เป็นเวลายามโหย่ว[1] หลิวหรงผิงที่เฝ้ารอเวลานี้มาทั้งวันในที่สุดก็สมปรารถนาของนางเสียที
ได้มีโอกาสออกนอกจวนทั้งทีทำเอานางตื่นเต้นไม่น้อยเพราะไม่ใช่แค่พาเจ้าของร่างนี้ออกไปสัมผัสบรรยากาศด้านนอกเท่านั้นแต่ได้พาตัวของนางเองออกไปเที่ยวชมวิถีชีวิตของชาวเมืองในยุคโบราณที่ทั้งชีวิตนางไม่เคยได้พบเห็นมาก่อนนั่นเอง
“พระชายาท่านอ๋องรอนานแล้วนะเพคะ”
“รู้แล้วน่า”
ซิ่วอิงไม่ลืมที่จะหยิบเอาเสื้อคลุมไหล่สีขาวขนนุ่มนิ่มติดมือไปด้วยช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวเย็นมากขึ้นหากไม่นำเสื้อคลุมไปด้วยนางก็เกรงว่าพระชายาของตนคงได้จับไข้และหนาวตายอย่างแน่นอน
“ท่านอ๋อง!”
เมื่อเห็นชายหนุ่มที่ยืนรออยู่หน้าประตูจวนนางก็รีบถลาเข้าไปเกาะแขนของจวิ้นอ๋องทันที ท่ามกลางสายตาที่ดูตื่นตกใจของบรรดาบ่าวรับใช้ในจวนที่กำลังเฝ้ามองดูอยู่
“เจ้าทำอะไร”
“เอ๋”
เพราะนางตื่นเต้นดีใจที่จะได้ออกไปเที่ยวนอกจวนมากจนเสียกิริยาไปแต่จะเป็นไรไปในเมื่อนางในเวลานี้ก็คือสตรีบ้าในสายตาของผู้คน ที่ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็คงไม่มีใครใคร่จะสนใจนัก
สิ่งที่นางทำอยู่ในเวลานี้มากที่สุดก็คงแค่ถูกเขาลงโทษหรือด่าทอก็เท่านั้น นางมองมือของตัวเองที่กำลังเกาะแขนของเขาแน่นเหมือนปลิงก่อนจะฉีกยิ้มกว้างแล้วรีบปล่อยมือออกจากวงแขนแกร่งนั้นทันที
“ขออภัยเพคะ”
หลิวหรงผิงก้มหน้าลงก่อนจะถอยหลังออกไปยืนอยู่ด้านหลังของเขา อาการที่ดูเหมือนสำนึกผิดของนางทำเอาสององค์รักษ์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่น้อย
‘พระชายารู้เรื่องมารยาทตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ’
ยังไม่ทันที่คนทั้งคู่จะก้าวขาขึ้นไปบนรถม้าก็มีเสียงๆ หนึ่งเอ่ยเรียกจวิ้นอ๋อง เสียงแผดร้องที่ดังแว่วมาทำให้หลิวหรงผิงรู้เลยว่าคือสตรีเย่อหยิ่งผู้นั้นนั่นเอง
เมื่อหันไปมองก็เห็นรถม้าที่ถูกประดับตกแต่งอย่างงดงามสมฐานะองค์หญิงมาจอดเทียบกับรถม้าของจวนอ๋องแล้ว ผ้าม่านที่ปลิวไหวตามแรงลมปรากฏให้เห็นอีกคนบนรถม้าแต่เพราะความมืดทำให้นางเห็นใบหน้านั้นไม่ชัดเจนนัก
‘ใครกันนะ’
“ท่านพี่จะไปไหนกันเจ้าคะ”
องค์หญิงเพ่ยเพ่ยเดินลงมาจากรถม้าพลางจ้องมองมาที่หลิวหรงผิงไม่วางตา
“ข้ากำลังจะไปงานโคมไฟในเมือง แล้วเจ้าล่ะจะไปที่ใด” องค์หญิงเพ่ยเพ่ยส่งยิ้มให้ผู้เป็นพี่ชายก่อนจะชายตาไปมองหลิวหรงผิงอีกครั้ง
“บังเอิญจังเลยเจ้าค่ะ ข้ากำลังจะไปที่งานนั้นพอดีและไม่ได้มาคนเดียวแต่พาพี่หญิงอวิ๋นเซียนมาด้วย”
