“หน้าด้าน”
ดวงยิหวาผงะเมื่อได้ยินเสียงต่อว่าไล่หลังก่อนจะตัดสินใจเลี่ยงการปะทะเมื่อจิตใจของเธอนั้นยังอ่อนล้าเกินไป
“เธอคงเป็นฝ่ายไปยั่วจนทำให้ผู้ชายประวัติดีๆ อย่างพี่ปุณณ์หลงผิดล่ะสิ คิดจะเกาะผู้ชายดังหรือยังไง” หญิงสาวอีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะๆ พร้อมกับก้าวมาขวางทางอย่างไม่ยอมให้ดวงยิหวาเดินจากไปง่ายๆ แววตาของคนฟังเริ่มวาววับ เมื่อถ้อยคำของอีกฝ่ายนั้นรุนแรงจนเริ่มจะเกินกว่าที่เธอจะยอมรับได้
“ผู้หญิงง่ายๆ อย่างเธอมันก็แค่ของเล่นเท่านั้นแหละ ที่สร้างเรื่องให้เป็นข่าว เพราะคงหวังจะอัพค่าตัวล่ะสิท่า”
ดวงยิหวาตวัดสายตามองหญิงสาวที่เข้ามาหาเรื่องคนสุดท้ายด้วยดวงตาที่แข็งกร้าวขึ้น แม้จิตใจจะบอบช้ำ แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอจนกลายเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว
“อย่าเอานิสัยตัวเองมาตัดสินคนอื่นจะดีกว่านะ”เธอตอกกลับเสียงเย็นก่อนจะหาทางผละหนีไปอีกครั้ง แต่ดูเหมือนคู่กรณีจะไม่ยินยอมและออกอาการไม่พอใจอย่างรุนแรง หนึ่งในนั้นเข้าประชิดตัวเธออย่างรวดเร็วด้วยท่าทีคุกคาม
“ทำร้ายร่างกายเป็นคดีอาญานะคุณ พยานเยอะซะด้วย”
เสียงชายหนุ่มดังแทรกขึ้นมาจนเรียกความสนใจของทุกคนให้หันไปมอง ณัฐพลก้าวเข้ามาขวางพลางเอาตัวบังดวงยิหวาเอาไว้ราวกับต้องการปกป้อง กลุ่มคนที่มาหาเรื่องจึงยั้งท่าทีเมื่อเห็นท่าทางเอาจริงของชายหนุ่มตรงหน้า แต่ยังไม่วายเหน็บแนมต่อไป
“หึ! ท่าทางเธอคงจะแรดจริงๆ สินะ ถึงได้มีผู้ชายมาออกตัวให้แบบนี้ แต่ละวันคงมั่วไม่ซ้ำเลยละสิ”
คนกลางเลิกคิ้วใส่หญิงสาวที่พูดจาพาดพิงถึงเขาก่อนจะส่งยิ้มยียวนไปให้
“นี่ก็ถือว่าหมิ่นประมาทนะครับ และทุกคำผมก็อัดเสียงเอาไว้แล้วด้วย” ผู้จัดการหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ พร้อมกับยกโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมา แต่แววตาที่ส่งไปหาอีกฝ่ายนั้นมีรอยข่มขู่ปรากฏอยู่จนแม้แต่หญิงสาวที่เขากำลังปกป้องยังนึกกลัว คู่กรณีทั้งสามเริ่มมีท่าทีลังเลมองหน้ากันไปมาอย่างนึกหวั่น ก่อนจะพากันเข่นเขี้ยวแล้วตัดสินใจพากันถอยหนีเดินจากไปในที่สุด
ดวงยิหวาลอบถอนหายใจ ก่อนจะเริ่มปั้นหน้าไม่ถูกเมื่อครั้งนี้เธอกลายเป็นเป้าสายตาของชายหนุ่มตรงหน้าแทน
“ไปกับผม” เสียงออกคำสั่งพร้อมกับมือหนาที่ยื่นมาจับข้อมือของเธออย่างถือสิทธิ์ทำให้หญิงสาวสะดุ้ง ร่างสูงออกแรงดึงให้อีกฝ่ายที่ยังคงเอาแต่ยืนนิ่งก้าวเดินตามตนจนไปถึงรถสปอร์ตคันหรูสีขาวที่จอดไว้ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มเปิดประตูแล้วดันร่างบางขึ้นไปนั่งด้านข้างคนขับก่อนที่ตัวเขาจะเข้าไปนั่งประจำที่ตรงหลังพวงมาลัยและออกรถด้วยความรวดเร็ว
“เจอตัวแล้ว ก็มีเรื่องนิดหน่อยอย่างที่คิดนั่นแหละ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว” ชายหนุ่มคุยกับคนปลายสายที่เขารีบโทร.หาทันทีหลังจากที่รถเคลื่อนตัวได้ไม่นาน พร้อมกับปรายตามองหญิงสาวที่เอาแต่นั่งเงียบในทันทีที่ขึ้นรถ
“อืมๆ เดี๋ยวเจอกัน” เขากดวางสายก่อนจะลอบมองคนข้างๆ ที่ก้มหน้าหนีทันทีที่รู้ตัวว่าถูกจับจ้องอีกครั้ง
“คุณไม่ควรรีบร้อนออกมาแบบนี้” ณัฐพลเอ่ยขึ้น หากแต่น้ำเสียงกลับเจือไปด้วยความห่วงใยมากกว่าตำหนิจนคนฟังที่สัมผัสได้มีอาการเกร็งน้อยลง
“ไหนคุณบอกว่าจะไม่มีภาพของฉันไง แล้วทำไม...” ร่างบางเม้มปากแน่นเมื่อคิดถึงภาพของเธอที่กำลังแพร่กระจายอยู่ในตอนนี้ แววตาบวมช้ำเริ่มมีหยาดน้ำตาเอ่อคลออีกครั้งเมื่อไม่อาจฝืนทนกักเก็บความรู้สึกเสียใจได้ไหว
“มีบางอย่างผิดแผนนิดหน่อยน่ะ” ร่างสูงเอ่ยตอบพร้อมกับมองอีกฝ่ายอย่างเห็นใจ ก่อนที่จะตวัดสายตากลับไปถนนตรงหน้าด้วยแววตาที่แข็งกร้าวขึ้น เมื่อคิดถึงสาเหตุที่ทำให้เรื่องทุกอย่างบานปลายจนไม่สามารถควบคุมได้อีกแล้ว
“ใจเย็นๆ ไว้ก่อนเถอะคุณ อย่างที่ปุณณ์เคยบอกกับคุณเอาไว้ไงว่าเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”
“คุณหมายความว่ายังไง” ร่างบางหันไปมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม หากแต่ครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ได้หันกลับมามองสบตาเธออย่างเก่า มีเพียงรอยครุ่นคิดบางอย่างที่ปรากฏบนใบหน้าของเขาเท่านั้น
รถสปอร์ตคันหรูค่อยๆ ชะลอความเร็วลงหลังจากที่เลี้ยวเข้ามาในซอยเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ดูเงียบสงบผิดจากบรรยากาศของถนนใจกลางเมืองที่รถเพิ่งเคลื่อนผ่านมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้อย่างลิบลับ ดวงยิหวามองไปรอบๆ อย่างแปลกใจเมื่อเธอเองก็นึกไม่ถึงว่ากลางเมืองใหญ่จะมีหมู่บ้านอันแสนสงบซุกซ่อนอยู่เช่นนี้ หญิงสาวมองตามแนวร่มไม้ข้างทางที่ช่วยสร้างความสดชื่นในหัวใจให้ได้อย่างประหลาด แนวต้นไม้เหล่านั้นถูกปลูกขึ้นราวกับแสดงอาณาบริเวณของบ้านแต่ละหลังที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก หากแต่มีพื้นที่รอบบ้านที่ดูกว้างขวาง รถยนต์เคลื่อนไปได้สักพักก็เลี้ยวเข้าไปตามทางที่มุ่งตรงไปยังบ้านหลังหนึ่งที่มีแนวร่มไม้ใหญ่ด้านหน้าบดบังเอาไว้อย่างมิดชิด ก่อนจะจอดสนิทเมื่อเคลื่อนไปถึงลานโล่งกว้างที่มีน้ำพุเล็กๆ ตั้งอยู่ใจกลางตรงนั้น
“ถึงแล้วล่ะ” ณัฐพลเอ่ยขึ้นพลางปลดสายเข็มขัดนิรภัยของตนก่อนจะก้าวลงจากรถ ดวงยิหวามองตามชายหนุ่มอย่างครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจทำตามอีกฝ่ายแล้วก้าวตรงไปหาเขาที่หยุดยืนอยู่บริเวณประตูหน้าบ้าน
ชายหนุ่มกดกริ่งที่ประตู จากนั้นทั้งสองก็ยืนรออยู่สักพักประตูบานใหญ่จึงถูกเปิดออก ดวงยิหวานิ่งงันไปเมื่อเห็นร่างของชายหนุ่มที่เธอคาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ พร้อมกับนึกกลัวและละอายเมื่อคิดไปถึงความผิดที่ตัวเองได้ก่อเอาไว้ ในขณะที่ปุณณ์นั้นเพียงแค่เดินตรงเข้ามาหาหญิงสาวพร้อมกับส่งยิ้มมาให้
“เห็นณัฐว่ามีปัญหาเกิดขึ้นนิดหน่อย คุณไม่เป็นอะไรนะ”
ชายหนุ่มเอ่ยถามพลางมองสำรวจร่างเล็ก ดวงยิหวาส่ายหน้าเบาๆ ด้วยอาการเกร็งๆ ร่างสูงจึงพยักหน้ารับอย่างเบาใจ
“ถ้าอย่างนั้น เราเข้าไปข้างในกันเถอะ ผมมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับคุณ” พระเอกหนุ่มเอ่ยอีกครั้งพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญ แต่ดวงยิหวากลับยืนนิ่ง ในดวงตาของหญิงสาวนั้นเต็มไปด้วยความลังเลและสับสน
“เข้าไปเถอะคุณ” ณัฐพลเอ่ยสำทับพร้อมส่งรอยยิ้มจริงใจไปให้ หญิงสาวจึงพยักหน้ารับก่อนเดินตรงเข้าไปในตัวบ้านโดยมีปุณณ์ก้าวตามหลัง ในขณะที่ณัฐพลตัดสินใจที่จะยืนรออยู่ด้านนอกเพียงลำพัง
เมื่อก้าวเข้าไปด้านใน ดวงยิหวาจึงได้เห็นว่าบ้านหลังนี้ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นดูเรียบง่าย สีของเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ที่ใช้ภายในบ้านเป็นโทนสีขาวและสีครีม สร้างความรู้สึกสบายตาให้แก่ผู้ที่พบเห็น ร่างเล็กตัดสินใจทรุดตัวลงนั่งตรงโซฟาสีครีมเข้มที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขกทางซ้ายมือด้วยท่าทางประหม่ามากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าของบ้านที่เดินตามมากลับก้าวต่อไปยังห้องครัวด้านในสักพัก ก่อนจะออกมาพร้อมแก้วน้ำหวานสีแดงสดที่ต่อมาถูกวางเอาไว้ตรงหน้าสาวน้อยที่มองมาทางเขาอย่างมึนงง
“ดื่มก่อนเถอะ จะได้สดชื่นขึ้น” ปุณณ์ส่งยิ้มบางๆ ให้ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวถัดไปจากเธอ ร่างบางทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะวางแก้วลงตามเดิมหลังจากที่ดื่มไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“เรื่องข่าว...ผมขอโทษนะ” ชายหนุ่มเปิดการสนทนาพร้อมกับมองหญิงสาวด้วยใบหน้าสลดจนทำให้คนฟังต้องขมวดคิ้ว
“คะ”
“ผมขอโทษที่สุดท้ายผมก็ปล่อยให้รูปของเราหลุดออกไปจนได้”
ชายหนุ่มจ้องตาอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกผิดอย่างจริงใจ จนคนมองนึกรังเกียจตัวเองที่ยังไม่กล้าสู้หน้ากับความผิดพลาดของตัวเองได้เท่ากับคนที่เป็นฝ่ายถูกกระทำเช่นเขา
“เรื่องนี้ปุณณ์ไม่ผิดหรอก แค่สิ่งที่ปุณณ์พยายามทำเพื่อช่วยเรามันก็มากพอแล้วล่ะ ทั้งๆ ที่มันไม่จำเป็นเลยสักนิด” หญิงสาวเอ่ยถึงเรื่องที่เขาพยายามปกป้องเธอทันทีในยามที่เขารู้สึกตัว รวมถึงพยายามช่วยปิดข่าว เพียงแค่นี้ก็ถือได้ว่าเขาแสดงความเป็นสุภาพบุรุษมากพอกับคนร้ายเช่นเธอแล้ว
“แต่ผมน่าจะทำได้มากกว่านี้” ปุณณ์พึมพำ คิดไปถึงเงื่อนไขของใครบางคนที่เขาไม่อาจตอบรับได้ ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ก่อนที่ฝ่ายชายจะตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องเป็นอีกหนึ่งธุระสำคัญของเขาเอง
“ว่าแต่...คุณมีคนรักหรือเปล่า”
“คะ” ดวงยิหวาอุทานอย่างมึนงง แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินคำถามแปลกๆ จากร่างสูงตรงหน้า
“ผมถามว่าคุณมีแฟน หรือมีคนที่คุณกำลังคุยด้วยอยู่หรือเปล่า”
ร่างบางทำท่าคิดตามคำถามที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องระหว่างเขากับเธอสักเท่าไหร่ ก่อนจะเริ่มเข้าใจถึงจุดประสงค์ของคนตรงหน้าว่าชายหนุ่มคงจะกังวลและกลัวว่าข่าวที่ออกไปจะทำให้เธอมีปัญหาได้หากว่าเธอมีคนรักแล้ว
“ไม่มีหรอก เพราะฉะนั้นปุณณ์ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ ว่าข่าวจะทำให้เรามีปัญหากับคนรักน่ะ” หญิงสาวพูดให้อีกฝ่ายสบายใจ หากแต่ใจของเธอกลับคิดกังวลไปถึงอีกคนที่เธอนึกห่วงมากที่สุด ซึ่งก็คือป้าของเธอ จนทำให้หยาดน้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้น เรา...แต่งงานกันเถอะนะ”
“คะ ปุณณ์...ว่ายังไงนะ” ร่างเล็กถามกลับเพราะคิดว่าตัวเองคงปล่อยให้ความเครียดครอบงำจนหูฝาดไปแน่ๆ
“ผมกำลังขอคุณแต่งงาน เราแต่งงานกันเถอะนะ”