อีสเซวางเธอลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา ดาฟเน่กำลังหลับสบายบนเตียงนอนของเขา เขาถอดเสื้อคลุมออกก่อนจะล้มตัวลงนอนเคียงข้างเธอ พร้อมทั้งโอบกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน ร่างกายของเรากำลังสร้างความอบอุ่นในกันและกันเพราะอากาศในคืนนี้ช่างหนาวเย็น
หลังจากที่เธอกล่าวเตือนเขา อยู่ดีๆเธอก็ร้องไห้ออกมา แถมร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เขาทำอะไรไม่ถูกนอกจากการพร่ำบอกขอโทษและโอบกอดเธอเอาไว้ จนเธอผล็อยหลับไป
อีสเซแสยะยิ้มขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
คนเช่นเขาหากจะทำอะไรสักอย่าง เธอย่อมไม่มีทางจับทางเขาได้อย่างแน่นอน เรื่องการลอบสังหารนี้เขาจงใจที่จะลองใจเธอเท่านั้นเอง
ดาฟเน่เป็นสตรีที่เอาแต่ใจ แถมยังเจ้าเล่ห์มากทีเดียว เธอมิได้ถนัดเรื่องการจับผิดคนตรงนี้คือช่องโหว่ที่ใหญ่มากของเธอ และแน่นอนพวกบรรดาบุรุษที่เข้าหาเธอคือคนที่มาแสวงหาผลประโยชน์จากเธอทั้งนั้น...เขาจึงอยากทดสอบเธอ
และเธอสามารถมองแผนการเขาออกเพียงแค่สามครั้งหลังจากถูกลอบสังหาร สติปัญญาของเธอพัฒนาขึ้นมากทีเดียว...
และมันไม่ใช่เพียงสติปัญญาอย่างเดียว การพูดจาและการวางแผนเธอเหนือชั้นกว่าเดิมมาก จนตัวเขาอดหวาดหวั่นมิได้ ว่าวันหนึ่งเธอจะวางแผนหนีไปจากเขา
เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะหลอกดาฟเน่ได้ก็คือเขาจะต้องโง่กว่าเธอ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมวันนี้เขาถึงได้ยอมเธอมากมายขนาดนั้น การเป็นองค์จักรพรรดิมิได้ง่ายดาย เขาเจอปัญหามาแทบจะทุกรูปแบบ หากว่าเขาก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวสิ่งที่สร้างมาทั้งหมดจะพังทลายลง นั่นทำให้ปัญหากับเขาเป็นของคู่กัน
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีมากที่สุดคือน้ำตาของเธอ ดาฟเน่ร้องไห้ราวกับเป็นเด็ก...และเธอร้องไห้อย่างหนักก็เพราะว่าเสียใจที่เขาหักหลังเธอ...
ถึงจะน่าดีใจแต่ว่านั่นจะเป็นจุดเปลี่ยน การกลั่นแกล้งของเขาจะทำให้เธอไม่กล้าไว้ใจเขาอีกเลย นั่นมันก็อาจจะแย่นิดหน่อย
แต่ว่าไม่เป็นไร การได้โอบกอดเธอเช่นนี้ก็คุ้มค่าแล้วล่ะ เขาจะสร้างความเชื่อมั่นของเธอที่มีต่อเขาขึ้นมาใหม่เอง
ดาฟเน่รู้สึกหนาวเธอจึงดึงผ้าห่มมาห่มแต่ทว่าก็ไม่รู้สึกว่าอุ่นขึ้นเลย เธอจึงลืมตาขึ้นมามองไปที่หน้าต่างบานใหญ่
หิมะกำลังโปรยปรายลงมา ท้องฟ้าที่มืดมิดนั้นเต็มไปด้วยหิมะที่แสนจะงดงาม
"อีสเซ!! อีสเซ หิมะแรกตกลงมาแล้ว!!"
เธอเขย่าตัวของอีสเซที่นอนอยู่เพื่อให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมาดูหิมะกับเธอ เขาลุกขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงียก่อนจะโอบกอดเธอเอาไว้
"ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกันในวันที่หิมะแรกตกลงมา "
อีสเซกระซิบข้างหูของดาฟเน่
"ข้ารักเจ้านะ ดาฟเน่!"
ในค่ำคืนที่เงียบสงบนั้น หัวใจของเธอมันกลับกำลังเต้นแรง เธอควรจะยังโกรธเขาอยู่แท้ๆแต่ดันมาหน้าแดงเพราะลมปากของเขา
เขาลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างพร้อมกับเดินไปหยิบผ้าห่มขนสัตว์ออกมาจากตู้เก็บของ เพราะอากาศจะเย็นลงอย่างรวดเร็วทำให้ผ้าห่มธรรมดามิอาจป้องกันความเย็นเอาไว้ได้ อีสเซล้มตัวนอนลงอีกครั้งพร้อมกับดึงดาฟเน่มากอดไว้
"ดีขึ้นไหม? แต่ไหนแต่ไรเจ้าไม่ชอบอากาศเย็นอยู่แล้ว.."
