หลังจากที่มื้ออาหารผ่านไป ดวงยิหวาก็ขอปลีกตัวออกมาทันทีเพื่อให้พ้นจากการสังเกตของลมกรด ร่างบางพาตัวเองไปนั่งเล่นที่ระเบียงด้านหลังของบ้านที่มองเห็นวิวในมุมเดียวกันกับระเบียงห้องนอนของสามีหนุ่มและหญิงสาว เพียงแต่มุมนี้จะเห็นเพียงต้นไม้ในระดับสายตาเท่านั้น ความเงียบที่เริ่มก่อตัวขึ้นรอบกายอีกครั้งทำให้จิตใจของเธอเริ่มคิดถึงคนที่กรุงเทพฯ จับใจ จนต้องเอื้อมมือไปหยิบเครื่องมือสื่อสารที่ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะตัวเล็กข้างๆ เก้าอี้นั่งเล่นขึ้นมา
“เอ๊ะ...ทำอะไรกันอยู่นะ”
ดวงยิหวารำพึงเมื่อเสียงรอสายของโทรศัพท์ถูกตัดไปอีกครั้งเมื่อไม่มีการตอบรับจากอีกฝ่าย ดวงยิหวานึกกังวลขึ้นมาทันทีเมื่อไม่สามารถติดต่อทั้งนวลฉวีและกิดาการได้ ความร้อนใจทำให้ร่างเล็กผุดลุกขึ้น เดินวนไปวนมา จังหวะการก้าวเดินของหญิงสาวสะดุดลงเมื่อสัญญาณขาดหาย และก้าวต่อไปเมื่อร่างบางตัดสินใจต่อสายถึงป้าของตนเองอีกครั้งและรอคอยอย่างอดทน
“เป็นอะไรหรือจ๊ะหวา มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ปัณณรีย์ที่ก้าวเท้าเข้ามาหาเอ่ยถามหญิงสาวที่หยุดฝีเท้าของตนเองไปอีกรอบ คนฟังจึงเงยหน้าขึ้นตอบด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
“หวาติดต่อคุณป้ากับกิดาไม่ได้เลยค่ะ ก็เลยเป็นห่วงสองคนนั้น”
“เขาอาจจะยุ่งๆ เรื่องที่ป้าของหวาจะไปปฏิบัติธรรมก็ได้มั้งจ๊ะ เห็นคุณแม่พี่บอกว่าท่านจะไปพรุ่งนี้แล้วใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ สงสัยคงจะอย่างนั้นมั้งคะ” ดวงยิหวาตอบกลับเสียงเบาพยายามคิดในแง่ดีตามที่พี่สามีชี้นำ แต่ก็ไม่วายห่วงใยคนทั้งคู่อยู่ลึกๆ
“อย่าคิดมากไปเลยจ้ะ” ปัณณรีย์เอื้อมมือมาจับมือสาวน้อย ดวงยิหวาจึงส่งยิ้มบางเบาให้อีกฝ่ายอย่างขอบคุณ
“ว่าแต่พี่ปัณมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“พี่จะมาชวนหวาไปน้ำตกน่ะ เปี่ยมรักเขาอยากไป”
“น้ำตกเหรอคะ” ดวงยิหวาถามกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น และชะงักไปเมื่อคิดกังวลถึงใครอีกคนขึ้นมาได้ “เอ่อ...มีใครไปบ้างหรือคะ”
“ไปกันแค่เราสามคนจ้ะ คุณแม่ขออยู่ที่บ้าน” ปัณณรีย์ตอบ ดวงยิหวายิ้มกว้างรีบตอบรับทันที
“ถ้าอย่างนั้นหวาขอขึ้นไปเตรียมเสื้อผ้าก่อนนะคะ” ร่างเล็กพูดขึ้นด้วยท่าทีกระตือรือร้นก่อนจะเดินหายเข้าไปในตัวบ้าน ปัณณรีย์มองตามด้วยรอยยิ้มและรู้สึกเบาใจขึ้นมากเมื่อเห็นว่าน้องสะใภ้เริ่มมีชีวิตชีวาอย่างที่เธอคาดหวังเอาไว้
เสียงน้ำกระทบกันที่ค่อยๆ ดังขึ้นสร้างความรู้สึกสดชื่นให้แก่คนฟัง ดวงยิหวาสาวเท้าเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเมื่อไอเย็นที่สร้างความสบายได้ถูกสายลมหอบเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ หญิงสาวสูดหายใจลึก ดื่มด่ำกับความสวยงามของภาพน้ำตกสูงใหญ่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม แสงสว่างที่สะท้อนขึ้นมาเหนือผิวน้ำสีมรกตทำให้ผืนน้ำตรงหน้าดูราวกับห้วงอัญมณีงดงามจนยากที่จะสายตา ต้นไม้ใหญ่รอบข้างให้ความร่มครึ้มรู้สึกสบาย ดวงยิหวาหมุนตัวมองรอบๆ ด้วยความตื่นตา ก่อนจะเดินกลับไปหาปัณณรีย์เพื่อช่วยอีกฝ่ายจัดวางของที่เตรียมมาด้วยกัน
“ที่นี่สวยจังเลยค่ะพี่ปัณ น้ำก็ใสสะอาดมากๆ” ดวงยิหวาพูดพลางมองไปยังแอ่งน้ำข้างตัวที่เห็นปลาตัวเล็กตัวน้อยแหวกว่ายอยู่จำนวนหนึ่ง เสียงตื่นเต้นที่ถูกถ่ายทอดออกมาทำให้คนฟังยิ้มตามอย่างอดไม่ได้
“ที่นี่เป็นเหมือนแหล่งน้ำหลักสำคัญของหมูบ้านจ้ะ ทุกคนจะช่วยกันดูแลอย่างดีเพื่อรักษาความเป็นธรรมชาติเอาไว้ให้มากที่สุด”
คนฟังพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยเมื่อได้มองเห็นพันธุ์ไม้แปลกหลายชนิดที่เธอไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“ถ้ายังไงพี่ฝากหวาดูแลเปี่ยมรักหน่อยนะ เดี๋ยวพี่จัดของต่อเองจ้ะ รายนั้นน่ะเค้าไว ปล่อยไว้คนเดียวไม่ได้หรอก” ปัณณรีย์พยักพเยิดไปทางบุตรชายที่กำลังค่อยๆ เอาเท้าเปลือยเปล่าแตะลงไปในน้ำ คนฟังพยักหน้ารับอย่างเข้าใจและว่าง่าย ก่อนจะรีบเดินไปทางเปี่ยมรักที่ตอนนี้ใช้ขาทั้งสองข้างย่ำน้ำเล่นด้วยความสนุกสนาน ร่างบองมองไปโดยรอบก่อนจะตัดสินใจทิ้งตัวนั่งลงบนโขดหินที่ใกล้กับแอ่งน้ำเล็กที่เด็กชายตัวน้อยจับจองเป็นเจ้าของในยามนี้
“อุ๊ย” ร่างบางอุทานเมื่อมีสายน้ำเย็นถูกสาดมากระทบผิว เสียงหัวเราะดังตามมา ก่อนที่ร่างป้อมๆ จะวิ่งเข้ามากอดหญิงสาวด้วยท่าทางออดอ้อนพร้อมส่งสายตาเว้าวอนมาให้
“น้าหวา เล่นน้ำเป็นเพื่อนรักหน่อยนะครับ” เด็กชายกลิ้งหน้าไปมาบนท้องของหญิงสาวอย่างน่าเอ็นดูจนคนมองนึกหมั่นเขี้ยว เปี่ยมรักออดอ้อนอยู่อย่างนั้น ดวงยิหวาใจอ่อนพยักหน้าตกลงในที่สุด
“โห...น้ำยังเย็นอยู่เลย” หญิงสาวอุทาน ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายกว่าแล้ว หากแต่สายน้ำนั้นยังคงเย็นฉ่ำสร้างความสดชื่นให้แก่ร่างกายได้อย่างดี
“มาตรงนี้สิครับน้าหวา มาให้คุณปลาจุ๊บเท้ากัน” เปี่ยมรักร้องเรียกมาจากอีกมุมพร้อมกวักมือ ดวงยิหวาจึงไปทางนั้นพร้อมกับมองฝูงปลาอย่างตื่นเต้น สองน้าหลานลองยืนนิ่งๆ ให้ปลามาตอดขาและเท้าพลางพากันหัวเราะ จากนั้นจึงเริ่มวิ่งเล่นไล่จับกันอยู่ในน้ำอย่างความสนุกสนาน
ตะวันที่เริ่มคล้อยทำให้น้ำเย็นลงไปอีก ดวงยิหวาพาเปี่ยมรักขึ้นมานั่งเล่นให้ปัณณรีย์ดูแลต่อ ก่อนที่จะนำผ้าขนหนูมาห่มตัวเองไว้ลวกๆ แล้วหันไปให้ความสนใจกับแซนด์วิชที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ เสียงฝีเท้าหนักๆ เดินเข้ามาใกล้ ทำให้ทั้งสามหันไปมอง ปุณณ์มองกลับมาพร้อมส่งรอยยิ้มให้ทุกคน ก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่ใบหน้าของภรรยาสาวที่เฉสายตากลับไปให้ความสนใจกับอาหารในมืออีกครั้ง
“เพิ่งกลับมาหรือปุณณ์” ปัณณรีย์เอ่ยทักน้องชายที่เดินมาร่วมวงด้วย
“ครับ เพิ่งมาถึงสักพักครับ” อดีตพระเอกหนุ่มตอบก่อนจะฉวยผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นมาไว้ในมือแล้วใช้ผ้าค่อยๆ ซับน้ำบนใบหน้าและเส้นผมให้ร่างเล็กที่นั่งเงียบอย่างเบามือ
“เดี๋ยวเราทำเองก็ได้” ดวงยิหวาเบี่ยงหลบ เผลอส่งสายตาน้อยใจบางอย่างไปให้ร่างสูงอย่างไม่รู้ตัว มือหนาจึงเอื้อมมาดันร่างเล็กให้นั่งนิ่งๆ ก่อนจะมองกลับด้วยแววตากึ่งดุกึ่งเย้า
“อย่าดื้อน่ะหวา รักยังนั่งนิ่งๆ เลย”
คนฟังแก้มป่องเมื่อถูกเปรียบเทียบกับหลานชายตัวน้อยที่กำลังนั่งให้ปัณณรีย์เช็ดตัวให้ ร่างบางส่งค้อนให้เขา แต่ก็ยอมนั่งนิ่งๆ ตามคำของเขาเมื่อความอบอุ่นจากมือหนาที่ส่งผ่านนั้นทำให้ความรู้สึกหน่วงๆ ในใจค่อยๆ ทุเลาลง
“อย่างนี้ปุณณ์ก็ไม่ทันได้เจอกับกรดน่ะสิ” ปัณณรีย์ชวนคุยต่อ ปุณณ์จึงหันไปสนทนากับพี่สาวอีกครั้ง
“ไม่ได้เจอหรอกครับพี่ปัณ โทร.คุยกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“เหรอ...แล้วตากรดเล่าเรื่องหวาให้ฟังหรือเปล่า เมื่อเช้ากรดมากินข้าวที่บ้านเราด้วยนะ”
ร่างบางที่นั่งฟังอยู่เผลอเกร็งตัวขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อตนในประโยคคำถามนั้น ก่อนจะทำเป็นไม่ใส่ใจทั้งๆ ที่หัวใจกำลังเต้นรัวด้วยความร้อนรน
“เรื่องอะไรครับ”
“ก็เรื่องที่หวาแสดงฝีมือทำอาหารไง รายนั้นชมใหญ่ว่าต้มยำที่หวาทำอร่อย ติดใจจนกินไปหลายถ้วยแน่ะ” ปัณณรีย์เล่าต่อและทำให้น้องสะใภ้ลอบผ่อนลมหายใจออกมา ส่วนปุณณ์ก็นิ่งฟังอย่างสนใจ
“อย่างนั้นเหรอครับ สงสัยผมต้องขอให้หวาทำให้ผมกินบ้างแล้วสิ ได้ไหมครับหวา” ท้ายประโยคออดอ้อนพลางก้มตัวลงมองสบตากับภรรยาสาว ดวงยิหวาจึงหลุบตาลงต่ำเมื่อความร้อนผ่าวเริ่มกระจายไปทั่วใบหน้าก่อนจะพยักหน้าตอบรับคำขอนั้น
“ขอบคุณนะครับหวา” เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหูจนทำให้ใบหน้านวลยิ่งแดงจัด ชายหนุ่มมองภาพเหล่านั้นอย่างพึงพอใจ ก่อนจะผละออกมาเพื่อเว้นจังหวะให้อีกฝ่ายบ้าง
“อ้อ...เมื่อกี้ผมเดินสวนกับลุงสม แกบอกว่าที่ริมน้ำตกฝั่งโน้นมีกล้วยไม้ป่ากำลังออกดอกสวยเชียวครับ ผมเลยคิดว่าจะชวนทุกคนไปดูสักหน่อย”
“อย่างนั้นเหรอ...อืม...ปุณณ์พาหวาไปเถอะ พี่นั่งรออยู่ตรงนี้ดีกว่า”
คนเป็นพี่เอ่ยตอบพลางส่งสัญญาณเปิดทางให้น้องชาย ในขณะที่หญิงสาวซึ่งเป็นเป้าหมายไม่ได้เอะใจเลยสักนิด หากแต่หันกลับมาให้ความสนใจกับชายหนุ่มด้วยความตื่นเต้น
“รักไปด้วยนะครับน้าปุณณ์” เปี่ยมรักส่งเสียงขึ้นมาบ้างเมื่อตนเองอยากมีส่วนร่วม ปุณณ์จึงหันไปยิ้มให้หลานชายตัวน้อยพร้อมพยักหน้ารับ
“ได้สิครับ ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเลยดีกว่า ไปกันครับหวา” ร่างสูงผุดลุกขึ้นพร้อมกับหันไปจับจูงหลานชาย มืออีกข้างยื่นไปคว้ามือเรียวของภรรยาสาวก่อนจะออกแรงช่วยอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น ทั้งสองสบตากันชั่วครู่ จากนั้นพวกเขาก็พากันก้าวเดินไปยังจุดหมายที่ตั้งใจเอาไว้