เพล้ง!
“แงๆๆ แม่จ๋า” เด็กสาวตัวน้อยร้อยไห้จ้าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงกรอบรูปขนาดใหญ่แตก ก่อนจะวิ่งไปหาคนเป็นแม่ แต่ตอนนี้แม่ของเด็กน้อยไม่มีเวลาสนใจลูกของเธอมากนักเมื่อมีปัญหาอื่นที่ใหญ่กว่าให้เธอต้องใส่ใจ
“อย่าไปเลยนะพี่พล ฉันขอร้องละ ไหนพี่บอกว่าถ้าฉันยอมหย่าให้ พี่จะยอมกลับมาอยู่กับฉันยังไงล่ะจ๊ะ”นวลวรรณถลาเข้าไปกอดเข่าอดีตสามีพร้อมกับร่ำไห้ร้องขอ ก่อนที่จะเสียหลักล้มลงเมื่อถูกเขาสะบัดขาใส่อย่างแรง
“ถ้าข้าไม่พูดอย่างนั้นแล้วเอ็งจะยอมหย่าเหรอ สะใจจริงๆ ในที่สุดไอ้ทะเบียนสมรสบ้าๆ นี่ ก็จะไม่มีผลกับข้าแล้วโว้ย” กำพลเหยียดยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเย้ยหยัน โดยไม่ได้มีท่าทีเห็นใจอีกฝ่ายที่กำลังตัวสั่นสะอื้นอยู่ตรงพื้นเลยแม้แต่น้อย
“ฮือ...กลับมาเถอะนะพี่ อย่าไปเลยนะจ๊ะ เห็นใจฉันกับลูกเถอะ ถ้าไม่มีพี่พวกเราจะอยู่กันยังไง” ร่างบางที่ดูทรุดโทรมจากอาการตรอมใจเอ่ยพลางกอดลูกสาวของเธอด้วยท่าทีน่าสงสารพร้อมกับมองอีกฝ่ายอย่างร้องขอ
“เอ็งก็อยู่อย่างที่เอ็งเคยอยู่ไง พี่สาวเอ็งก็มี หลอกเงินจากพ่อข้าไว้เยอะไม่ใช่เหรอ เอาออกมาใช้เสียสิ”
“ฉันไม่เคยหลอกเอาเงินจากพ่อเลยนะจ๊ะ นอกจากเรื่องของหวาแล้ว ฉันก็ไม่เคยรบกวนท่านเรื่องอื่นเลยจริงๆ” นวลวรรณละล่ำละลักอธิบายเสียงสั่นพลางยื่นมือไขว่คว้าคนรักของเธออีกครั้ง แต่ก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
“ข้าไม่เชื่อหรอก แม่ปรางเขาเล่าให้ข้าฟังอยู่ว่าเขาแอบเห็นเอ็งชอบออดอ้อนขอเงินจากพ่อข้าบ่อยๆ ดีนะที่ตอนนั้นพ่อข้ายังไม่เปลี่ยนพินัยกรรม ไม่อย่างนั้นลูกแท้ๆ อย่างข้าคงเดือดร้อนไปแล้ว”
“ไม่จริงเลยนะจ๊ะพี่ ฉันไม่เคยทำแบบนั้นเลยนะจ๊ะ”
“ข้าไม่เชื่อหรอก คนอย่างเอ็งมันทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งท้องเพื่อจับข้าก็ยังทำมาแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องนี้ล่ะ หึ! บ้านนี้ข้ายกให้เพราะข้าไม่อยากอยู่ในที่ที่เอ็งเคยอยู่ แต่สมบัติอย่างอื่นอย่าหวังเลยว่าจะมาหลอกกันเพิ่ม ข้าไม่โง่หรอกโว้ย อ้อ...แล้วอย่าตามมาล่ะ ไม่อย่างนั้นเอ็งกับเด็กนี่เจอดีแน่” กำพลชี้ไปทางเด็กสาวที่เอาแต่ร้องไห้ ก่อนจะรีบโอบเอวปรางทิพย์ที่ยืนดูเหตุการณ์ด้วยความสะใจเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
“พี่พล!!!” นวลวรรณกรีดร้องอย่างโหยหวนเมื่อดูเหมือนว่าเธอได้สูญเสียสิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้ายในตัวชายที่เธอรักไปแล้ว ร่างบางสั่นสะอื้นก่อนจะค่อยๆ คลานไปหยิบรูปถ่ายที่อยู่ท่ามกลางเศษกระจกอย่างไม่สนใจเด็กน้อยที่กำลังมีท่าทีหวาดผวาอีก มือซีดเซียวคว้ารูปแต่งงานที่เป็นดั่งภาพฝันในอดีตขึ้นมากอดไว้แน่นราวกับเครื่องยึดเหนี่ยวชิ้นใหม่ ภาพวันแต่งงานที่มีรอยยิ้มของเจ้าสาวที่กำลังสุขสมที่ได้ยืนข้างชายที่เธอรัก
“ตายแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี่ยแม่วรรณ”
นวลฉวีที่วิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์อุทานออกมาอย่างตกใจ แล้วคว้าหลานสาวที่กำลังเสียขวัญอย่างหนักมาไว้แนบอก สายตาของหญิงสูงวัยได้แต่ทอดมองน้องสาวของตนอย่างเวทนา เมื่อดูเหมือนว่ายามนี้หัวใจที่แตกสลายของน้องสาวของเธอคงจะไม่มีวันกลับมางดงามดังเดิมได้อีกแล้ว
“หวา...เป็นอะไรไปลูก” เสียงเรียกอย่างตกใจที่ดังข้างหูทำให้ร่างบางในชุดเจ้าสาวตามธรรมเนียมพื้นเมืองสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เงาในกระจกที่สะท้อนอยู่ตรงหน้าทำให้เห็นว่าใบหน้าของเธอยามนี้มีน้ำตาที่กำลังไหลรินอยู่เป็นสาย
ดวงยิหวาอุทานออกมาเบาๆ และรีบคว้ากระดาษเช็ดหน้าที่อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาซับรอยน้ำตาไม่ให้เปรอะเปื้อนไปมากกว่านี้
“ขอโทษนะคะคุณน้า เครื่องสำอางเลอะหมดเลย” ดวงยิหวาเอ่ยกับอัญชรีย์ที่เข้ามาช่วยเธอเช็ดน้ำตา หญิงมากวัยกว่ายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม
“ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวเติมเอาใหม่ได้ ว่าแต่หนูเถอะ อยู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมา มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” ดวงยิหวาตอบเสียงเบาพลางหลบสายตา แต่เมื่อเห็นว่าอัญชรีย์ยังคงมองเธออย่างรอคอยคำตอบ เธอจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ สบตากับคู่สนทนาอีกครั้ง
“หวาไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ค่ะคุณน้า แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ”
อัญชรีย์ถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ไม่คิดคาดคั้นอะไรจากเด็กสาวตรงหน้าอีกต่อไป จากนั้นก็ลงมือแต่งหน้าให้ดวงยิหวาใหม่ด้วยท่าทีนิ่มนวล
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วจ้ะ ว่าแต่เรียกแม่ว่าคุณน้าแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ”
“คะ?” ดวงยิหวาตอบรับอย่างงุนงง ไม่เข้าใจในความนัยนั้น
“ก็ตอนนี้หวาแต่งงานกับปุณณ์แล้ว หวาก็ต้องเรียกแม่ว่า ‘แม่’ สิจ๊ะ”
“คือ...หวา” ดวงยิหวาอ้ำอึ้ง ด้วยท่าทีสับสนอย่างคนที่ตั้งรับกับความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน ก่อนจะเสสายตาหลบหญิงวัยกลางคนอีกครั้ง
“หรือที่หวาไม่เรียกเพราะว่าแม่ทำอะไรให้หวาไม่สบายใจหรือเปล่าลูก”
“มะ...ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ” ร่างบางรีบปฏิเสธด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจเธอผิดไปมากกว่านี้
“ถ้าไม่ใช่ ก็ขอให้เรียกแม่ว่าแม่ได้ไหมลูก” อัญชรีย์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พลางวางมือเมื่อแต่งแต้มใบหน้าให้ลูกสะใภ้เสร็จ แล้วใช้มือทั้งสองของเธอกุมมือของหญิงสาวเอาไว้
“หวา...หนูเป็นลูกสาวของแม่แล้วนะ จากนี้ไปถ้าหนูมีปัญหาหรือเรื่องเดือดร้อนใจอะไร บอกแม่ได้ทุกเรื่องนะลูก แม่พร้อมจะอยู่เคียงข้างหนูเสมอ รวมถึงปุณณ์ พี่ปัณและก็เปี่ยมรักด้วย ทุกคนพร้อมจะอยู่ข้างหนู แบ่งปันทั้งทุกข์และสุขร่วมกับหนู เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ” ว่าจบก็ลูบไล้ใบหน้าของหญิงสาวด้วยท่าทางเอื้อเอ็นดู ก่อนจะดึงร่างเล็กเข้ามากอด ดวงยิหวานิ่งงันไปก่อนที่หยาดน้ำใสจะเริ่มคลอขึ้นมาอีกครั้งด้วยความซึ้งใจ เมื่อรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนจริงใจจากคนที่แทนตัวว่า ‘แม่’ กับเธอที่เธอไม่ได้ยินมานานแสนนาน
“ไหน...ลองเรียกแม่สิจ้ะ”
“ค่ะ...คุณแม่” ร่างบางตอบรับพร้อมกับสวมกอดอัญชรีย์แน่น มือกร้านของหญิงสูงวัยกว่าลูบหลังเธอไปมาอย่างปลอบโยน ก่อนจะช่วยซับน้ำตาที่คลอหน่วยเมื่อร่างเล็กผละออกจากอ้อมกอดของเธอจนทำให้ใบหน้านวลกลับมาสดชื่นอีกครั้ง
“พร้อมกันหรือยังคะ เจ้าบ่าวไปรอที่งานแล้วนะ” ปัณณรีย์ที่ยืนอยู่ตรงประตูมาได้สักพักเอ่ยทักขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปหาน้องสะใภ้ด้วยแววตาชื่นชม
“สวยมากเลยจ๊ะหวา แต่ตอนนี้เรารีบไปกันเถอะ เจ้าบ่าวเป็นห่วงเจ้าสาวแย่แล้ว เลยให้พี่มาดูเนี่ย”
ใบหน้านวลซับสีระเรื่อเมื่อได้ยินคำหยอกเย้านั้น สองแม่ลูกมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างนึกเอ็นดู ก่อนที่ทั้งสามจะพากันเดินไปยังสถานที่จัดงานด้วยใบหน้าที่อิ่มเอมไปด้วยรอยยิ้ม
ทุกสายตาที่จับจ้องเข้ามาทำให้ความมั่นใจของดวงยิหวาเริ่มลดน้อยลงอีกครั้ง มือหนากระชับมือบางในมือของตนเองแน่นเมื่อรับรู้ได้ถึงท่าทีประหม่าของร่างน้อยที่เดินเคียงข้าง ตากลมโตที่วูบไหวไปด้วยความหวาดหวั่นช้อนขึ้นมองเจ้าของมือ รอยยิ้มอบอุ่นที่ช่วยเรียกความเชื่อมั่นจึงถูกส่งมาอีกครั้งพร้อมกับแรงบีบมือเบาๆ เพื่อย้ำให้เธอเชื่อมั่นในตัวเขา
“พาหวาเดินลอดซุ้มเข้าไปในงานสิลูก”
อัญชรีย์ที่ยืนอยู่ด้านข้างของซุ้มดอกกุหลาบสีขาวเคียงคู่อยู่กับปัณณรีย์และเด็กชายตัวน้อยเอ่ยบอกลูกชายของตน ปุณณ์รับคำ เขาค่อยๆ ประคองร่างเล็กให้ก้าวผ่านเข้าไปในซุ้มก่อนที่ตนจะก้าวตามไป ท่าทีของคนทั้งสองต่างก็เรียกรอยยิ้มของผู้คนที่ได้เห็นภาพและรู้ความนัยของภาพนั้นได้เป็นอย่างดี
“แหม...สงสัยเจ้าปุณณ์มันจะถือคติที่ว่าเชื่อเมียแล้วจะเจริญ”
พ่อหลวงสูงวัยของหมู่บ้านเอ่ยแซวด้วยภาษาพื้นเมืองก่อนที่เสียงหัวเราะของคนในงานจะดังขึ้น คิ้วเรียวของเจ้าสาวขมวดมองคนรอบข้างอย่างสงสัย ในขณะที่คนที่เพิ่งถูกแซวว่า ‘กลัวเมีย’ ตามความเชื่อได้แต่ส่งยิ้มบางๆ ด้วยใบหน้าที่เริ่มซับสี
“ปุณณ์คงถือคติเดียวกับพ่อหลวงนั่นแหละครับ” ณัฐพลแซวกลับด้วยภาษาถิ่นอย่างแคล่วคล่องด้วยใบหน้านิ่งๆ ซึ่งนั่นก็เรียกเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
“บ๊ะ ไอ้ณัฐ ไอ้นิสัยเหน็บหน้าตายของแกนี่มันไม่ลดลงเลยนะ”
ชายสูงวัยทำท่าฮึดฮัด แต่ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มเมื่อคำของหนุ่มรุ่นหลานเองก็ไม่ได้ผิดจากความจริงไปแม้แต่นิด
“ฉันไม่คุยกับแกแล้วไอ้ปากตะไกร ฉันเตรียมรับขวัญหลานสะใภ้คนใหม่ของฉันดีกว่า” พูดจบชายสูงวัยก็เดินไปตรงหน้าของคู่เจ้าของงานด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่บ่งบอกได้ว่าเขาผ่านเรื่องราวต่างๆ ในโลกใบนี้มาไม่น้อยกว่าหกสิบปีแล้ว
“หวาครับ นี่พ่อหลวงคำรณ เป็นผู้ใหญ่บ้านของที่นี่”
ดวงยิหวายกมือขึ้นทำความเคารพทันทีที่ปุณณ์แนะนำจบ ขณะที่อีกฝ่ายส่งยิ้มให้เธออย่างเอ็นดู
“ยินดีต้อนรับนะหนูดวงยิหวา ” คำรณเรียกหญิงสาวด้วยชื่อเต็มเพื่อแสดงถึงความใส่ใจ ก่อนจะจะหยิบสายสิญจน์ในพานที่มีเด็กสาวคนหนึ่งถือให้มาไว้ในมือของตนเอง
“ยื่นแขนซ้ายออกไปจ้ะลูก” อัญชรีย์ที่เดินมาประกบลูกสะใภ้เอ่ยเบาๆ ในขณะที่อีกฝ่ายก็ทำตามแต่โดยดี คำรณจึงนำด้ายสีขาวในมือขึ้นมาผูกข้อมือของหญิงสาวพร้อมกับกล่าวคำอวยพร
“ขอบคุณนะคะ” ร่างบางยกมือขึ้นไหว้เมื่อพ่อหลวงของหมู่บ้านกล่าวคำอวยพรจบ
“จากนี้ไปหนูคือคนของที่นี่ เป็นหลานสะใภ้ของฉัน เป็นครอบครัวเดียวกันกับพวกเรา ถ้ามีปัญหาอะไรขอให้ปรึกษา ขอให้บอก พวกเราพร้อมจะช่วยเสมอ” คำพูดและแววตาอาทรที่ส่งผ่านมาอย่างจริงใจทำให้ดวงยิหวาทั้งตื้นตันและประหม่าไปในคราวเดียวกัน ความอบอุ่นในดวงตาของชายสูงวัยนั้นกระตุ้นความโหยหาของเธอที่มีต่อพ่อแท้ๆ ที่เธอแอบซ่อนมันไว้อยู่เสมอ ตากลมโตจึงเริ่มมีน้ำใสเอ่อคลอ หากแต่ไม่ใช่เพราะความเสียใจอย่างเช่นที่เคยเป็นก่อนหน้านี้
“มาเถอะหนู เดี๋ยวฉันจะพาหนูไปรู้จักกับญาติๆ คนอื่นๆ เอง ส่วนโต๊ะอื่นๆ ที่ฉันยังไม่เดินไปก็เริ่มกินกันได้เลย” พอสิ้นเสียงปะกาศิต เสียงเฮก็ดังขึ้นรอบงาน เสียงดนตรีพื้นเมืองเปิดคลอขึ้นมา ดวงยิหวามองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าที่สบายใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เธอกังวล
“ไปกันเถอะครับหวา” ปุณณ์เอ่ยขึ้นพลางยื่นมือมาตรงหน้าของหญิงสาว ดวงยิหวามองมือหนาแล้วเงยหน้าเพื่อสบตาคมเข้ม ก่อนจะวางมือของเธอลงบนมือของเขา ทั้งคู่ส่งยิ้มให้กันบางเบาแล้วออกเดินเคียงข้างกันไป