"อื้ม อุ่นขึ้นแล้ว"
ดาฟเน่หลับตาลงอีกครั้ง ห้องนี้มิใช่ห้องที่เขาพาเธอไปวาดรูปครั้งก่อน รอบๆห้องตกแต่งอย่างหรูหรา นี่คือห้องนอนของเขาจริงๆสินะ...
ให้ตายเถอะช่วงนี้เจอเรื่องทุกวันจริงๆ เธอยังคงยืนยันคำเดิมว่าเป็นดาฟเน่ไม่ได้ง่ายเลย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอกำลังมีความสุข ในการเป็นดาฟเน่ ได้ลองทำอะไรหลายๆอย่างที่เธอไม่เคยทำมาก่อน..
และได้มีคนที่รักและพร้อมทำร้ายเธอตลอดเวลาอย่างอีสเซ
ความสัมพันธ์เช่นนี้ดาฟเน่ไม่รู้ว่าจะต้องเรียกกล่าวคำนิยามว่าอย่างไรดี เธอรู้ดีว่าเขาอันตราย แต่ก็มิอาจหักห้ามหัวใจไม่ให้เต้นแรงไปกับเขาได้เลย....หรือว่าเธอจะชอบบุรุษที่หลายอารมณ์ในเวลาเดียวกันเช่นเขา?
อ่า ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ดาฟเน่ก็เลยเลือกที่จะเลิกคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง เพื่อเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
เช้าที่เหน็บหนาวและไร้ซึ่งแสงอาทิตย์ พระราชวังบาทีเรี่ยนขาวโพลนไปด้วยหิมะ แต่ทว่านั่นกลับทำให้มันสวยงามขึ้นโดยยากจะละสายตา เธอไม่ชอบอากาศเย็น แต่พอหิมะตกก็อดจะยืนดูไม่ได้..
อีสเซโอบกอดเอวเธอเอาไว้พร้อมกับสวมเสื้อคลุมให้เธอ เขาก้มหน้าลงเพื่อพรมจูบที่ซอกคอเธอเบาๆอย่างรักใคร่
"ข้ายังไม่หายโกรธ.."
เขาหมุนตัวเธอให้หันหน้ามามองสบตาเขา พร้อมกับใช้มืออีกข้างดึงผ้าม่านให้ปิดลง
"โกรธนานๆก็ได้ หากว่าการโกรธเคืองของเจ้ามันทำให้เจ้ามาติดอยู่ในห้องนอนของข้าเช่นนี้..."
เขาจับคางเธอให้เงยหน้าขึ้นเพื่อมองบาดแผลขนาดเล็กที่ลำคอขาวนวลของดาฟเน่ มันเด่นชัดตัดกับผิวขาวเนียนของเธอ
แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นเขาที่จงใจทำให้มันเกิดเป็นรอยแผล ถึงจะรู้สึกเจ็บปวดที่ร่างกายอันงดงามของเธอมีบาดแผล แต่นี่จะเป็นหลักฐานชั้นดีในการบอกลอร์ดมาเดลีนว่าเขาและเธอมีปัญหากัน..
อีสเซคิดว่าเขามองไม่ผิดแน่นอน สายตาของหมอนั่นที่มองมายังดาฟเน่มันแปรเปลี่ยนไป นั่นหมายความว่าทั้งสองคนจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เขาไม่รู้...
บางทีเขาอาจจะต้องส่งคนแฝงตัวเข้าไปสืบเรื่องราวของเธอเพิ่มอีกหน่อย
"ยังเจ็บอยู่รึเปล่า?"
"ไม่แล้ว..."
"จนกว่าแผลนี่จะหายดีเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ กับข้า! เพราะว่าข้าจะต้องใช้เวลาเพื่อสำนึกผิดในการกระทำที่เลวร้ายในครั้งนี้"
"อีสเซ ข้ามีงานที่ต้องทำ คงมิอาจจะมาอยู่ที่นี่ได้ตลอด"
เขาใช้นิ้วลูบริมฝีปากของเธอเบาๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปทาบทับริมฝีปากของเธออย่างอ่อนโยน อีสเซกำลังใช้ความอ่อนโยนของเขาหลอมละลายดาฟเน่ช้าๆ
เขาดันตัวเธอไปติดกับผ้าม่านหน้าต่างด้านหลังโดยที่ริมฝีปากของเรายังคงประกบกัน เธอออกแรงผลักเขาออกเบาๆแต่นั่นมิอาจทำให้เขายอมผละออกจากริมฝีปากที่หวานล้ำนั้นเลย
เธอไม่มีทางถอยหนีอีกแล้วเพราะด้านหลังคือกระจก และอีสเซก็บดเบียดเข้ามาหาเธอ พร้อมกับจุมพิตที่ร้อนแรงขึ้นมากกว่าเดิม เขาสอดขาเข้ามาในหว่างขาของเธอพร้อมทั้งโอบกอดเธอเอาไว้
นี่คงจะไร้หนทางที่จะหนีจากเงื้อมมือเขาจริงๆ
อีสเซผละริมฝีปากออกช้าๆ เขาสบตามองเธอด้วยความเสียดาย
"น่าเสียดายที่วันนี้ข้ามีประชุมกับพวกสภาอาวุโส มิอาจทำต่อจนสิ้นสุดได้"
เขาจับมือเธอไปกอบกุมตัวตนของเขาเอาไว้
"ดาฟที่รัก เห็นรึเปล่าว่าข้าเองก็กำลังทรมานเช่นเดียวกันกับเจ้า ทั้งที่ข้าเกลียดชังการรอคอยแต่เจ้ากลับทำให้ข้าต้องทนรอคอยเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นคือคำสาปใช่หรือไม่?"
"ข้าเพียงจะกลับเมอลิน.."
มือของเขามุดเข้าไปใต้กระโปรง ก่อนที่มันจะหมุนวนเบาๆที่จุดกึ่งกลางของเธอเบาๆ
"อึก!"
"อาา ข้าไม่คิดจะปล่อยเจ้ากลับไปโดยที่อารมณ์ของเจ้าคุกรุ่นเช่นนี้หรอกนะดาฟ"
เธอยกมือขึ้นมาผลักเขาออกเบาๆ
"เลิกแกล้งข้าได้แล้วอีสเซ วันนี้ข้าจะเป็นฝ่ายรอเจ้าอยู่ที่นี่เองก็ได้ และเจ้าเอง..."
เธอออกแรงขยับมือที่กอบกุมความเป็นชายของเขาช้าๆ
"...เจ้าควรจะรีบกลับมา"
อีสเซยกยิ้ม เขาหอมแก้มเธออย่างมันเขี้ยวก่อนอุ้มเธอไปนอนบนเตียง
"ตั้งใจจะแกล้งเจ้าแท้ๆแต่สุดท้ายเป็นข้าที่ทรมานยิ่งกว่า"
เธอยกมือมากุมหน้าเขาเอาไว้
"หัวใจของข้ามิอาจทนรับความเจ็บปวดได้อีกแล้ว ถึงแม้ข้าจะยอมอยู่ในอ้อมกอดของเจ้า แต่อย่าลืมว่าข้าจะไม่ยอมอีกแล้วถ้าเจ้ากล้าหักหลังข้าอีก..."
"ไม่กล้าทำอีกแล้วดาฟ ข้าจะไม่ทำเรื่องเช่นนั้นอีกแล้ว"
เธอมองหน้าเขาพร้อมกับยิ้มออกมา
"รีบไปเถอะ ทุกคนกำลังรอเจ้าอยู่"
........
ลาร์ซเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารเพราะลาม่อนเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับรอยยิ้ม
"พี่ควรจะไปดูนางหน่อย นางเริ่มดีขึ้นมากแล้วในทุกๆด้านรวมทั้งการทานอาหาร การพูดจา"
"อืม เดี๋ยวเย็นนี้พี่จะไปดูเอง ขอบใจเจ้ามาก"
"แค่พี่จ่ายเงินก็พอ คำขอบคุณอะไรนั่นข้ามิได้ต้องการ!"
ลาร์ซลุกขึ้นมาลูบผมน้องชายวัยสิบหกเบาๆ ลาม่อนคือเด็กน้อยที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่คนในตระกูลมาเดลีนไม่มี นั่นคือพลังเวทที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เขาเป็นคนส่งเสียน้องชายเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์ ในขณะที่แม่เลี้ยงคัดค้านอย่างหนัก เพราะพวกนักเวทมิได้รับการยอมรับสักเท่าไหร่นัก สู้พวกขุนนางมิได้ นั่นเป็นสาเหตุหลักที่แม่เลี้ยงไม่ชอบลาม่อน ลูกชายที่แม่เลี้ยงรักมากที่สุดก็คือลูอีส หมอนั่นก็เลยเติบโตขึ้นมาเป็นคนเอาแต่ใจและนิสัยเสียสุดๆไปเลยต่างจากลาม่อนที่เป็นเด็กดีกว่าที่คิด
ลาร์ซก็เลยทำหน้าที่เป็นทั้งพี่และผู้ปกครองให้น้องชายไปพร้อมๆกัน
"พี่ฝากเงินเข้าบัญชีเจ้าเรียบร้อย อาทิตย์หน้าก็เปิดเทอมแล้ว เตรียมเก็บของกลับไปเรียนรึยัง"
ลาม่อนพยักหน้า
"เรียบร้อยแล้วครับ หากว่าข้าสามารถสอบเข้าประจำการที่หอคอยเวทมนตร์ได้ คราวนั้นข้าจะทยอยคืนเงินทั้งหมดให้พี่เอง"
ลาร์ซโบกมือเบาๆ
"เจ้าคือน้องของพี่ เป็นมาเดลีนคนหนึ่งที่พี่ต้องดูแล เพียงแค่เจ้าสอบเข้าหอคอยเวทมนตร์ได้พี่ก็ภูมิใจในตัวเจ้ามากแล้ว"
ลาม่อนส่งยิ้มให้ลาร์ซ เรื่องท่านแม่เขาไม่รู้สึกเสียใจหรือว่าน้อยใจอีกแล้ว เขาคิดว่าแค่เขามีพี่ชายคนเดียวก็พอ แค่มีคนที่รอดูความสำเร็จของเขา แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว