03 บทที่ 3 - 3

1844 Words
ดวงยิหวาเผลอเกร็งตัวขึ้นมาทันทีที่รับรู้ว่าเครื่องบินกำลังจะทะยานขึ้นฟ้า มือเรียวจิกลงบนที่วางแขนเพื่อหาทางผ่อนคลายจากความตึงเครียดที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ร่างบางกำลังกดดันอย่างถึงขีดสุดจนเมื่อความอบอุ่นของมือหนาเข้ามาทาบทับบนมือของเธอและสร้างความผ่อนคลายให้อย่างประหลาด มือหนาอีกข้างเอื้อมมากุมมือเล็กไว้ในมือทั้งสองของเขาพลางบีบนวดอย่างช้าๆ เจ้าของมือบางจึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับดวงตาคมที่กำลังทอดมองเธออย่างห่วงใย “ขอบใจมากนะ” ร่างเล็กพึมพำเสียงเบา ร่างสูงที่นั่งเคียงข้างจึงส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะมองเลยไปตรงหน้าต่างบานเล็กที่อยู่ด้านข้างหญิงสาว ดวงยิหวาจึงมองตามก่อนที่จะเผยยิ้มตื่นเต้นออกมาเมื่อได้เห็นท้องฟ้าสีครามใกล้ๆ จนทำให้มันดูสวยที่สุดยิ่งกว่าวันไหนๆ ในสายตาของเธอ “บางสิ่งอาจจะน่ากลัวในช่วงแรก แต่ถ้าเราผ่านมันไปได้ เราก็จะได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างหน้ามันสวยงามมากกว่าที่เราคิดนะหวา” เสียงทุ้มดังอยู่ข้างหูจนทำให้ร่างบางหายใจติดขัดไปช่วงหนึ่งก่อนที่จะเผลอเกร็งตัวขึ้นมาอีก เจ้าตัวจึงต้องพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ อีกครั้ง “ถ้าสุดท้ายแล้วเราไม่ท้อง...” ดวงยิหวาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างชั่งใจก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่นั่งด้านข้าง “เราจะหย่าให้ปุณณ์นะ” “หวา...” “หรือต่อให้เรามีลูกด้วยจริงๆ ปุณณ์ก็อย่าคิดมากเลยนะถ้าปุณณ์เจอคนที่รัก หรือถ้าวันไหนปุณณ์คิดได้ว่าเรื่องของเรามันเร็วเกินไปจนทำให้ปุณณ์อึดอัด ปุณณ์ก็บอกเราได้เหมือนกันนะ เราสัญญาว่าจะไม่ใช้ลูกหรือว่าอะไรมาอ้างเพื่อผูกมัดปุณณ์ทั้งนั้น เพราะเราเข้าใจดีว่าที่ปุณณ์แต่งงานกับเราก็เพียงเพราะต้องการรับผิดชอบและแค่กลัวว่าเราจะท้อง ส่วนเรื่องเงินค่ารักษาป้านวล ปุณณ์ไม่ต้องห่วงนะ ถึงยังไงเราก็จะหาทางคืนให้ปุณณ์แน่ๆ” ร่างเล็กเอ่ยต่อพร้อมกับส่งยิ้มให้ชายหนุ่มราวกับต้องการใช้ความเข้มแข็งซ่อนความอ่อนไหวบางอย่าง ก่อนจะรีบเอ่ยประโยคถัดมาเมื่อเห็นท่าทีขัดขืนของร่างสูงข้างๆ “เชื่อเราเถอะ การที่ต้องกลายเป็นแค่เครื่องมือที่ใช้ผูกมัดใครมันไม่มีความสุขหรอก” ตาคมอ่อนแสงลงทันทีที่เห็นประกายความเศร้าฉายชัดออกมาจากดวงตากลมสวย ร่างสูงจึงนั่งนิงๆ เพื่อให้อีกฝ่ายเผยความในใจออกมามากขึ้น “แม่ของเราปล่อยให้ตัวเองท้องเพื่อหวังผูกมัดพ่อของเรา...” ดวงยิหวาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง สายตาของเธอทอดมองออกไปทางหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย “ตอนนั้นพ่อจะขอเลิกกับแม่เพื่อกลับไปคืนดีกับคนรักเก่าอย่างน้าปราง แม่ที่หลงรักพ่อมานานรู้ดีว่าพ่อไม่เคยรักแม่เลย จึงหวังจะใช้เราเพื่อเหนี่ยวรั้งพ่อเอาไว้ ซึ่งแม่ก็ทำสำเร็จ... ปู่เข้ามาจัดการทำให้แม่ได้ทุกอย่าง ทั้งงานแต่งงาน ทั้งทะเบียนสมรส แต่แม่ก็ยังไม่เคยได้ใจของพ่อ พ่อไม่ค่อยอยู่ติดบ้านและย้ายออกไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้นทันที่ปู่เสียหลังจากเราเกิดได้ไม่นาน แม่พยายามทำทุกอย่าง ใช้ทุกวิถีทางเพื่อเหนี่ยวรั้งให้พ่อกลับมา แต่นั่นกลับทำให้พ่อยิ่งเกลียดแม่ เกลียดเรา... เรา...ที่พ่อมองมาตลอดว่าทำให้พ่อต้องถูกกักขัง ไม่ต่างจากโซ่ที่ล่ามพ่อเอาไว้ เราเลยรู้ดีไงว่าการที่ต้องเป็นแค่เครื่องมือมันเจ็บปวดแค่ไหน” หางเสียงของหญิงสาวเริ่มสั่น ก่อนที่เธอจะหยุดเมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่สามารถควบคุมเสียงตัวเองให้เป็นปกติไปมากกว่านี้ได้ ร่างเล็กสูดลมหายใจเข้าแรงๆ แต่หยาดน้ำใสก็ยังคงร่วงลงจากดวงตา มือบางกำลังจะถูกยกขึ้นเพื่อเช็ดคราบความอ่อนแอนั้น แต่กลับไม่ทันมือหนาที่เอื้อมมาเกลี่ยรอยเหล่านั้นให้อย่างอ่อนโยน “อย่าเพิ่งคิดมากเลยนะหวา นอนพักเถอะ เราต้องเดินทางกันอีกไกล” ปุณณ์เอ่ยพลางส่งยิ้มให้พร้อมกับใช้มือหนาอีกข้างลูบศีรษะหญิงสาวอย่างแผ่วเบา ความเจ็บปวดในใจของร่างเล็กจึงค่อยๆ เลือนหายราวกับถูกปัดเป่าไปได้ด้วยรอยสัมผัสเหล่านั้น หญิงสาวนิ่งไปอึดใจก่อนจะค่อยๆ หันใบหน้าหนีมือหนาของอีกฝ่ายแล้วเอนตัวลงพลางยกมือขึ้นกอดที่อกก่อนจะหลับตา ดวงยิหวาจึงไม่ทันได้เห็นสายตาคมกล้าที่กำลังจับจ้องมาที่เธอโดยมีประกายล้ำลึกบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ภายใน ภาพต้นไม้สีเขียวที่เรียงรายอยู่ข้างทางคดเคี้ยวของแนวเขาทำให้คนที่กำลังเหม่อมองเริ่มให้ความสนใจและดึงตัวเองออกจากความคิด ตากลมโตสวยเริ่มจดจ้องภาพเหล่านั้นเมื่อครั้งนี้คือครั้งแรกที่เธอได้มีโอกาสได้เห็นวิวนอกหน้าต่างรถที่มีมากไปกว่าอาคารแท่งสีเหลี่ยมหลากหลายขนาดอย่างที่เธอคุ้นชินมาตลอดช่วงชีวิต บ่ายแล้ว...แต่ภายนอกยังคงมีหมอกจางๆ ให้เห็น ร่างบางขยับตัวหันข้างเพื่อมองดอกไม้หลากสีที่กำลังเบ่งบานให้เต็มตา จึงไม่ทันรับรู้ถึงไออุ่นของร่างสูงที่กำลังใกล้เข้ามาจนซ้อนหลังของตน “เดี๋ยวผมเปิดกระจกให้นะหวา” เสียงทุ้มดังใกล้หูพร้อมกับภาพของกระจกที่เริ่มเลื่อนลงช้าๆ ความเย็นสบายจากอากาศภายนอกจึงเริ่มกรูเข้ามาพร้อมกับความสดชื่น ดวงยิหวาสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอด ใบหน้าเริ่มแต่งแต้มรอยยิ้มบางเบา ความสะอาดของอากาศที่เธอสัมผัสทำให้ความรู้สึกเศร้าหมองที่เคยอัดแน่นอยู่ในหัวใจเริ่มคลายลง “ช่วงนี้หน้าหนาวแล้ว และที่นี่ก็อยู่ไกลจากตัวเมืองมาก เลยทำให้อากาศค่อนข้างเย็นกว่าปกติ ตอนนี้เราถึงยังได้เห็นหมอกยังไงล่ะ” ร่างสูงค่อยๆ ประชิดหญิงสาวขณะเอ่ย ในขณะที่คนฟังได้แต่พยักหน้าตาม “บางวันแม้จะบ่ายแก่ๆ แล้ว พี่กับแม่ก็ยังใส่เสื้อกันหนาวกันอยู่เลยจ้ะ จะเว้นก็แต่ปุณณ์เขานั่นแหละ ขานี้เขาผู้ชายอบอุ่น อุ่นจนกลายเป็นคนขี้ร้อนไปเลย” ปัณณรีย์ พี่สาวของอดีตพระเอกหนุ่มที่กำลังทำหน้าที่เป็นสารถีส่งเสียงเย้า มุมปากของเธอยกยิ้มเมื่อเห็นภาพของน้องชายและน้องสะใภ้ผ่านกระจกมองหลัง “เห็นว่าหวาเองก็ไม่ค่อยถูกกับอากาศหนาวเท่าไหร่ ถ้าหวารู้สึกขาดความอุ่นเมื่อไหร่มาขอผมได้นะ ผมไม่หวง” คราวนี้เสียงที่ใกล้หูมาพร้อมกับความร้อนที่พัดผ่านบนผิวแก้ม คนตัวเล็กที่เพิ่งรู้สึกถึงความใกล้เกร็งตัวขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบเบียดตัวเข้าหาประตูรถมากขึ้น “ทำไมนั่งเบียดกับประตูแบบนั้นล่ะหวา อึดอัดแย่” “ก็...ก็ปุณณ์มานั่งเบียดเราทำไมล่ะ” ตากลมโตหลุบต่ำด้วยความสับสนในท่าทีของเขา ร่างสูงจึงทำเป็นนึกได้ก่อนจะถอยร่นออกมาด้วยท่าทางปกติ “สงสัยผมจะมองวิวเพลินไปหน่อยน่ะ เห็นว่าวิวด้านนี้สวยดี” “อ๋อ...อืม” ดวงยิหวาตอบรับอย่างไม่ติดใจสงสัย ก่อนจะหันไปมองทิวทัศน์ภายนอกต่อ จึงไม่ทันเห็นแววตาแพรวพราวของปุณณ์ที่กำลังจับจ้องมาที่เธออย่างไม่วางตา ร่างเล็กหลุดออกจากภวังค์อีกครั้งเมื่อรถกระบะสองตอนที่เธอนั่งค่อยๆ เลี้ยวเข้าเส้นทางเล็กๆ ที่ตัดแยกออกจากถนนสายหลัก ป้ายข้างทางที่เขียนว่า ‘หมู่บ้านชมดาว’ ทำให้ดวงยิหวานึกเดาได้ว่าตอนนี้พวกเธอกำลังเดินทางเข้าสู่เขตที่พักอาศัย แนวไม้ใหญ่ที่ร่มรื่นเป็นทางยาวเริ่มถูกแซมด้วยไม้ประดับขนาดย่อม ดวงยิหวามองภาพเหล่านั้นอยู่ไม่นานรถยนต์ก็ถูกบังคับเลี้ยวอีกครั้ง ก่อนจะชะลอตัวและจอดลงเมื่อมาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่เป็นหลังแรกบนเส้นทางที่ทอดลึกเข้าไปในชุมชนแห่งนี้ “ถึงบ้านของเราแล้วครับหวา” ปุณณ์เอ่ยขึ้นก่อนที่มือหนาจะเอื้อมมาเปิดประตูฝั่งของเธอให้ ความใกล้ชิดอ่อนโยนที่พัดผ่านไปวูบหนึ่งทำให้ร่างเล็กสะดุ้งเบาๆ ก่อนจะรีบลงจากรถ คำว่า ‘บ้านของเรา’ ยังคงก้องอยู่ในหัว ดวงยิหวาสลัดความฟุ้งซ่านของตัวเองก่อนที่จะเงยหน้ามองสำรวจบ้านหลังย่อมตรงหน้า บ้านของอดีตพระเอกหนุ่มถูกออกแบบให้มีการเล่นระดับอย่างน่ารักและถูกตกแต่งด้วยโทนสีที่อบอุ่น รอบบ้านมีสนามหญ้าสีเขียวที่ถูกตกแต่งไว้อย่างดีอยู่โดยรอบ ดอกเข็มสีแดงและสีชมพูปลูกสลับแซมกันไปมาอยู่รอบสนามนั้นอีกทีราวกับเป็นแนวรั้ว ต่างจากรั้วเหล็กสูงใหญ่มิดชิดที่เธอเห็นจนชินตาในเมืองหลวง ตรงกลางระหว่างทิวแถวของดอกเข็มด้านหน้ามีต้นสนขนาดย่อมสองต้นที่ถูกปลูกให้ห่างออกจากกันประมาณสองเมตรตั้งตระหง่าน โดยมีแนวทางเดินไปยังตัวบ้านเป็นที่คั่นกลางต้นสนทั้งสองต้นนั้นเอาไว้ “บ้านของผมไม่ได้ใหญ่โตเท่าไหร่ หวาคงไม่อึดอัดนะ” ปุณณ์หันไปมองร่างบางที่กำลังมองสำรวจไปรอบๆ ตัวบ้าน “ไม่หรอก เราอยู่ได้ บ้านของปุณณ์น่ารักออก หลังกะทัดรัดดูอบอุ่นมากๆ ด้วย” ดวงยิหวาตอบพร้อมส่งยิ้มไปให้อีกฝ่าย ชายหนุ่มจึงยิ้มออกมาอย่างยินดี “ผมดีใจนะที่หวาชอบ” “ชอบมากเลยล่ะ อีกอย่าง...ขนาดของบ้านมันไม่สำคัญเท่ากับคนที่อยู่กับเราข้างในหรอก” ดวงยิหวามองไปยังตัวบ้านอย่างชื่นชมอีกครั้ง “นั่นสินะ มันสำคัญที่ ‘คน’ ที่อยู่ในบ้านกับเราจริงๆ” คำตอบที่มีนัยถูกส่งมาพร้อมกับนัยน์ตาพราวระยับ ดวงยิหวาที่หันกลับไปมองพอดีผงะวูบก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีพร้อมๆ กับจังหวะการหายใจที่เริ่มติดขัดขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ “เราเข้าไปก่อนนะ” หญิงสาวเอ่ยตะกุกตะกัก แล้วรีบเร่งฝีเท้าตามอัญชรีย์และปัณณรีย์ที่เดินนำหน้าเข้าไป ตาคมมองตามอย่างมาดหมายก่อนจะเร่งฝีเท้าก้าวตามคนตัวเล็กไปอย่างอารมณ์ดี
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD