05 บทที่ 5 - 1

2274 Words
ร่างบอบบางที่นอนหลับอยู่บนเตียงกระชับผ้าห่มเข้าหาตัวก่อนจะขมวดคิ้วทั้งๆ ที่ยังหลับตา หญิงสาวครางออกมาอย่างขัดใจเมื่อผ้าห่มผืนหนาไม่ได้ช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับเธอได้มากเท่ากับตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาอีกแล้ว ดวงยิหวานอนพลิกไปมาบนเตียงหนาอยู่หลายครั้ง ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วมองไปรอบข้าง ภาพของเฟอร์นิเจอร์แปลกตาทำให้เธอมึนงงอยู่สักพัก ก่อนจะเด้งตัวขึ้นนั่งเมื่อนึกได้ว่าตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม เราแต่งงานแล้วจริงๆ สินะ... ดวงยิหวาคิดย้ำกับตัวเองก่อนจะมองไปด้านข้างเมื่อคิดได้ว่าก่อนหลับตาเธอไม่ได้นอนอยู่เพียงลำพัง แต่ตอนนี้พื้นที่ด้านข้างของเธอไม่มีร่างสูงนอนอยู่แล้ว มีเพียงหมอนข้างในปลอกหมอนสีขาวที่เธอใช้กอดก่ายในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมาวางอยู่เท่านั้น สรุปแล้วดวงยิหวาต้องนอนร่วมเตียงกับเจ้าบ่าวของตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะไม่ให้เธอนอนบนพื้น และบอกว่าพร้อมจะนอนด้านล่างเองหากเธอไม่สบายใจ แล้วเธอจะทำได้อย่างไรกัน...เขากำลังบาดเจ็บเพราะเธอ อีกทั้งบ้านหลังนี้ ห้องห้องนี้ก็เป็นของเขา สุดท้ายเธอจึงไม่สามารถค้านอะไรได้นอกจากขอให้มีหมอนข้างใบใหญ่มาช่วยกั้นกลาง ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมตกลงแต่โดยดี ใบหน้านวลเห่อร้อนขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อคิดถึงสัมผัสอบอุ่นและคำกล่าวฝันดีอันแสนอ่อนโยนจากผู้ร่วมเตียงของเธอ หญิงสาวพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะลุกขึ้นมาจัดเตียงนอนให้เรียบร้อยและพบว่าตุ๊กตาที่แม่อุ๊ยให้ได้หายไปแล้ว ดวงยิหวาก้มลงมองใต้เตียงและรอบๆ ห้องแต่ก็ไม่พบ จึงขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ห้องนี้ไม่ได้กว้างขวางมากนักและถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ ตุ๊กตาคู่นั้นจึงไม่น่าจะหายไปได้โดยง่าย บางทีเจ้าของห้องนี้อาจจะเป็นคนเก็บไป หญิงสาวเลิกให้ความสนใจทันทีที่คิดได้และตัดสินใจเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว หลังจากที่รีบจัดการตัวเองจนเรียบร้อย ดวงยิหวาก็ลงไปยังชั้นล่างของบ้าน กลิ่นอาหารเช้าที่กำลังถูกปรุงชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อดวงยิหวาค่อยๆ ก้าวเข้าไปยังห้องกินอาหารที่อยู่เยื้องไปทางด้านหลังถัดจากห้องนั่งเล่น ร่างบางกวาดตามองเลยไปยังห้องครัวจึงเห็นอัญชรีย์ที่กำลังยืนง่วนอยู่หน้าเตาแค่เพียงลำพังเท่านั้น หญิงสาวสาวเท้าเข้าหาอีกฝ่าย ก่อนจะหยุดยืนเยื้องไปด้านข้างเพื่อให้อัญชรีย์รับรู้ถึงการมาของเธอ “ขอโทษนะคะคุณแม่ ที่หวาตื่นสาย” ร่างบางเอ่ยพร้อมพนมมือไหว้ผู้มากวัยกว่าด้วยความละอาย อัญชรีย์หันมามองแล้วยิ้มให้อย่างไม่มีร่องรอยตำหนิ ก่อนจะเอื้อมมาจับแขนเพื่อแสดงอาการไม่ถือสา “อย่าคิดมากเลยลูก มานอนผิดที่ก็แบบนี้แหละ” “งั้นให้หวาช่วยนะคะ” ร่างเล็กเอ่ยขึ้นก่อนเดินตรงไปล้างมือแล้วจัดการกับผักสดที่ยังหั่นไม่เรียบร้อย อัญชรีย์มองท่าทางคล่องแคล่วของลูกสะใภ้ด้วยแววตาชื่นชม ก่อนจะละมือหันไปตักข้าวที่เพิ่งสุกมาใส่ในโถแก้วเพื่อเตรียมขึ้นโต๊ะอาหาร “ท่าทางหวาจะทำอาหารบ่อยนะลูก ดูคล่องมือเชียว” “หวาเรียนจบคหกรรมมาค่ะ และคุณป้าของหวาท่านก็ขายอาหารอยู่ในตลาดด้วย หวาเลยต้องช่วยท่านอยู่บ่อยๆ จนตอนเรียบจบหวาก็มาช่วยท่านเต็มตัว เพราะช่วงนั้นท่านเริ่มไม่สบายพอดี” ดวงยิหวาตอบพลางหันไปให้ความสนใจกับหม้อต้มยำที่กำลังเริ่มเดือด ใจเริ่มลอยไปถึงบุคคลที่ถูกเอ่ยถึงจนทำให้น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้เมื่อนึกถึงความทรงจำทั้งสุขและทุกข์ที่มีร่วมกันระหว่างเธอและผู้เป็นป้า “แสดงว่าหวาชอบทำอาหารหรือจ๊ะ” อัญชรีย์พยายามชวนคุยเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เจือแววเศร้าของหญิงสาว ดวงยิหวาจึงหันกลับมาให้ความสนใจเธออีกครั้ง “ก็ชอบค่ะ แต่จริงๆ หวาชอบทำขนมมากกว่า เคยมีโอกาสทำไปขายอยู่พักหนึ่ง ตอนนั้นสนุกมากเลยล่ะค่ะ” แววตากลมโตเต็มไปด้วยประกายสุกใสเมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่ได้ทำในสิ่งที่รัก แม้ตอนนั้นจะเป็นเพียงเวลาไม่นานนัก แต่นั่นก็คือ หนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตสำหรับหญิงสาวธรรมดาอย่างเธอแล้ว “จริงหรือจ๊ะ อย่างนั้นถ้ามีโอกาสหวาทำให้แม่ชิมหน่อยสิ แม่อยากลองชิมฝีมือลูกสาวแม่สักหน่อย” “ได้เลยค่ะคุณแม่ แต่ตอนนี้ชิมต้มยำฝีมือหวาก่อนนะคะ” ดวงยิหวาตอบรับอย่างยินดี ก่อนจะตักต้มยำใส่ถ้วยเล็กให้อัญชรีย์ที่ยืนอยู่ด้านข้างลองชิมด้วยท่าทางตื่นเต้น อัญชรีย์ใช้ช้อนตักเข้าปากช้าๆ แล้วนิ่งไปสักพัก ก่อนจะยิ้มให้หญิงสาวอย่างพอใจ “อร่อยมากเลยจ้ะหวา