“เว่ยอวิ๋นเซียนน่ะหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะข้าตั้งใจจะไปเที่ยวงานจึงแวะมารับท่านพี่ไม่คิดว่าท่านก็จะไปที่นั่นด้วย ว่าแต่พี่สะใภ้ก็จะไปด้วยอย่างนั้นหรือ”
หลิวหรงผิงพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะส่งยิ้มใสซื่อไปให้นาง จวิ้นอ๋องหันไปมองคนด้านข้างที่ดูเหมือนไม่รู้เรื่องราวใดๆ ก่อนจะหันไปพูดกับองค์หญิงเพ่ยเพ่ยต่อว่า
“เสด็จแม่น่าจะส่งคนมาสังเกตการณ์ในจวนของข้าเช่นนั้นก็แสดงละครให้นางดูเสียหน่อย เจ้ามาก็ดีแล้วไปด้วยกันสิ”
“หึ น้องยินดีอย่างยิ่ง”
รอยยิ้มร้ายกาจขององค์หญิงเพ่ยเพ่ยปรากฏบนใบหน้าของนางอย่างชัดเจน แต่ใครไหนเลยจะรู้ว่ารอยยิ้มที่อยู่ก้นบึ้งหัวใจของหลิวหรงผิงต่างหากเล่าที่น่ากลัวกว่า
‘ตั้งใจจะกลั่นแกล้งข้าสินะ เดี๋ยวพวกเจ้าได้เจอดีแน่!’
หลิวหรงผิงแสร้งเป็นยิ้มไม่รู้เรื่องราวใดๆ แล้วเดินตามจวิ้นอ๋องเพื่อขึ้นไปบนรถม้าของจวนแต่เมื่อสองเท้ากำลังจะก้าวเหยียบเก้าอี้เล็กที่หานเฟิงเตรียมเอาไว้ให้ก่อนหน้านี้ก็ถูกองค์หญิงเพ่ยเพ่ยเรียกเอาไว้เสียก่อน
“ท่านพี่ข้าว่าไหนๆ พวกเราก็จะไปที่เดียวกันแล้วเช่นนั้นก็ไปด้วยกันไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ ในงานคนมากมายนักจะเอาไปทำไมหลายคันนักเล่ารถม้าของข้าคันใหญ่โตรองรับได้หลายคนเชิญท่านพี่กับพี่สะใภ้ไปด้วยกันจะดีกว่า”
จวิ้นอ๋องหันไปมองผู้เป็นน้องสาวก่อนจะหันกลับมามองหลิวหรงผิงอีกครั้ง แววตาซุกซนดูไม่รู้เรื่องใดๆ ทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่รู้เลยว่าน้องสาวตัวดีตั้งใจจะหาเรื่องกลั่นแกล้งอันใดชายาของเขาอีกหากเป็นเช่นนั้นเขาคงต้องปวดหัวอีกอย่างแน่นอน
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าองค์หญิงเพ่ยเพ่ยต้องหาเรื่องกลั่นแกล้งหลิวหรงผิงแต่เขากลับเลือกที่จะเดินไปขึ้นรถม้าของนางโดยมีหลิวหรงผิงเดินตามเขาไปติดๆ
“เจ้าขึ้นไปก่อน”
หลิวหรงผิงหันไปมองจวิ้นอ๋องก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักแล้วก้าวเดินขึ้นไปบนเก้าอี้เล็กสำหรับเหยียบขึ้นรถม้า
ขาข้างซ้ายของนางเหยียบบนรถม้าไปแล้วแต่อีกข้างที่ยังอยู่บนเก้าอี้เล็กนั้นก็ถูกองค์หญิงเพ่ยเพ่ยทำทีสะดุดแล้วเตะเก้าอี้นั้นเข้าอย่างจังส่งผลให้ขาอีกข้างของหลิวหรงผิงที่ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศหงายหลังร่วงลงบนพื้นทันที
“อะ โอ๊ย!”
