าของมันไป คนอย่างไอ้ศักดิ์ ถ้าไม่ตายด้วยมือของเอ็ง มันก็ตายเหมือนหมาข้างถนนด้วยมือของคนอื่นอยู่ดี คนอย่างมัน ข้ารู้ดีว่าไม่มีทางสำนึกบุญคุณใคร’
คำพูดสุดท้ายของนายอำนาจก่อนลาลับโลก เปรียบเสมือนคำสั่งให้อยู่หรือตายของศักดิ์ เพราะท่านรู้ดีว่าสักวันหลานชายจะถูกเป่าหูจูงจมูกให้แว้งกลับมาทำลายสิ่งที่ท่านสร้างขึ้นมากับมือ คำสั่งเสียนี้จึงเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดศักดิ์ได้ตลอดกาล
ริวมองเจ้านายผ่านกระจกมองหลัง เห็นใบหน้าเรียบขรึมของอีกฝ่ายจึงเอ่ยถามออกมา
“แล้วเสี่ยทรงชัยล่ะครับเฮีย”
อธิคมน์หันหน้ามาจากข้างทาง และมองเข้าไปยังกระจกส่องหลัง
“ไม่มีไอ้ศักดิ์ ทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงักชั่วคราว คนอย่างเสี่ยทรงชัย มันไม่ออกหน้าเอง คนแบบมันชอบใช้วิธีหมาลอบกัดมากกว่า คราวต่อไปถ้ายังคิดจะขัดแข้งขัดขาอีก กูจะเล่นให้ล่มจม”
ริวเห็นด้วยกับเจ้านาย ก่อนเอ่ยถามอีกครั้ง
“ไปไหนต่อครับ”
“กลับบ้าน...”
น้ำเสียงของอธิคมน์อ่อนลงในความรู้สึกของริว คำว่า ‘กลับบ้าน’ ของเจ้านายในครั้งนี้ดูมีความหมายกว่าทุกครั้ง เขาจึงขับเคลื่อนยานพาหนะพุ่งไปบนเส้นทางเบื้องหน้า พาคนที่นั่งเบาะหลังกลับไปหาใครบางคนด้วยความเร็วนุ่มนวลและคงที่...
แม้จะผ่านเหตุการณ์กระหน่ำยิงอย่างอุกอาจมาหลายวันแล้ว แต่กังสดาลยังคงมองไปรอบกายด้วยอาการหวาดผวานิดๆ เพราะกลัวว่าจะต้องเจอกับเหตุการณ์เดิมอีก แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะผ่านไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เรื่องนั้นอยู่ในความสนใจของผู้คนเพียงไม่กี่วันก็เงียบหาย และหล่อนก็ไม่เคยปริปากเล่าให้เพื่อนๆ ฟังแม้คำเดียว
‘อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง’ อธิคมน์บอกหล่อนไว้แบบนั้น และหญิงสาวก็ทำตามที่เขาสั่งอย่างเคร่งครัด หล่อนไม่รู้หรอกว่าความจริงคืออะไร แต่ลางสังหรณ์บอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับอธิคมน์ ส่วนหล่อนแค่อยู่ผิดที่ผิดเวลาเท่านั้น
กริ๊งง!!
เสียงกรีดร้องจากโทรศัพท์ตั้งโต๊ะทำให้กังสดาลสะดุ้งขึ้นด้วยความตกใจ ดวงหน้าซีดเผือดลงพลางยกมือขึ้นทาบอก แอนที่นั่งใกล้กันจึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“เป็นอะไรกั้ง ไม่รับโทรศัพท์เหรอ”
กังสดาลหันไปมองเพื่อน บนหน้าผากนวลมีหยาดเหงื่อซึมออกมาก่อนจะยิ้มเจื่อนแล้วหันกลับมารับโทรศัพท์
“ค่ะพี่มาศ” เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์จากห้องผู้จัดการแผนกจึงรีบกรอกเสียงลงไป “ใกล้เสร็จแล้วค่ะ ได้ค่ะ”
หญิงสาววางสาย แล้วผ่อนลมหายใจพรู ริสาที่นั่งห่างออกไปสองสามโต๊ะเห็นท่าทางเหม่อลอยของน้องใหม่จึงหันไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนโต๊ะข้างๆ ก่อนเดินเข้ามาถามไถ่
“เป็นไงบ้างจ๊ะน้องกั้ง ป่วยหรือเปล่า ไหวไหม ถ้าไม่ไหวไปนอนพักที่ห้องพยาบาลก่อน ให้พี่พาไปก็ได้นะจ๊ะ”
กังสดาลยิ้มให้นักบัญชีสาวรุ่นพี่ที่มายืนเท้ามือกับโต๊ะทำงานของหล่อน คำพูดคำจาแลคล้ายเป็นห่วง แต่สีหน้าและแววตาช่างตรงกันข้าม กังสดาลและเพื่อนๆ ต่างสังเกตเห็นความไม่จริงใจจากบุคคลตรงหน้ามาสักพักหนึ่งแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะพี่สา กั้งสบาย”
ริสาเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เชื่อนัก พลางยกมือกอดอก
“แน่ใจนะ ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืน เพราะถ้าฝืนงานอาจผิดพลาดได้ หนูก็รู้นี่จ๊ะว่างานเรามันต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ พลาดนิดเดียวก็พานผิดทั้งหมด เดี๋ยวจะวุ่นวายกันทั้งแผนก นี่ก็ใกล้จะสิ้นเดือนแล้วด้วยนะจ๊ะ”
น้ำเสียงอ่อนหวานและรอยยิ้มของริสาคือสิ่งจอมปลอมที่กังสดาลรู้สึกได้ไม่ยาก หญิงสาวจึงคิดในใจว่า
แบบนี้เขาเรียกหวังดีประสงค์ร้ายชัดๆ
กังสดาลยิ้มให้สาวรุ่นพี่ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานปานกัน
“กั้งไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ แค่กำลังคิดอะไรนิดหน่อย ขอบคุณที่เป็นห่วงกั้งนะคะ ส่วนงานกั้งทำเสร็จแล้ว เหลือแค่ตรวจรอบสุดท้าย พี่สาไม่ต้องห่วงนะคะ กั้งจะไม่ทำให้แผนกของเราต้องล่าช้าเพราะกั้งอย่างแน่นอน” รอยยิ้มของกังสดาลนั้นอ่อนหวานแต่ริสารับรู้ได้ว่ามีบางอย่างแฝงมาพร้อมกับรอยยิ้ม นั่นคือแววตาวาววับที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกขนหลังลุกซู่ น่าแปลกนัก ทั้งที่กังสดาลก็เป็นแค่เด็กเส้นธรรมดา ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว แต่เวลานี้ ริสากลับรู้สึก...หวั่นใจลึกๆ
“เอ่อ อ้อ แบบนี้นี่เอง ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว งั้นพี่ไปทำงานต่อก็แล้วกันนะจ๊ะ”
หญิงสาวยิ้มตอบด้วยแววตาแบบเดิมและมองหน้าเจื่อนๆ ของอีกฝ่ายที่รีบเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตนเองอย่างนึกขันแกมหงุดหงิด
แอนเดินมาที่โต๊ะของเพื่อนรักทันทีที่ริสาหันหลัง
“แกพูดอะไรยัยพี่สาคนสวยถึงได้เดินหางจุกตูดกลับไปแบบนั้น” แอนกระซิบถาม ทำให้กังสดาลถอนหายใจยาวพร้อมกับส่ายหน้า