สารภีพยาบาท - สรินทร์ 1 / 1
กรุงเทพมหานคร ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖
สำนักพิมพ์ส่องศิลปา
ห้องประชุมโอ่อ่าหรูหราของสำนักพิมพ์ส่องศิลปาบรรจุคนได้มากกว่าสิบคนถูกเปิดออกกว้างคล้ายกับว่ารอการมาของใครบางคนอยู่ ภายในห้องประดับประดาไปด้วยกรอบรูปแขวนเรียงรายไว้บนฝาผนังสีเปลือกไข่
ภาพเขียนสีกวอชในกรอบรูปสีทองอร่ามถูกแต้มสีด้วยพู่กันเบอร์เล็กเรียงต่อกันเป็นรูปทรง…ดูคล้ายกับปราสาทหินพนมรุ้ง
ตรงกลางมีโต๊ะไม้เนื้อดีวางตั้งอยู่ หากสรินทร์คาดคะเนไม่ผิดไปจากความเป็นจริงมากนัก เฟอร์นิเจอร์ตัวนี้มีขนาดประมาณสิบสองนิ้วครึ่งได้
สมุดหลายเล่มถูกวางตั้งไว้ด้านบนชั้นวางข้างตู้ไม้สีน้ำตาลอ่อน ปกหนังสือสีแดงเคลือบเงามีตราสัญลักษณ์คำว่า ‘ส่องศิลปา’ ประทับไว้
ถัดไปข้าง ๆ กันมีตู้ที่ชาวสำนักพิมพ์พร้อมใจเรียกมันว่า ‘ตู้เกียรติยศส่องศิลปา’ เป็นที่เก็บถ้วยรางวัลที่นิตยสารส่องศิลปากวาดรางวัลในวงการสิ่งพิมพ์มาแล้วนับไม่ถ้วน
‘ส่องศิลปา’ เป็นสำนักพิมพ์ของคุณสมภพ ทายาทพันล้าน เขาใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลลงทุนไปกับโรงพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
สรินทร์เคยได้ยิน ‘คุณสร้อย’ บอกว่าในปีพุทธศักราช 2556 นี้เป็นยุคทองของสื่อสิ่งพิมพ์ หลายสำนักข่าวทยอยเปิดตัวขึ้นมาใหม่ เช่นเดียวกันกับนิตยสารแนวโบราณคดีน้องใหม่ของบริษัทได้เปิดตัวมาไม่นานเมื่อเดือนก่อน
แมกกาซีนกว่าสองหมื่นเล่มเป็นนิตยสารที่ขายดีอันดับต้น ๆ ในร้านหนังสือชั้นนำเมื่อเทียบกับจำนวนเม็ดเงินที่กลับคืนมาสู่ ‘ท่านประธาน’ เรียกว่าเป็นกำไรมหาศาล
จากการสำรวจของ ติช่าโพล หัวข่าวที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในเวลานี้ ไม่มีบ้านไหนที่ไม่อ่านส่องศิลปา
ผู้เข้าร่วมประชุมวันนี้มาพร้อมเพียงกันแทบทุกฝ่าย ดวงตาคู่คมของหญิงสาวกวาดมองเพื่อนร่วมงานมากหน้าหลายตาที่มานั่งตรงข้ามของหล่อนอย่างประเมินสถานการณ์ตรงหน้าคร่าว ๆ
มือเรียวของหญิงสาวจรดปากกาด้ามสีน้ำเงินลงไปในกระดาษเอสี่สีขาวสะอาดพลางทำเครื่องหมายติ๊กถูกเป็นสัญลักษณ์หน้ารายชื่อของพนักงาน
หล่อนขีดฆ่าวันที่บนหัวกระดาษอย่างบรรจง กระนั้นสาวเจ้าก็ต้องสะดุ้งโหยงจนสุดตัว เมื่อประตูห้องประชุมปิดดังปัง
“เอาล่ะค่ะ มากันพร้อมแล้วใช่ไหมคะทุกคน” เสียงหวานก้องกังวานดังออกมาจากเรียวปากอวบอิ่มของสร้อยแสงดาว
ลูกน้องสาวแหงนหน้าขึ้นมองสตรีที่ยืนฝั่งตรงข้าม…เค้าโครงใบหน้ารูปไข่ได้รูปล้อมกรอบด้วยเรือนไหมสีดำสนิทปล่อยทิ้งตรงยาวสลวย ดวงตาของสร้อยแสงดาวกลมโตสีน้ำตาลเข้ม หากดูเย่อหยิ่งอยู่ในที
“ค่ะพี่สร้อย” สรินทร์ตอบพลางพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับบอสของเธอ
“งั้นเรามาเริ่มประชุมกันเลยดีกว่า นี่ก็เลทมาสิบห้านาทีแล้ว”