“พระชายา!/พระชายา!” สาวใช้คนสนิททั้งสองที่ออกมาส่งนางหน้าประตูจวนแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปด้วยนั้นเฝ้ามองนางอยู่ก่อนหน้านี้ทุกฝีก้าวเป็นต้องกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจที่เห็นพระชายาของตนหกล้มก้นคะมำกับพื้นอย่างแรงเช่นนั้น
ทั้งสองอยากจะเข้าไปช่วยแต่ก็ถูกสายตาเกรี้ยวกราดขององค์หญิงเพ่ยเพ่ยที่จ้องมองมานั้นจิกกัดอยู่ทำให้ทั้งคู่ไม่กล้าเข้าไป องค์หญิงเพ่ยเพ่ยเหยียดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า
“ตายแล้วพี่สะใภ้ข้าไม่ได้ตั้งใจ ขออภัยด้วย”
หลิวหรงผิงที่ตกรถม้าจนก้นของนางระบมไปหมดเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เจือปนไปด้วยความสะใจนั้นก็ทำให้นางเริ่มโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ทั้งคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีที่ยืนอยู่ข้างๆ กับไม่คิดจะยื่นมือเข้ามาช่วยเลยสักนิด หลิวหรงผิงก้มหน้าพยายามสะกดกลั้นอารมณ์กรุ่นโกรธเอาไว้
‘แค้นนี้นางต้องเอาคืนแน่รู้จักคนอย่างหลิวหรงผิงน้อยเกินไปเสียแล้ว’
หากเป็นยุคที่นางจากมาแล้วล่ะก็สตรีผู้นี้ได้โดนนางด่ากลับไปแล้ว หลิวหรงผิงหลับตาลงพยายามสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้นางผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ แล้วเงยหน้าขึ้นไปมององค์หญิงเพ่ยเพ่ยก่อนจะช้อนสายตามองไปที่จวิ้นอ๋องพยายามบีบน้ำตาออกมาแล้วเบะปากทำท่าเหมือนจะร้องไห้
“ขะ ข้าเจ็บอุ้มที”
“ห้ะ!”
องค์หญิงเพ่ยเพ่ยคิดไม่ถึงว่าสตรีบ้าผู้นี้จะใช้วิธีนี้ นางถึงกับยืนอ้าปากค้างไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ จวิ้นอ๋องหันมองไปโดยรอบก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ใช้วงแขนแข็งแกร่งของเขาช้อนตัวของนางขึ้นไว้ในอ้อมแขน
“ท่านพี่จะไปอุ้มนางทำไมกันเพคะ”
“เจ้าก็รู้ว่าคนของเสด็จแม่เฝ้ามองอยู่”
เขาพูดจบก็เดินขึ้นไปบนรถม้าโอบอุ้มร่างบางเอาไว้ในอ้อมแขนแน่น องค์หญิงเพ่ยเพ่ยได้แต่ยืนกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความเจ็บใจพลันสายตาของนางก็หันไปสบเข้าแววตาของหลิวหรงผิงที่มองนางอยู่เช่นกัน
‘นี่ข้าตาฝาดไปหรือไม่! ข้าเห็นนางยิ้มไม่จริงอ่ะนี่นางบ้าจริงๆ หรือกำลังแกล้งบ้ากันแน่ คนบ้าอะไรจะยิ้มออกมาได้เจ้าเล่ห์เช่นนั้นกัน’
“เจ้าไม่ไปแล้วหรือ”
“ไปสิ”
องค์หญิงเพ่ยเพ่ยรีบก้าวขึ้นไปบนรถม้าในใจก็ยังคงแคลงใจในตัวของพี่สะใภ้ผู้นั้นอยู่ไม่น้อย นางต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าตัวตนของสตรีผู้นี้เป็นอย่างไรกันแน่!
- - - - - - - -
[1] ยามโหย่ว = 17.00-19.00 น.