05 บทที่ 5 - 3

2459 Words
ร่างอ้วนป้อมของเด็กชายวิ่งนำไปข้างหน้าอีกครั้งเมื่อใกล้ถึงต้นไม้ใหญ่ที่กล้วยไม้ป่าเกาะเกี่ยวอยู่ ดวงยิหวาที่กำลังจับจ้องดอกไม้นั้นส่งยิ้มกว้าง ตากลมโตมีแววสุกใสด้วยความชื่นชมและตื่นเต้น ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันไปหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ เพื่อชมความงามของดอกไม้หลากสีให้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น “สวยจังเลยครับน้าปุณณ์ เราเอากลับบ้านได้ไหมครับ” เปี่ยมรักถามน้าชายด้วยท่าประจำเวลาต้องการออดอ้อน แต่ครั้งนี้คนเป็นน้าไม่เห็นด้วยและอธิบายถึงเหตุผลที่เขาไม่ตอบรับคำขอนั้น “ไม่ได้หรอกครับรัก ถ้าคุณกล้วยไม้ต้องแยกจากบ้าน เขาคงน่าสงสารแย่เลยนะครับ” เด็กชายนิ่งคิดไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับรัวเร็วด้วยสีหน้าจริงจังจนผู้ใหญ่อีกสองคนยิ้มให้อย่างเอ็นดู “ชอบไหมครับหวา” ปุณณ์หันมาให้ความสนใจร่างบางข้างๆ ซึ่งหญิงสาวเองก็พยักหน้ารับอย่างรัวเร็วเช่นกัน “ชอบสิ...สวยมากเลยล่ะปุณณ์ ที่นี่มีแต่ธรรมชาติสวยๆ เนาะ” พูดจบก็ส่งยิ้มกว้างไปให้ชายหนุ่มก่อนจะหันกลับไปชื่นชมภาพเหล่านั้นอีกครั้ง คนมองยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปช่วยจับผ้าขนหนูที่คลุมบนไหล่ของหญิงสาวให้กระชับมากยิ่งขึ้น “น้าปุณณ์ครับ มาดูนี่สิครับ” เสียงเปี่ยมรักที่ดังห่างออกไปเรียกความสนใจของทั้งสองให้มองตาม ปุณณ์กับ ดวงยิหวาจึงพากันเดินไปหาเด็กชายตัวน้อยที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นพร้อมกับก้มตัวไปข้างหน้า “ลูกนกนี่น่า ขนยังไม่ขึ้นเลย” ดวงยิหวาอุทานเมื่อเห็นสิ่งที่เปี่ยมรักกำลังจ้องมอง ก่อนจะช้อนลูกนกตัวนั้นขึ้นมาไว้ในอุ้งมือด้วยความระมัดระวัง “สงสัยคงจะตกลงมาจากรังบนนั้นน่ะ” ปุณณ์ชี้ขึ้นไปยังรังนกบนกิ่งไม้ใหญ่ที่อยู่เหนือหัว ทุกคนมองตามก่อนจะพากันทำท่าครุ่นคิดอย่างเป็นกังวล “น่าสงสารจังครับน้าปุณณ์ เราช่วยพาคุณนกกลับบ้านกันได้ไหมครับ” เปี่ยมรักเขย่ามือของน้าชายพลางส่งสายตาร้องขอ ปุณณ์มองรังนกอยู่อึดใจก่อนจะพยักหน้ารับคำขอนั้น “เดี๋ยวน้าลองก่อนนะ” อดีตพระเอกหนุ่มลองเขย่งตัวขึ้นจนสุดแขนและพบว่ารังนกนั้นยังคงห่างออกไปอีกไม่น้อย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ก่อนจะหันไปมองคนตัวเล็กอีกคนที่กำลังยืนลุ้นอยู่ข้างตนเอง “หวาคงต้องช่วยผมแล้วล่ะ” “ช่วย?” ดวงยิหวาทวนคำอย่างงงๆ มองตามสายตาร่างสูงที่มองไปด้านบนอีกครั้งก่อนจะก้มลงมาสบตากับเธอ แล้วเดินเข้ามาประชิดตัวทันที “เดี๋ยวผมจะอุ้มหวาให้ขึ้นไป ไม่ต้องกลัวนะหวา เราจะช่วยกันนะ” ร่างบางนิ่งไปเมื่อได้ฟังแผนการของเขา หญิงสาวมองขึ้นไปยังรังนกอีกครั้งอย่างชั่งใจ แล้วหันไปสบตาแน่วแน่ของชายหนุ่มที่สร้างความเชื่อมั่นให้แก่เธอ หญิงสาวจึงพยักหน้ารับ “อื้ม...ได้สิ” “อยู่นิ่งๆ นะครับหวา” ปุณณ์เอ่ยย้ำก่อนจะรวบต้นขาของหญิงสาวที่กำลังยืนนิ่งให้สูงขึ้น แล้วให้สะโพกมนเกยอยู่บนบ่าของเขา ดวงยิหวาที่เผลอกลั้นใจค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ก่อนจะยืดตัวให้สูงขึ้นทีละนิด...ทีละนิด มือเรียวยื่นไปสุดแขนจนถึงจุดหมายที่ตั้งใจเอาไว้ อุ้งมือบางค่อยๆ ประคองลูกนกกลับใส่รังช้าๆ จนลูกนกตัวน้อยกลับถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยในที่สุด “เย้ๆๆๆ คุณนกได้กลับบ้านแล้ว” เปี่ยมรักร้องดีใจพร้อมกับชูมือทั้งสองข้างขึ้น ปุณณ์ค่อยๆ วางดวงยิหวาลงกับพื้นโดยที่สองมือของเขายังคงโอบประคองหญิงสาวเอาไว้ ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างดีใจแล้วพากันหันกลับไปมองรังนกที่แม่นกบินกลับมาดูแลลูกน้อย มือของทั้งคู่ยังคงสอดประสานกันในขณะที่สายตาจับจ้องไปยังภาพนั้นด้วยความอิ่มเอม เสียงเปิดประตูรั้วบ้านในยามวิกาลทำให้กำพลต้องรีบลุกขึ้นเดินไปมองที่หน้าต่างของบ้านด้วยความแปลกใจ ชายสูงวัยหายใจติดขัด ข่มความไม่พอใจลึกๆ เอาไว้เมื่อเห็นว่าคนที่ถือวิสาสะเดินเข้ามาในบ้านของเขาในยามนี้เป็นพี่ชายของภรรยาสุดรักของเขา เสียงเดินลงบันไดอย่างรวดเร็วจากด้านหลังทำให้เข้าจำต้องละสายตาจากผู้มาเยือนแล้วหันกลับไปมอง คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าปรางทิพย์อยู่ในเสื้อผ้าชุดใหม่ท่าทางเฉิดฉายเตรียมพร้อมออกไปข้างนอกอย่างเต็มที่ “นี่แม่ปรางจะไปไหน มันดึกแล้วนะ” “ฉันมีธุระกับพี่ชายฉันน่ะสิ ฉันไปก่อนนะ” “เดี๋ยวก่อนสิ” กำพลฉวยแขนของภรรยาที่กำลังจะเดินผ่านหน้า ”ธุระอะไรดึกดื่นป่านนี้” “เอ๊ะ! พี่พลนี่ยังไง อย่ามาขัดฉันนะ ฉันกำลังจะเอาเงินไปต่อเงินน่ะสิ” ดวงตาคนพูดวาววับเมื่อคิดถึงงานอดิเรกของตัวเอง คนฟังหน้าถอดสี รีบค้านอย่างไม่เห็นด้วย “เงินนั่น...พี่ไม่อยากยุ่ง จริงๆ แล้วพี่ไม่มีสิทธิ์...” “หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะพี่พล” ปรางทิพย์แหวขึ้นมา มองหน้าสามีอย่างเอาเรื่อง “พี่ไม่อยากยุ่งก็เรื่องของพี่ แต่ฉันจะใช้ ปล่อยได้แล้ว อย่าคิดจะมาขัดลาภฉัน” กำพลจำต้องยินยอมเมื่อเห็นสายตาเอาเรื่องของคนรัก ปรางทิพย์จัดเสื้อผ้าหน้าผมของตนใหม่อีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปทักทายพี่ชายของตนด้วยรอยยิ้มหวานกว่าที่เคย “ไปกันเถอะพี่ เดี๋ยวเราไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่าเนาะ” ปรางทิพย์ควงแขนพี่ชายที่มองมาทางกำพลอย่างหยันๆ ก่อนจะพากันเดินออกไปขึ้นมอเตอร์ไซด์ที่จอดอยู่หน้ารั้วบ้านแล้วพากันขี่ออกไป กำพลมองตามด้วยความรวดร้าวใจ ได้แต่เก็บซ่อนความข่มขื่นเอาไว้แล้วทิ้งตัวนั่งลงในบ้านที่เงียบเหงาอย่างหมดแรง เสียงเจื้อยแจ้วของหลานสาวที่ดังมาตามสายทำให้นวลฉวียิ้มออกมาอย่างคลายกังวล คำบอกเล่าของดวงยิหวาทำให้คนเป็นป้ายิ่งมั่นใจในการตัดสินใจของตนเองว่าได้ฝากหัวใจของเธอไว้กับคนที่คู่ควรแล้ว แม้แม่ตัวน้อยจะยังมีท่าทีงอแงออดอ้อนอยู่บ้าง แต่ในน้ำเสียงที่แฝงความสดใสที่ไม่ได้ยินมานานก็ทำให้เธอรู้ว่าหญิงสาวเริ่มปล่อยวางกับเส้นทางในชีวิตสายเก่า และเริ่มเปิดรับเส้นทางใหม่ให้แก่ชีวิตของตนเองได้แล้ว “ได้ยินว่าหวามีความสุขป้าก็ดีใจแล้วแหละลูก อยู่นั่นก็ทำตัวดีๆ ให้สมกับที่เขาดีกับเรานะหวา” “ค่ะคุณป้า หวาจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อ ไม่ซน จะไม่สร้างปัญหาให้คุณป้าต้องเป็นห่วงอย่างผ่านมาอีกแล้วนะคะ” ท้ายประโยคเสียงแผ่วเมื่อลึกๆ แล้วความรู้สึกผิดยังคงไม่จางหายกับความวุ่นวายครั้งสุดท้ายที่เธอเป็นคนก่อก่อนจะหนีมาพักใจที่นี่ “อย่าโทษตัวเองแบบนั้นสิลูก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ถ้าหวายังคิดมากแบบนี้ ป้าจะสงบจิตใจได้ยังไงล่ะ เลิกคิดได้แล้ว” น้ำเสียงคาดโทษอย่างไม่จริงจังถูกถ่ายทอดเพื่อให้สาวน้อยมีสติกับสิ่งตรงหน้าอีกครั้ง ดวงยิหวาได้แต่นิ่งงันไปเมื่อยังคิดย้ำว่าตนเองทำผิดไปมากกว่าที่ผู้เป็นป้าได้รับรู้ หญิงสาวลอบถอนหายใจ ก่อนจะตอบรับด้วยน้ำเสียงที่ถูกปรับเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจให้มากที่สุด “ค่ะ หวาจะพยายามไม่คิดมากนะคะ” “ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นหวาไปพักผ่อนเถอะลูก ป้าเองก็ต้องไปพักแล้ว พรุ่งนี้ต้องเดินทางตั้งแต่เช้า” หญิงสูงวัยตัดบทเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยจากช่วงหัวค่ำไปมากแล้ว “หวาคิดถึงคุณป้านะคะ รักมากๆ ด้วย” ดวงยิหวาส่งเสียงออดอ้อนไปให้คนที่เธอรักและเคารพที่สุดในชีวิตอีกครั้ง ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว ก่อนที่หญิงสาวจะพยายามสลัดความฟุ้งซ่านและทำใจให้เข้มแข็งเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องเป็นกังวลเพราะเธอ “ป้าก็รักหวามากนะลูก ดูแลตัวเองดีๆ นะลูกนะ” “ค่ะคุณป้า คุณป้าก็เหมือนกันนะคะ ถ้ามีเวลาโทรหาหวาบ้างนะคะ” สาวน้อยย้ำอีกครั้งก่อนจะวางสายพร้อมความรู้สึกที่วูบโหวง เมื่อคิดไปว่าเธอกับผู้เป็นป้าจะมีโอกาสได้พูดคุยกันน้อยลงเรื่อยๆ ระยะทางที่ไกลห่างและการแสวงหาความสงบของหญิงสูงวัยคงไม่เอื้ออำนวยให้เธอทำตัวเป็นลูกแหง่และคอยโทร.