สร้อยแสงดาวปรบมือสามครั้งเพื่อเรียกความสนใจของพนักงานทุกฝ่ายให้หันมาทางเธอ…
“อย่างที่รู้ ๆ กันว่านิตยสารประวัติศาสตร์ของสำนักพิมพ์จะต้องออกเป็นรายปักษ์ และเพื่อให้เท่าเทียมกันในทุกฝ่ายสร้อยจึงอยากให้ทุกฝ่ายได้เสนอไอเดียในการประชุมหัวข้อใหม่ที่เราจะลงกันในเล่มนี้ค่ะ” สร้อยแสงดาวกล่าวพลางกวาดสายตาไปโดยรอบ
“ใครมีอะไรอยากเสนอ ยืนขึ้นได้เลยค่ะ เดี๋ยวน้องรินทร์จะเป็นคนจดรายงานการประชุมครั้งนี้เองค่ะ” พูดแล้วสร้อยแสงดาวหันมาพยักพเยิดให้สรินทร์ที่ยังไม่ทันได้เตรียมตัวเป็น ‘เลขา’ จดรายงานการประชุมในครั้งนี้
วินาทีนี้เจ้าหล่อนรู้สึกอยากจะหวีดเสียงร้องออกมาให้ดังที่สุด หากริมฝีปากชมพูกลับไม่ขยับเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา แม้ว่าสรินทร์จะรู้สึกได้ว่าสร้อยแสงดาวกำลังยัดเยียดภาระหน้าที่ที่หล่อนไม่อยากทำก็ตามที แต่ทำไงได้เล่า หล่อนเองก็เป็นพนักงานในกองประวัติศาสตร์ที่ขึ้นตรงกับสร้อยแสงดาว ‘ผู้จัดการ’ ที่รู้สึกไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย และเมื่อได้รับมอบหมายแล้ว เธอก็จำเป็นต้องดำเนินการให้ลุล่วงไป เพราะคะแนนการวัดระดับ เคพีไอ รอบใหม่ใกล้เข้ามาทุกขณะ
“กรุงศรีอยุธยาดีไหมครับ” เป็นข้อเสนอจากปวัตน์ หัวหน้าทีมฝ่ายอาร์ตที่มักทำงานคู่กัน ปวัตน์เป็นชายหนุ่มมีรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ เขามีฝีมือจัดอาร์ตเวิร์คได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใครในวงการกราฟิก
“กรุงศรีอยุธยาที่อื่นเขาทำกันเกลื่อนแล้วค่ะ พี่ปวัตน์” สร้อยแสงดาวปิดข้อเสนออย่างคนเผด็จการ…
“ถ้างั้นเป็นเมืองนครวัดนครธมดีไหมคะ” ชันนิณี เจ้าหน้าที่ฝ่ายตัดต่อ ลุก ยืนขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะน้องชัน นครวัดนครธมก็มีให้เห็นในบูธงานหนังสือบ่อย”
“ถ้าอย่างนั้น…สร้อยขอเสนอเองแล้วกันนะคะ เมืองสุเรวิตนะเป็นอย่างไรคะอยู่ในสมัยของทวารวดี” สิ้นเสียงของสร้อยแสงดาว ทั่วทั้งห้องเงียบกริบเป็นเป่าสาก
สรินทร์สัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกรอบกาย ขนแขนลุกตั้งขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
‘เลขาจำเป็น’ รู้สึกราวกับว่าอาหารที่ได้รับประทานมื้อเช้า กำลังจะสำรอกออกมาให้ได้อย่างไรอย่างนั้น มือบางยกขึ้นเพื่อขอเวลาเข้าห้องน้ำทันที
“ขออนุญาตค่ะพี่สร้อย” สรินทร์ขัดจังหวะ ก่อน พรวดพราดออกจากห้องประชุม พลางวิ่งไปตามป้ายบอกทางเข้าสุขา ท่ามกลางความงุนงงของทุกคน
สองขาพาเธอมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องน้ำเล็ก ๆ หล่อนสืบเท้าไปด้านในสวนทางกับเงาของใครบางคน…
รองเท้าคัชชูก้าวฉับ ๆ เข้าไป พลางปิดประตูห้องน้ำลงกลอนอย่างแน่นหนา ไอเย็นยะเยือกรอบกาย เมื่อครู่ ได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว
“อ้าว…แปลกแฮะไม่คลื่นไส้แล้ว”