‘ช่างเป็นสตรีที่ตีสองหน้าได้เก่งอะไรเช่นนี้นะ’
เว่ยอวิ๋นเซียนที่รู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่นั้นก็หันขวับมามองหลิวหรงผิงทันที 'เหตุใดนางถึงได้มองข้าเช่นนั้นกันนะหรือว่า...'
“เจ้าสวยจังเหมาะกับท่านอ๋องดี”
หลิวหรงผิงพูดจบก็เดินกะเผลกเข้าไปในงานต่อโดยไม่ได้สนใจเลยว่าคนเหล่านั้นจะคิดอย่างไรกับคำพูดของนาง
“สตรีบ้าผู้นั้นพูดจริงหรือนี่”
องค์หญิงเพ่ยเพ่ยที่ตั้งท่าจับผิดพี่สะใภ้ของนางอยู่ก็เป็นต้องงุนงงกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่นี้ ตรงกันข้ามกับจวิ้นอ๋องที่ไม่พูดไม่จาและเอาแต่จ้องมองแผ่นหลังของนางไม่วางตาไม่เข้าใจในสิ่งที่นางเอ่ยออกมาเมื่อครู่นี้เลยสักนิด
หากว่าที่ผ่านมานางหมายมั่นที่จะแต่งเป็นชายาของเขาแต่แล้วเหตุใดเวลานี้ถึงดูเหมือนจะไม่สนใจเขาแล้ว หรือเพราะว่าเวลานี้นางสติฟั่นเฟือนจึงเลอะเลือนความตั้งใจแรกของตนเองไปแล้วกระนั้นหรือ
หลิวหรงผิงที่เดินเข้ามาในงานโดยมีสององค์รักษ์เดินตามคุ้มกันไม่ห่าง นางเดินมาหยุดอยู่ที่ร้านขายขนมหวานกลิ่นหอมของน้ำตาลช่างยั่วน้ำลายของนางยิ่งนัก
‘นั่นมันพุทราเชื่อมไม่ใช่หรือ ทำไมถึงได้ดูน่ากินกว่าในยุคที่ข้าจากมานักล่ะ’
หลิวหรงผิงเอาแต่จ้องมองและพยายามเก็บน้ำลายที่กำลังจะไหลยืดออกมาอย่างเต็มที่
‘ออกมาจากจวนทั้งทีใยเสี่ยวเถาไม่เอาเงินให้ข้าติดตัวมาด้วยนะหิวจังเลย’
“พระชายาอยากกินอันนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เป็นหานเฟิงที่คอยลอบสังเกตท่าทีของนางก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเหมือนกำลังสนทนากับเด็กๆ อย่างไรอย่างนั้น
หลิวหรงผิงหันไปมองเขาก่อนจะพยักหน้าให้เล็กน้อย รอยยิ้มอ่อนหวานปรากฏให้เห็นจนหานเฟิงเองก็เริ่มรู้สึกเขินนางขึ้นมาแล้ว
ตั้งแต่รู้จักกับพระชายามาไม่เคยเห็นนางยิ้มแบบนี้เลยสักครั้ง บุรุษคนใดได้เห็นไม่เขินอายบ้างก็คงไม่ใช่บุรุษแล้วกระมัง
“เช่นนั้นพระชายายืนรออยู่ตรงนี้ข้าน้อยจะไปซื้อมาให้”
“อืม”
หญิงสาวพยักหน้าให้ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ ที่อยากได้ของเล่นอย่างไรอย่างนั้น จวิ้นอ๋องที่ยืนมองคนทั้งคู่อยู่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้ามาไปหานาง เขาก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องมาสนใจสตรีบ้าผู้นี้ด้วย
เมื่อรับรู้ได้ว่ามีใครบางคนกำลังยืนซ้อนอยู่ด้านหลังหลิวหรงผิงก็รีบเอี้ยวคอหันไปมอง เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาแต่เย็นชาของเขาก็เป็นต้องรีบหันกลับในทันที
‘เสียอารมณ์จริงๆ’
จวิ้นอ๋องที่กำลังสงสัยบางอย่างยิ่งเมื่อเห็นท่าทีของนางเมื่อครู่ก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ เขามองไปยังหานเฟิงที่เวลานี้กำลังเดินถือพุทราเชื่อมกลับมาให้นาง
ชายหนุ่มดูจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นแววตาที่จวิ้นอ๋องมองมาแต่เขาก็ทำใจกล้าส่งผลไม้เชื่อมนั้นไปให้นาง หลิวหรงผิงรับเอาพุทราเชื่อมมาจากเขาก่อนจะหันไปมองคนด้านหลังที่เวลานี้มายืนกันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว
“ท่านพี่ไม่ซื้อให้ข้ากับพี่หญิงเว่ยบ้างหรือ”
“เจ้าออกจากวังไม่นำเงินมาด้วยหรืออย่างไร”
“ท่านพี่!” องค์หญิงเพ่ยเพ่ยไม่ทันพูดต่อหลิวหรงผิงก็ยื่นพุทราเชื่อมไม้นั้นไปตรงหน้านาง
“กินไหม”
องค์หญิงเพ่ยเพ่ยจ้องมองสตรีบ้าผู้เป็นพี่สะใภ้ของนางก่อนจะปัดผลไม้เชื่อมนั้นอย่างแรงส่งผลให้มันร่วงลงไปนอนบนพื้น หลิวหรงผิงจ้องมองพุทราเชื่อมที่หลุดมือไปแล้วก่อนจะเบะปากทำท่าจะร้องไห้ออกมาจนองค์หญิงเพ่ยเพ่ยต้องตะโกนร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก
“เจ้าหยุดนะ! ห้ามร้องไห้ออกมาเป็นอันขาดข้าอายคนอื่นเขา” นางเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็วก่อนจะหันไปมองหานเฟิง
“เจ้ารีบไปซื้อมาให้นางเสียสิ เอานี่เงิน” พูดจบก็ยื่นถุงเงินให้หานเฟิงด้วยความไม่สบอารมณ์
“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
เมื่อหานเฟิงกลับมาอีกครั้งพร้อมพุทราเชื่อมอีกไม้เขาก็รีบยื่นให้หลิวหรงผิงและส่งคืนถุงเงินใบนั้นให้องค์หญิงทันที ดวงตาสุกใสของหลิวหรงผิงจ้องมองเจ้าของมือขาวๆ ที่กำลังรับถุงเงินคืนจากหานเฟิงด้วยใบหน้าบึ้งตึง
'รู้จักชดใช้คืนก็พอจะเป็นคนดีอยู่บ้างกระมัง แม้จะร้ายกาจไม่น้อยก็เถอะ'
หลิวหรงผิงกัดกินพุทราเชื่อมชิ้นละคำท่ามกลางสายตาของผู้ที่พบเห็น ทุกคนในเมืองหลวงแห่งนี้ต่างก็รู้ว่าสตรีผู้นี้คือใครและรู้ว่านางมีสติฟั่นเฟือนจึงไม่มีใครถือสาสิ่งที่นางแสดงออกมาเลยสักคน
ทั้งหมดออกเดินไปตามถนนที่มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ละลานตาไปหมด หลิวหรงผิงเดินตามพวกเขาอยู่ด้านหลังพลันสายตาของนางก็พบเข้ากับบุรุษผู้หนึ่ง
‘คนผู้นั้นเป็นใครกันนะ ทำไมถึงได้มีออร่าความหล่อเหลาส่องประกายวิบวับออกมาเช่นนี้’
“เจ้ามองอะไร”
เป็นจวิ้นอ๋องที่หันกลับมามองนางเป็นระยะก่อนจะสังเกตเห็นว่านางกำลังมองใครบางคนอยู่ เมื่อมองตามสายตาของนางไปก็พบเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของงาน ในใจก็เริ่มรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาแปลกๆ
ใบหน้าคมคายของจวิ้นอ๋องจ้องมองไปยังบุรุษผู้นั้นเรือนกายสูงโปร่งดูโดดเด่นไม่น้อยแม้จะสวมหมวกปิดบังใบหน้าแต่กลับไม่ได้ทำให้ความหล่อเหลาที่มีลดน้อยลงไปเลยแม้เพียงนิด เขารู้ว่าคนผู้นั้นคือใคร!
‘คุณชายเซี่ยเว่ยหมิง บุตรชายของใต้เท้าเซี่ยคนที่เขาคาดหวังเอาไว้ว่าจะยัดเยียดหลิวหรงผิงให้เขานั่นเอง’
“ท่านอ๋องนั่นไม่ใช่คุณชายเซี่ยหรือพ่ะย่ะค่ะ” หานเฟิงพูดขึ้นเพราะจำได้ว่าเคยเห็นเขาที่สำนักศึกษาหลวงนั่นเอง
“คุณชายเซี่ยงั้นหรือ” ตงหยางที่คุ้นชื่อแต่จดจำใบหน้าของเขาไม่ได้ก็เอาแต่เพ่งมองชายผู้นั้นไม่วางตาเช่นกัน
“เจ้าคงไม่ได้ลืมไปหรอกนะ”
“ก็ไม่ค่อยเห็นหน้าหรือไม่เล่า”
“ไม่แปลกหรอกเพราะคนผู้นั้นใช่ว่าจะมาให้เห็นบ่อยๆ เสียที่ไหน บ้านเกิดของเขาอยู่อีกที่เมืองเป่ยเย่ห่างจากเมืองหลวงก็ราวๆ สองร้อยหลี้[1]เป็นตระกูลพ่อค้ามั่งคั่งที่ไม่ว่าสตรีจากตระกูลใดต่างก็หมายมั่นอยากได้เขาไปเป็นบุตรเขยกันทั้งนั้น แต่อย่างที่รู้เขาไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษ นอกจาก…”
จวิ้นอ๋องหยุดพูดก่อนจะชายตาไปมองหลิวหรงผิงที่เวลานี้เอาแต่กัดกินพุทราเชื่อมโดยไม่ได้สนใจผู้ใดเลยสักคน
“คุณชายเซี่ยแล้วอย่างไรข้าไม่เห็นว่าจะหล่อเหลาเท่าท่านพี่เลย ข้าว่าพวกเราเข้าไปในงานกันดีกว่าเจ้าค่ะข้าอยากดูสิงโตเชิดแล้ว”
องค์หญิงเพ่ยเพ่ยพูดขึ้นก่อนจะดึงเอาแขนของเว่ยอวิ๋นเซียนให้ตามนางไปติดๆ จวิ้นอ๋องจึงละสายตาจากเขาก่อนจะนำพาทุกคนมุ่งตรงเข้าไปในใจกลางงานนั้น
หลิวหรงผิงที่เห็นว่าทุกคนออกเดินต่อไปโดยไม่สนใจนางแล้วก็หันกลับไปมองบุรุษผู้นั้นอีกครั้ง ชุดสีขาวทำให้เขาแลดูสง่างามและดูเหมือนเป็นคุณชายที่รักสะอาดอย่างไรอย่างนั้น
‘ช่างเป็นบุรุษที่มีเสน่ห์อะไรเช่นนี้นะ”
น่าแปลกที่บุรุษผู้นั้นกลับเอาแต่จดจ้องไปที่หลิวหรงผิงอย่างไม่ลดละสายตาทั้งๆ ที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าสตรีผู้นี้สติฟั่นเฟือน
“เจ้ามองอะไรอยู่งั้นหรือ”
“เฮ้ย!”
“เป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ใยไม่รักษากิริยา”
‘เอ้า! ก็ข้าเป็นคนบ้าอยู่มิใช่หรือจะให้รักษากิริยาไปทำไมกันเล่า’
แม้จะบ่นในใจแต่หลิวหรงผิงก็ไม่ได้สนใจคำติเตียนนั้นนางยังคงหันไปจ้องมองคนผู้นั้นต่อ
“เจ้าจะมองอีกนานหรือไม่”
เป็นจวิ้นอ๋องที่เอ่ยปากถามนางอีกครั้งด้วยใบหน้าที่ดูมึนตึงแปลกๆ
‘ไม่ชอบนางแล้วจะถามเหมือนหึงหวงกันทำไม’
“ก็คนนั้นเขามองข้า”
“มองเจ้า? เจ้าเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน” พูดจบก็หันหลังเดินจากไปทันที
“อ้าว! คนอะไรปากร้ายจริงๆ”
เมื่อจวิ้นอ๋องเดินเข้าไปสมทบกับอีกสองสตรีนั้นแล้วทั้งหมดหันมามองนางเป็นตาเดียวก่อนจะส่ายหน้าด้วยความระอาใจแล้วเดินจากไปทีละคน
“ก็ข้ารู้สึกว่าเขามองข้าอยู่จริงๆ นี่นา”
เมื่อนางหันกลับไปมองก็ไม่พบบุรุษผู้นั้นเสียแล้ว
“หายไปไหนแล้วนะ”
อีกด้านของงานมีสายตาของคนผู้หนึ่งจับจ้องมองดูหลิวหรงผิงอยู่อย่างไม่วางตา เมื่อครู่ที่เขาถูกนางจ้องมองเขาเองก็ยอมรับว่าไม่สามารถละสายตาไปจากนางได้เช่นกัน
“คุณชายใช่นางหรือไม่ขอรับ”
“อืม”
“ไม่ลองเข้าไปถามนางหรือขอรับ”
“คนอย่างจวิ้นอ๋องจะยอมเปิดโอกาสให้ข้าได้พูดคุยกับนางกระนั้น ข้าจะกลับจวนแล้ว”
“เอ่อแต่ว่าคุณชาย คุณหนูยังไม่ออกมาจากงานเลยนะขอรับ”
"เช่นนั้นก็ไปตามนาง"
"ขอรับ"
เขาละสายตาจากกลุ่มคนเบื้องหน้าก่อนจะก้าวเดินหายไปจากฝูงชนในงานเทศกาลโคมไฟทันที
- - - - - - -
[1] สองร้อยลี้ = 100 กิโลเมตร