ลูกสาวแม่ฝีมือดีนะเนี่ย แสดงว่าขนมฝีมือหวาก็ต้องอร่อยด้วยแน่ๆ” “ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้าง หันไปตักต้มยำใส่ถ้วยใบใหญ่เพื่อขึ้นเสิร์ฟ อัญชรีย์จึงหันไปจัดอาหารที่เธอทำไว้แล้วยกขึ้นโต๊ะอาหารต่อจนเสร็จ “ปุณณ์เขาบอกว่าหวากินเผ็ดไม่ค่อยได้ แม่เลยทำต้มจืดกับผัดผักไว้ให้แล้วนะลูก” “เอ๊ะ...ปุณณ์บอกหรือคะ” ดวงยิหวาชะงักมือแล้วหันไปถามอัญชรีย์ด้วยความแปลกใจจากคำบอกเล่านั้น เมื่อไม่ทันคิดมาก่อนว่าอาหารสองอย่างนี้มีไว้เพื่อเธอ “ใช่จ้ะ” “ขอบคุณนะคะคุณแม่” หญิงสาวกล่าวทั้งๆ ที่ในใจอดสงสัยไม่ได้ว่าชายหนุ่มรู้เรื่องของเธอได้อย่างไร คนมองจึงได้แต่ยิ้มน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา “คุณยายคร้าบ มีอะไรกินบ้างครับ รักหิวแล้ว” เสียงของเปี่ยมรักดังขึ้นพร้อมกับเสียงวิ่งตึงตังที่ใกล้เข้ามา ก่อนที่ร่างป้อมของเด็กชายจะถลาเข้าไปกอดยายของตัวเองอย่างออดอ้อนเอาใจ “ยายจัดโต๊ะเสร็จพอดีเลยครับ มีไข่เจียวที่รักชอบด้วยนะ” “เย้ๆ ขอบคุณครับคุณยาย” เปี่ยมรักตอบรับด้วยท่าทีกระตือรือร้นจนทุกคนต้องยิ้มตาม เด็กชายเดินไปนั่งยังที่ประจำของตัวเองอย่างรู้งานก่อนจะหันไปออดอ้อนปัณณรีย์ที่ทรุดตัวนั่งลงข้างบุตรชาย “แม่ครับ รักอยากดูการ์ตูน” “เอ่อ...ตอนนี้ ทีวีเสียจ้ะลูก เอาไว้ถ้าซ่อมเสร็จเมื่อไหร่แล้วเราค่อยดูกันนะจ๊ะ” เปี่ยมรักหน้าตูมทันทีที่ได้ยินคำตอบ ปัณณรีย์จึงเอานิ้วจี้เอวลูกชายทำให้เจ้าตัวน้อยของเธอหัวเราะเสียงใส พยายามดิ้นหนีมือเธอไปมาอย่างสนุกสนาน “ฮาๆๆ ครับๆ รักไม่ดูก็ได้ครับ” เปี่ยมรักโบกมือไปมาทำท่ายอมแพ้ เรียกรอยยิ้มจากทุกคนได้อีกครั้ง อัญชรียทรุดนั่งที่หัวโต๊ะ ในขณะที่ดวงยิหวานั่งลงตรงข้ามกับปัณณรีย์ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าโต๊ะอาหารถูกจัดไว้แค่เพียงสี่ที่เท่านั้น “แล้วคุณพ่อกับปุณณ์ล่ะคะ เช้านี้หวายังไม่เห็นทั้งสองคนเลยค่ะ” อัญชรีย์กับปัณณรีย์ชำเลืองมองกันเล็กน้อยก่อนที่หญิงสูงวัยกว่าจะยิ้มแล้วตอบคำถาม “คุณพ่อท่านไปทำงานแล้วลูก ท่านทำงานไกล ไม่ค่อยได้อยู่บ้านหรอกจ้ะ ส่วนปุณณ์เองก็ออกไปส่งณัฐกลับกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้า คงจะกลับมาตอนบ่ายๆ นั่นแหละ” ดวงยิหวาตอบรับอย่างเข้าใจถึงกรณีของพ่อของปุณณ์ เมื่อคิดถึงลุงเขยของเธอที่ทำงานรับจ้างและไม่ค่อยได้อยู่บ้านเช่นกัน อีกใจก็คิดถึงชายหนุ่มที่หายไปโดยไม่ได้บอกกล่าวอะไรกับเธอไว้ด้วยความรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ “สวัสดีครับทุกคน” เสียงทุ้มสดใสดังขึ้นที่ประตูห้องกินอาหาร เมื่อทุกคนหันไปมองจึงเห็นว่าลมกรดที่ถือวิสาสะเดินเข้ามาภายในบ้านด้วยความคุ้นเคยกำลังส่งยิ้มกว้างมาให้อย่างทั่วถึง “อ้าว...ตากรด นี่ไม่ได้ไปกับเขาด้วยหรือจ๊ะ” อัญชรีย์เอ่ยทักชายหนุ่มที่เดินเข้ามาทำความเคารพก่อนจะโอบกอดเธอ “เปล่าหรอกครับ ว่าจะมาฝากท้องมื้อเช้าที่นี่ก่อนแล้วค่อยไป คิดถึงฝีมือแม่น่ะครับ” ลมกรดพูดจาออดอ้อนจนอัญชรีย์หัวเราะออกมา ชายหนุ่มสวมกอดมารดาของเพื่อนรักอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันมาทักทายปัณณรีย์และเปี่ยมรัก “สวัสดีครับพี่ปัณ ไงเจ้าตัวแสบ” “นั่งก่อนสิกรด เดี๋ยวพี่ตักข้าวให้” ปัณณรีย์เอ่ยชวนแล้วลุกขึ้นไปจัดเตรียมมาให้ชายหนุ่ม ลมกรดตอบรับพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เปี่ยมรักและเอ่ยทักทายหญิงสาวคนสุดท้ายที่นั่งอยู่ในโต๊ะอาหาร “สวัสดีครับหวา ผมลมกรดนะครับ เป็นเพื่อนสนิทของปุณณ์ เรียกว่ากรดเฉยๆ ก็ได้” ลมกรดยื่นมือไปตรงหน้าพร้อมกับส่งยิ้มกว้าง ดวงยิหวายิ้มให้ชายหนุ่มอย่างวางตัวไม่ถูก ก่อนจะยื่นมือออกไปจับมืออีกฝ่ายเพื่อแสดงการตอบรับ “ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” “เมื่อคืนผมมาช้าไปหน่อยเลยไม่ทันได้ทักทายกัน ยังไงก็ขอแสดงความยินดีนะครับ” “ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ดวงยิหวาตอบรับ แต่ก็ไม่ได้สบตากับเขาอย่างเต็มตานัก ตาคมที่มีแววขี้เล่นอยู่เป็นนิจจับสังเกตหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่จะหันความสนใจไปยังอาหารตรงหน้า “กับข้าวน่ากินจังเลยครับแม่ ถ้าอย่างนั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะครับ” ร่างสูงเอ่ยก่อนจะเริ่มตักอาหารขึ้นกิน อัญชรีย์ยิ้มให้เขาก่อนจะเอ่ยถามความเป็นไปของชายหนุ่ม “พอกินเสร็จแล้วกรดจะกลับกรุงเทพฯ เลยหรือลูก” “ครับ พอดีผมจะต้องเลยไปภูเก็ตด้วย เพราะคุณพ่อตั้งใจจะขยายสาขาที่นั่นเพิ่ม ผมเลยต้องลงไปดูด้วยตัวเอง” “อีกหน่อยคงเป็นนายหัวใหญ่แล้วสิ” ปัณณรีย์แหย่ ลมกรดเลยหัวเราะออกมาเบาๆ “คงไม่ขนาดนั้นหรอกครับพี่ปัณ ผมก็เหมือนเดิมของผมเนี่ยแหละ” ลมกรดตอบกลับ ทั้งสามจึงคุยกันต่อถึงเรื่องทั่วๆ ไป ก่อนที่ลมกรดจะมองเด็กชายตัวน้อยข้างกายที่เอาแต่จ้องมองเขามาสักพักแล้ว “มองอะไรหึ เจ้าตัวแสบ” “กำลังมองว่าหัวน้ากรดใหญ่ขึ้นเหรอครับ คุณแม่ถึงบอกว่าหัวใหญ่” คำตอบซื่อๆ ของเปี่ยมรักทำเอาทุกคนนิ่งอึ้งก่อนจะพากันหัวเราะออกมา รวมไปถึงดวงยิหวาที่นั่งเงียบก่อนหน้านี้ด้วย มือหนาขยี้ศีรษะเด็กน้อยอย่างเอ็นดู และทำท่าคาดโทษอย่างไม่จริงจัง “เรานี่มันจริงๆ เลย ถ้าสาวๆ มาได้ยิน เรตติ้งน้าตกหมด” คนฟังพากันยิ้มกับคำพูดของชายหนุ่ม ดวงยิหวาที่มองเขาสักพักจึงเริ่มคิดได้ว่าเธอคุ้นหน้าเขาจากที่ใด ที่แท้ชายหนุ่มตรงหน้าก็คือหนึ่งในสิบหนุ่มโสดในฝันประจำปีนี้ ที่ติดอันดับมาพร้อมกับอดีตพระเอกหนุ่มที่เพิ่งเข้าพิธีวิวาห์กับเธอเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมานั่นเอง “หืม...ต้มยำนี่อร่อยจัง แต่นี่ไม่ใช่รสชาติแบบที่แม่เคยทำนี่ครับ” ลมกรดเอ่ยถามพลางตักชิมอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองทางอัญชรีย์อย่างแปลกใจ “ฝีมือหวาเขาจ้ะ” “งั้นเหรอครับ แหม...อย่างนี้ไอ้ปุณณ์ได้อ้วนแน่ๆ” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มกริ่มไปให้ร่างบางที่มีท่าทีขัดเขินขึ้นมาเมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงสามีของเธอ ก่อนจะแกล้งทำท่าถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเสียงดัง “รอดตัวไปนะเนี่ย ผมนึกว่าเป็นฝีมือพี่ปัณ ผมคงได้มาล้างท้องที่นี่ซะแล้ว” คนถูกพาดพิงยกมือที่ถือช้อนค้างไว้ในอากาศ หันไปส่งค้อนให้ชายหนุ่มรุ่นน้องที่ยังคงล้อเลียนเธอไม่เลิก “เดี๋ยวเถอะตากรด เดี๋ยวก็ไม่ให้กินข้าวด้วยซะเลย” “แหม...ถึงจะผ่านมาเป็นสิบปีแต่ผมก็ไม่เคยลืมหรอกนะ” ลมกรดเย้าต่อด้วยประโยคง่ายๆ ที่ชวนให้นึกถึงฝีมือการทำอาหารของปัณณรีย์ที่เคยทำพิษให้แก่เขาและเพื่อนสนิททั้งสอง อัญชรีย์หัวเราะออกมา ในขณะที่คนถูกแซวเองจากที่พยายามปั้นหน้าขรึมก็ยังอดหัวเราะตามไม่ได้ ดวงยิหวาที่ฟังอยู่คิดตาม ก่อนจะหน้าซีดเผือดเมื่อประมวลคำพูดของชายหนุ่มเรียบร้อยแล้ว สิบปีอย่างนั้นเหรอ... “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ลมกรดเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทีแปลกๆ ของคนตัวเล็กที่สะดุ้งน้อยๆ เมื่อเขาเอ่ยทัก ดวงยิหวารีบส่ายหน้าปฏิเสธและเลี่ยงที่จะสบตากับชายหนุ่มอีก ตาคมหรี่ลงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันกลับไปหยอกเย้าปัณณรีย์ต่อ ดวงยิหวาจึงลอบถอนหายใจออกมาพร้อมกับพยายามทำตัวให้เป็นปกติต่อไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD