“ผมกำลังขอคุณแต่งงาน เราแต่งงานกันเถอะนะ”
พระเอกหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง แววตาคมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวเพื่อเน้นย้ำว่าเขาไม่ได้เพียงล้อเล่น
“แต่งงานเหรอ” ดวงยิหวาทวนคำอย่างตกใจก่อนจะรีบส่ายหน้าทันที
“ไม่ เราไม่แต่ง” ร่างบางสวนกลับอย่างไม่เสียเวลาคิด จนทำให้คิ้วหนาของคนฟังขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจ
“ทำไมล่ะ ผมคิดว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรานะ”
“ไม่หรอก...ไม่เห็นจะดีเลยสักนิด การแต่งงาน...มันไม่ใช่ทางออกที่ดีหรอก” ร่างเล็กโต้กลับด้วยน้ำเสียงและแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดวิตก จนคนมองยิ่งแปลกใจกับท่าทางที่ดูตื่นตระหนกจนเกินปกติของหญิงสาว
“ระ...เราสองคนไม่ได้รักกัน ไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย แล้วเราจะแต่งงานกันได้อย่างไร” ดวงยิหวาเอ่ยย้ำพร้อมพยายามหาคำมาแก้ต่างแต่กลับไม่ยอมสบตาคนตรงหน้าที่มองตอบมาอย่างคาดคั้น
“แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนระหว่างเรามันไปไกลกว่าคำว่า ‘คนรัก’ แล้วนะดวงใจ”
คนฟังหน้าเสียเมื่อเจอคำตอบโต้ของอีกฝ่าย ริมฝีปากบางถูกเม้มแน่นเมื่อได้ยินประโยคจี้ใจดำเข้า
“ผมขอโทษที่ต้องรื้อฟื้นเรื่องนี้ แต่ถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องจริงที่เราไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ ผมต้องการรับผิดชอบต่อเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น รับผิดชอบต่อตัวคุณ รับผิดชอบต่อความรู้สึกของคุณ เชื่อผมเถอะว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว แต่งงานกับผมเถอะ” พระเอกหนุ่มโน้มน้าวอีกฝ่ายอย่างใจเย็น หญิงสาวจึงพยายามสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเองเมื่อเริ่มเข้าใจถึงความหวังดีของคนตรงหน้า
“เรารู้ว่าปุณณ์หวังดีกับเรา แต่ถึงยังไงเราก็ยืนยันคำเดิมว่าเราจะไม่มีวันยอมแต่งงานเพราะสาเหตุนี้แน่ๆ อีกไม่นานเรื่องนี้ก็จะถูกลืมไป ปุณณ์ไม่จำเป็นต้องเข้ามาร่วมรับผิดชอบชีวิตของเราขนาดนั้นหรอกนะ”
ดวงยิหวาสวนกลับด้วยท่าทางที่ถูกปรับให้เย็นลงและมีสติมากขึ้น ถึงอย่างไรเธอก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเหตุผล...ถ้าพูดถึงเรื่องแต่งงานแล้ว ไม่ว่าจะเหตุผลใดเธอก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นทั้งนั้น
“นั่นมันในส่วนของผม แต่สำหรับฝ่ายหญิง เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่คนรอบข้างของคุณจะลืมไปได้ง่ายๆ หรอกนะ” ปุณณ์ตอบกลับด้วยท่าทีที่ไม่ยอมแพ้เช่นกัน หญิงสาวจึงพูดไม่ออกเมื่อลึกๆ แล้วเธอก็ตระหนักดีถึงความจริงในข้อนี้
“จำที่ผมบอกคุณไปได้ไหม ว่าผมจะไม่มีวันปล่อยให้คุณเผชิญหน้ากับปัญหานี้เพียงลำพัง ถึงยังไงผมก็ไม่มีวันปล่อยมือของคุณเด็ดขาด”
ตาคมเข้มสบลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายจนหัวใจของหญิงสาวสั่นไหวอีกครั้ง หากแต่สัญญาณบางอย่างในจิตใต้สำนึกลึกๆ ของร่างบางยังคงร้องเตือนไม่ให้เธอยินยอมไปกับคำพูดของชายหนุ่มตรงหน้าไปโดยง่าย
“ยังไงเราก็ไม่แต่ง ปุณณ์อย่าพยายามพูดอีกเลย ส่วนเรื่องอื่นๆ เรารับผิดชอบจิตใจและตัวของเราเองได้ เชื่อเราสิ เราไม่เป็นไรจริงๆ”
ดวงยิหวาคลี่ยิ้ม พยายามปั้นหน้าให้ดีขึ้น แต่นั่นกลับทำให้พระเอกหนุ่มยิ่งสังเกตได้ถึงความผิดปกติของอีกฝ่าย แววตาของหญิงสาวมีความหวาดกลัวบางอย่างซ่อนอยู่ ความหวาดกลัว...ที่เขาเองยังไม่ค่อยเข้าใจนัก
“ดวงใจ...คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำไมคุณถึงได้ดูกลัวการแต่งงานขนาดนี้” ชายหนุ่มมองร่างบางตรงหน้าด้วยแววตาค้นหา ในขณะที่คนถูกมองนั้นได้แต่หลบสบตาของเขา
“ปะ...เปล่านี่ ไม่มีอะไรสักหน่อย เอาเป็นว่าเราขอบคุณสำหรับความหวังดีของปุณณ์นะ แต่ปุณณ์ไม่จำเป็นต้องฝืนใจตัวเองขนาดนั้นหรอก เรายืนยันว่าเราดูแลตัวเองได้จริงๆ ไม่จำเป็นที่เราสองคนจะต้องแต่งงานกันหรอก ถ้ายังไงถือว่าตกลงตามนี้แล้วกัน เราไปก่อนนะ”
ดวงยิหวาพูดจบก็ลุกขึ้นยืนหมุนตัวทำท่าจะจากไปทันที แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของร่างสูง
“แล้วถ้ามันไม่ได้ง่ายแบบนั้นล่ะ...” ปุณณ์เว้นจังหวะจนทำให้อีกฝ่ายหันมามองสบตากับเขาอีกครั้ง “ถ้าเกิดว่ามีห่วงบางอย่างคล้องให้เราสองคนต้องเกี่ยวข้องกันขึ้นมาล่ะ คุณจะทำยังไง”
“ปะ...ปุณณ์หมายความว่ายังไง” หญิงสาวถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่น ใบหน้านวลเริ่มเผือดสี
“คิดดีๆ นะคุณเรื่องแต่งงาน” เสียงทุ้มเว้นจังหวะอีกครั้งในขณะที่ตาคมเข้มหลุบตามองที่ท้องของหญิงสาวก่อนจะเบือนกลับมามองเข้าไปในดวงตากลมสวยที่เริ่มสั่นไหว “เหตุการณ์ระหว่างเราเมื่อคืนอาจจะทำให้ตอนนี้..คุณกำลังอุ้มท้องลูกของผมอยู่ก็ได้”
ดวงยิหวาแทบหยุดหายใจไปในทันทีที่พระเอกหนุ่มพูดจบ ความจริงอีกข้อที่เธอเผลอลืมเลือนกระแทกเข้ามาที่กลางใจจนเธอแทบจะตั้งรับมันไว้ไม่ได้ ความกลัวพุ่งขึ้นจนใจสะท้านและไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับถึงความเป็นไปได้ในเรื่องนั้น ถ้าหากว่าสิ่งที่เขาพูดเกิดเป็นจริงขึ้นมาล่ะ ถ้าหากว่าเธอ...
“คงไม่หรอก...คือ...เรา...” ดวงยิหวาอ้ำอึ้งเมื่อไม่สามารถหาคำพูดใดๆ มาโต้ตอบอีกฝ่ายได้ ใบหน้านวลเผือดสีจนร่างสูงที่กำลังเดินตรงเข้าไปหารู้สึกเห็นใจขึ้นมาไม่น้อย มือหนาข้างหนึ่งเอื้อมไปเกาะกุมมือบางของร่างเล็กที่กำลังเต็มไปด้วยความสับสน ในขณะที่มืออีกข้างช้อนใบหน้าของหญิงสาวให้หันมาสบตากับเขา
“ได้โปรดแต่งงานกับผมเถอะนะ”
ทั้งแววตาและน้ำเสียงเว้าวอนทำให้จิตใจของร่างเล็กเต้นในจังหวะที่ผิดไปจากปกติ ตากลมโตเต็มไปด้วยความสับสนเมื่อไม่อาจจะตั้งรับกับสถานการณ์ตรงหน้าได้ ความเงียบเข้ามาปกคลุมจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของทั้งสอง ก่อนที่สุดท้าย...ใบหน้านวลก็เลือกที่จะส่ายไปมาเพื่อแสดงถึงการปฏิเสธคำร้องขอนั้น
พระเอกหนุ่มทำท่าจะเอ่ยบางอย่างต่อ แต่ก็จำต้องเงียบเสียงเมื่อโทรศัพท์ของคู่สนทนาเกิดดังขึ้นเสียก่อน ดวงยิหวาที่ยังรับมือกับเรื่องตรงหน้าได้ไม่เต็มที่จึงตัดสินใจหลีกหนีการสนทนาของเขาโดยการหยิบโทรศัพท์ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอเคยหลีกเลี่ยง คนที่กำลังจะถูกต้อนให้จนมุมพยายามทำใจให้สงบนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะเดินหลบออกมาแล้วกดรับสายด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นคง
“ว่ายังไงกิดา”
“ดวงยิหวา! ทำไมแกไม่รับโทรศัพท์ฉัน! เป็นเพราะข่าวของแกกับปุณณ์ใช่ไหม ไหนแกบอกว่าเมื่อคืนแกไปทำงานพิเศษไง ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้” เสียงหวานของกิดาการโวยวายตามสาย ในขณะที่คนฟังได้แต่นิ่งเงียบอย่างจำนนและเลี่ยงที่จะตอบคำถาม
“แกรู้ไหมฉันตกใจแค่ไหนตอนที่พี่ธีร์โทรมาบอก ฉันก็เลยพยายามโทรหาแกแต่แกกลับไม่รับสาย ฉันเป็นห่วงแกมากเลยรู้ไหมไอ้หวาที่ติดต่อแกไม่ได้ทั้งๆ ที่แกกำลังเดือดร้อนแบบนี้” เพื่อนสาวกล่าวพาดพิงไปถึงปพนธีร์ บรรณาธิการหนุ่มรุ่นพี่สมัยเรียนมัธยมของเธอทั้งสองที่ตกใจกับข่าวที่เกิดขึ้นเช่นกัน ดวงยิหวารับรู้ได้ถึงความห่วงใยของเพื่อนรักจึงทำให้เธอรู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น
“ฉันขอโทษนะกิดา ฉันแค่ไม่รู้จะเริ่มคุยกับแกยังไง”
“แกก็อย่างนี้ตลอด” กิดาการพูดพลางถอนหายใจ แต่ไม่ได้นึกโกรธเคืองเพื่อนเมื่อเธอรู้ดีว่าที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะว่าเพื่อนของเธอห่วงใยความรู้สึกของเธอมาก ดวงยิหวามักจะเป็นเช่นนี้เสมอ หากมีปัญหาใหญ่ที่กระทบต่อความรู้สึกของตัวเองหรือว่าคนที่หญิงสาวรักอย่างรุนแรงแล้ว เพื่อนของเธอจะชอบกันตัวเองออกมาและใช้เวลาอยู่สักพักเพื่อหาทางออกให้กับความสับสนของตน
“เรื่องป้านวลแกไม่ต้องห่วงนะ พอฉันรู้เรื่องฉันก็รีบปิดสื่อทุกช่องทางออกจากชีวิตของป้า ตอนนี้ป้านวลเลยยังไม่รู้เรื่องหรอก” กิดาการเอ่ยถึงคนสำคัญอีกคนอย่างรู้ใจของเพื่อน คนฟังจึงเบาใจขึ้นมาบ้าง
“ขอบใจแกมากนะ”
“แต่ยังไงสักวันป้านวลก็ต้องรู้นะหวา เฮ้อ...เรื่องนี้เราได้คุยกันยาวแน่ แต่ตอนนี้มีอีกเรื่องที่สำคัญที่ฉันอยากจะบอกแกด้วย” กิดาการเว้นวรรคก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ตึงเครียดมากขึ้น
“เรื่องเงินค่าโรงพยาบาลของป้านวลที่แกบอกว่าจะถูกโอนเข้าตอนสายๆ น่ะ ป่านนี้มันยังไม่ถูกโอนมาสักบาทเลยนะ”
“แกว่าอะไรนะ” ดวงยิหวาถามกลับเสียงดังจนร่างสูงที่ยืนไม่ไกลออกไปหันมองตามเธอด้วยความสงสัย คิ้วหนาเลิกสูงขึ้นทันทีที่ได้เห็นท่าทางที่ดูทั้งตื่นตระหนกและแค้นเคืองไปในพร้อมๆ กันของหญิงสาว
“จะอะไรล่ะ ก็หมายความว่าตอนนี้ฉันไม่มีเงินจ่ายค่าโรงพยาบาลให้ป้านวล จนทำให้ป้านวลออกจากโรงพยาบาลไม่ได้น่ะสิ” กิดาการตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ร้อนใจไม่แพ้กัน ดวงยิหวาเข่นเคี้ยว นึกไปถึงคนจ้างงานที่ทำท่าจะโกงเธออีกรอบ สรุปว่างานนี้เธอมีแต่เสียกับเสียหรือนี่
“พวกนั้นหักหลังฉันอีกแล้ว” ร่างบางแผดเสียงอย่างลืมตัว จนคนปลายสายถามกลับด้วยเสียงที่ดังไม่แพ้กันอย่างนึกห่วง
“ใครหักหลังแกไอ้หวา”
“ก็...เฮ้อ...ช่างมันเถอะ เดี๋ยวฉันจะลองติดต่อเจ้านายของฉันอีกครั้งแล้วกัน ฝากแกดูแลป้าให้หน่อยนะ แล้วฉันจะรีบติดต่อกลับไป”
หญิงสาววางสายทันทีที่พูดจบโดยไม่สนใจเสียงทัดทานของอีกฝ่าย แล้วรีบต่อสายไปยังคนที่ว่าจ้างให้เธอมาสร้างข่าวกับพระเอกหนุ่มในครั้งนี้ แต่สุดท้ายก็มีเพียงแค่เสียงตอบรับอัตโนมัติที่ดังกลับมา ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะเสียรู้ให้กับคนพวกนั้นแล้วจริงๆ
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าดวงใจ” ปุณณ์ที่มองอยู่นานเดินมาถามหญิงสาวด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าเธอมีท่าทีร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ
“เรามีธุระด่วน ต้องรีบไป ลาก่อนนะปุณณ์” ดวงยิหวาเอ่ยด้วยความเร่งรีบพลางหมุนตัวทำท่าจะเดินไปที่ประตูแต่กลับถูกมือหนารั้งไว้เสียก่อน
“ผมจะไปส่ง” พระเอกหนุ่มรีบบอกเมื่อเห็นว่าหญิงสาวทำท่าจะโวยวายใส่เขา
“ผมขอย้ำอีกครั้งนะ ว่าผมจะไม่มีวันปล่อยมือของคุณ”