ไปรบกวนเวลาของป้าได้อีก จากนี้ไปเธอจะต้องเข้มแข็งแล้ว เธอต้องพยายามก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงอย่างที่ป้าของเธอนั้นหวังเอาไว้ หลังจากยืนเหม่อมองท้องฟ้าและหมู่ดาวอยู่สักพัก ร่างบางก็ตัดสินใจกดโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทของตนเองบ้าง เสียงรอสายที่ดังยาวนานทำให้คิ้วเรียวเริ่มขมวดเข้าหากัน หญิงสาวถอนหายใจและตัดสินใจจะกดวางสาย หากแต่เสียงตอบรับของเพื่อนสาวที่ดังขึ้นเสียก่อนนั้นได้ยั้งมือของเธอเอาไว้ได้ทันท่วงที “รับได้สักทีนะ” เสียงหวานค่อนขอดไปตามสายอย่างอดไม่ได้ คนฟังจึงส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ กลับมา “แหมไอ้หวา พอดีฉันติดงานด่วนน่ะ โทษทีๆ อย่าโกรธกันนะ” กิดาการทำเสียงเล็กเสียงน้อยซึ่งฟังแล้วดูก่อกวนมากกว่าจะรู้สึกผิดจริง คนเป็นเพื่อนส่ายหน้าอย่างอ่อนใจเพราะรู้จักกันดี ก่อนจะตอบรับอย่างไม่ถือสา “อื้ม ฉันไม่โกรธหรอก ก็พอเข้าใจอยู่หรอกว่างานแบบแกน่ะยุ่ง” “น่ารักจริงๆ เพื่อนฉัน ว่าแต่โทร.มาตั้งหลายครั้งมีอะไรหรือเปล่า” “ก็...” “เฮ้ยคุณ” เสียงโวยวายมาพร้อมกับเสียงบางอย่างที่กระทบกันดังลั่น ทำเอาดวงยิหวาสะดุ้งด้วยความตกใจก่อนจะรีบส่งเสียงเรียกเพื่อนรักอย่างร้อนรน “กิดา กิดา แกเป็นอะไร” “ขับรถยังไงของคุณเนี่ย” กิดาการโวยวายโดยลืมให้ความสนใจกับเพื่อนสนิทไปชั่วขณะ “คุณก็เห็นนี่ว่าเราคันนั้นตัดหน้าเรา ผมเบรกทันก็ดีแค่ไหนแล้ว” เสียงผู้ชายที่ฟังดูคุ้นหูทำให้ดวงยิหวาสับสนและมึนงง หญิงสาวยืนทบทวนอยู่สักพักก่อนจะพอนึกออกว่าเสียงนั้นคล้ายกับเสียงของใคร “กิดา แกเป็นอะไร แล้วนั่นแกอยู่กับใคร ฉันได้ยินเสียงเหมือนคุณณัฐเลย” “แค่นี้ก่อนนะหวา เดี๋ยวฉันติดต่อกลับไป” “เดี๋ยว ฮัลโหล กิดา” ดวงยิหวาฮึดฮัดเมื่อสายโทรศัพท์ถูกตัดกะทันหัน หญิงสาวพยายามติดต่อกลับอีกหลายครั้งแต่ก็ไม่มีการตอบรับกลับมาอีกแล้ว ร่างบางเริ่มเดินวนไปมา ใบหน้านวลยุ่งเหยิงจากการพยายามครุ่นคิดอย่างข้องใจว่าเกิดเหตุการณ์ใดกับเพื่อนสนิทของเธอกันแน่ “น้าหวาครับ เล่านิทานให้รักฟังหน่อยสิครับ” หลานชายตัวน้อยวิ่งเข้ามาออดอ้อนพลางกอดขาหญิงสาวแน่น ปุณณ์เดินตามหลานชายมาห่างๆ เขาส่งยิ้มบางๆ ให้ ทั้งสองทำให้ดวงยิหวาจำต้องข่มความสงสัยเอาไว้ ก่อนจะย่อตัวนั่งลงมองเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “น้าเล่านิทานไม่ค่อยเก่งนะครับ ให้น้าปุณณ์เล่าไม่ดีกว่าหรือ” “รักอยากให้น้าปุณณ์อ่านส่วนของเจ้าชาย ให้น้าหวาอ่านส่วนของเจ้าหญิงนี่ครับ นะครับน้าหวา เล่าให้รักฟังนะครับ” แขนป้อมของเด็กชายวาดไปรอบคอหญิงสาวพร้อมกับเอาใบหน้าถูไถ คนถูกอ้อนจึงหัวเราะก่อนจะใจอ่อน “ได้สิครับ” หญิงสาวตอบรับและทำให้เด็กน้อยส่งเสียงออกมาอย่างดีใจ มือเล็กป้อมคว้ามือของหญิงสาวเอาไว้ข้างหนึ่ง ก่อนที่อีกข้างจะเอื้อมไปจับมือหนาของน้าชายแล้วจับจูงทั้งสองเดินไปยังห้องนอนของตนเอง “เอาเรื่องอะไรดีครับรัก” ปุณณ์เอ่ยถามหลานชายตัวน้อยในขณะที่เด็กชายปีนขึ้นไปนอนบนเตียงของตนเองแล้ว เด็กชายเอียงคอทำท่าคิดแล้วคว้าเอาหนังสือนิทานที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงมายื่นให้ผู้เป็นน้า “เอาเรื่องนี้ครับ รักอยากฟังม๊ากมาก ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ” “ตั้งแต่เมื่อคืนเลยเหรอ” ปุณณ์ถามกลับพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะคว้าสมุดเล่มนั้นมาเปิดดู “ใช่ครับ รักอยากให้น้าปุณณ์เล่าให้ฟัง แต่เมื่อคืนคุณแม่บอกว่าไม่ได้” เปี่ยมรักตอบพร้อมทำหน้ายุ่ง ก่อนดวงตากลมโตจะเจิดจ้าแล้วจ้องมองน้าชายและน้าสะใภ้สลับกันไปมาอย่างสงสัย “เข้าหอคืออะไรครับน้าปุณณ์ รักได้ยินคุณแม่พูดกับคุณตาคุณยาย มันสนุกมั้ยอ่ะครับ” ผู้ใหญ่สองคนแทบจะสำลักลมหายใจและเผลอสบตากัน ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะเบือนหน้าหนีพร้อมอาการเห่อร้อนที่ใบหน้า ฝ่ายชายกลั้นยิ้มแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมาให้หญิงสาวเขินอายไปมากกว่าเดิม “เอ่อ...รักอยากฟังนิทานไม่ใช่เหรอครับ เรามาฟังนิทานกันดีกว่าเนอะ” ปุณณ์โน้มน้าวเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งเด็กชายตัวน้อยก็ยอมแต่โดยดี “ก็ได้ครับ” เปี่ยมรักพยักหน้าก่อนจะมุดตัวลงไปในผ้าห่มผืนหนาของตนและรอคอยตาแป๋ว ปุณณ์ลอบมองไปยังร่างบางที่ทำท่าโล่งอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเริ่มต้นเล่านิทานที่อยู่ในมือ แรกๆ ผู้ช่วยของเขาก็ยังคงเก้ๆ กังๆ ก่อนที่จะเริ่มอ่านได้คล่องขึ้นเมื่อปราศจากความเขินอายแล้ว ทั้งสองเล่านิทานเข้าขากันขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะช่วยกันขับกล่อมเด็กชายตัวน้อยให้เข้าสู่ห่วงนิทราด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD