บทที่ 7 คนในครอบครัว

1455 Words
เสียงรถหรูเล่นเข้ามาจอดภายในรั้วบ้านอันกว้างใหญ่ สองสามีภรรยาก้าวเท้าลงจากรถคนละฝั่งด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยแม้อายุจะล่วงเลยเข้าสู่วัยกลางคนแต่กาลเวลาก็ไม่สามารถ ทำอะไรพวกเขาได้เลย " ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ ท่านเจ้าสัว คุณผู้หญิง " เสียงของบรรดาสาวใช้ที่มายืนเรียงแถวเพื่อรอรับเจ้านายกลับบ้าน เอ่ยออกไปอย่างเช่นที่เคยทุกวัน " เอาล่ะ มีอะไรก็ไปทำ " เป็นเสียงของเจ้าสัวใหญ่ " อ้อเดี๋ยวๆ ตงหยางล่ะ " ต้าหนิงเรียกสาวใช้คนหนึ่งเพื่อซักถาม " อยู่ในสวนด้านหลังค่ะ " ได้ยินดังนั้นทั้งสองก็ตรงปี่ไปทันที ภาพที่เห็นคือสองหนุ่มสาวยืนกอดกันกลมเกลียวเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ก็เจ้าลูกชายตัวดีชอบเหมยมาตั้งนานแล้วนี่ แต่ไม่วายที่เธอจะแกล้งคนตัวโต " อะแฮ่ม " ต้าหนิงกระแอมออกไปด้วยความหมันไส้ในตัวของลูกชาย " อ้าว ป๊า ม๊า ทำไมกลับมาเร็วจัง " ถามแก้เขินไปงั้นแหละ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้เตรียมใจไว้เจอป๊ากับม๊าเลย รวมถึงคนในอ้อมกอดที่ตอนนี้ตัวเกร็งขึ้นมาทันที " นี่ใคร เจ้าของโรงสีเชียวนะทำไมต้องอยู่นาน " เสียงนายหญิงของบ้านที่ล้อเล่นกับลูกชาย ส่วนเจ้าสัวก็ส่ายหัวให้กับภรรยาที่เล่นใหญ่ตลอดแม้แต่กับลูกชายก็ไม่เว้น " เบาๆหน่อย ว่าที่ลูกสะไภ้คุณยืนตัวเกร็งแล้ว " เจ้าสัวใหญ่ปรามภรรยาสงสัยจะลืมว่าลูกชายไม่ได้อยู่คนเดียว " มัวยืนทำอะไรอยู่ล่ะ พาเหมยมาหาม๊ากับป๊าสิ " เธอเอ่ยบอกลูกชายออกไปเพราะทั้งสองยังคงยืนอยู่กับที่ ตงหยางจับมือเหมยเดินไปหาท่านทั้งสองที่นั่งรออยู่ ใต้ต้นไม้ใหญ่เมื่อทั้งคู่เดินมาถึง เหมยก็ทำท่าเก้ๆ กังๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพ่อแม่ของตงหยาง อีกอย่างท่านทั้งสองก็ดูน่าเกรงขามซะเหลือเกิน " อาเหมยเข้ามาไกล้ ๆ ม๊าหน่อยสิ " คนที่ถูกเรียกสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่เคยพบเจอกันจึงไม่รู้จักนิสัยใจคอ กลัวเขาจะรังเกลียดเธอ เหมยเดินเข้าไปแบบกล้าๆกลัว " ดูทำเข้า ม๊าไม่กัดหรอกน่า ลูกชายม๊ารักใครม๊าก็รักด้วยแต่มีข้อแม้นะต้องเป็นคนดีเท่านั้น " ต้าเหนิงพูดอย่างจริงจังแต่ใหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อเหมยเห็นท่าทีและได้ยินคำพูดนั้นเธอก็รู้สึกผ่อยคลายขึ้นมาหน่อยนึง " ตงหยางหลบไป ไปนั่งข้างป๊าโน่นม๊าจะคุยกับน้อง เหมยเข้ามาไกล้ๆม๊าหน่อย " คนถูกไล่ก็ทำตัวไม่ถูก แต่ก็ต้องขยับออกไปเพื่อให้คนน้องเข้ามาแทน ม๊าก็นะ เมื่อเหมยเข้ามาไกล้ต้าหนิงแล้ว เหมยก็ยกมือไหว้ท่านทั้งสองแบบใจสู้อ่ะ " สวัสดีค่ะ คุณลุงคุณ ป้า " เหมยก็ทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะเรียกทั้งสองเช่นไร เอาแบบนี้แหละ อีกอย่างยังไม่ได้เตรียมใจไว้ว่าจะเจอท่านเลย มันก็เลยดูเกร็งๆไปหมด " ทำไมเรียกซะห่างเหินเลยล่ะ ม๊าให้เรียกใหม่ " ท่าทีของต้าหนิงที่แสดงออกมาทำให้เหมยรู้ได้ในทันทีว่าตนเองทำให้ต้าหนิงไม่พอใจซะแล้ว " คุณก็เบาๆ หน่อยเห็นมั๊ยอาเหมยหน้าซีดแล้วน่ะ " เจ้าสัวใหญ่เห็นสีหน้าของว่าที่ลูกสะไภ้ก็อดพูดเสียไม่ได้ " ฉันพูดกับคุณตอนไหน ฉันพูดกับอาเหมยอยู่ " คำพูดของต้าหนิงทำให้เจ้าสัวใหญ่ของบ้านนั้นหุบปากแทบไม่ทันก็สีหน้าที่เธอถามเจ้าสัวน่ะ แทบจะกินเลือดกินเนื้อได้เลยนะ เห็นหรือยังว่าการเป็นหัวหน้าครอบครัวก็ไม่ได้หมายความว่าจะใหญ่กว่าภรรยาได้นะ เหมยกลั้นใจแล้วพูดออกไปอีกครั้ง เป็นไงเป็นไง " สวัสดีค่ะ ป๊า ม๊า " " มันต้องแบบนี้สิอาเหมย ถูกใจม๊านัก " ต้าหนิงพูดจบก็หัวเราะออกไปแบบผู้ดี ส่วนเหมยก็ยิ้มเจื่อนๆ ส่งไปให้ต้าหนิง ส่วนสองหนุ่มก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก็หัวอกเดียวกันอ่ะเนอะพ่อกับลูกดูท่าหัวไกล้จะเน่าเต็มที " ตงหยางพร้อมจะเล่าให้ม๊ากับป๊าฟังหรือยัง " แล้วคนที่ถูกเอ่ยถามก็พยักหน้าแล้วเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดของเหมยให้ท่านทั้งสองฟัง ไม่นานทั้งสองก็กระจ่างแจ้งในทันที ว่าทำไมตงหยางถึงพาเหมยมาในสภาพแบบนั้น " โถ่ลูกหมดเคราะห์หมดโศกซะทีนะ ต่อไปนี้ ป๊ากับม๊าจะรักหนูเหมือนลูกสาวแท้ๆเลย " เหมยตื้นตันใจเหลือเกินที่ท่านทั้งสองไม่รังเกียจเธอ " ขอบคุณนะคะ ม๊าป๊า " เหมยยกมือไหว้ทั้งสองอย่างรู้คุณด้วยเสียงสั่นๆ " ม๊าจะไม่ให้หนูลำบากอีก อยู่ที่นี่เป็นคนในครอบครัวของม๊ากับป๊าอีกคนนะอาเหมย ม๊ามีลูกชายคนเดียวได้หนูมาเป็นลูกสาวอีกคนบ้านจะได้ไม่เงียบต่อไปหลานๆ คงเต็มบ้าน " เหมยนั่งหน้าแดงเมื่อม๊าพูดถึงหลานๆ " ม๊าครับยังไม่ได้ไปคุยกับทางโน้นเลยก็พูดถึงหลานซะแล้ว " ตงหยางค้านขึ้นมาทันที ก็สีหน้าม๊าดูจริงจังมากด้วย แถมสาวน้อยของเขาตอนนี้นั่งหน้าแดงเป็นลูกตำลึงเลย " ม๊าส่งคนไปจัดการแล้วล่ะ เสร็จเรื่องเมื่อไหร่เราจะได้ไม่กังวล ม๊าจะจัดงานใหญ่ๆ เลยคอยดู " ต้าหนิงพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะราวกับคับแค้นใจใครบางคนอย่างนั้น ก็จริงแค่ลูกชายเล่าถึงคนบ้านนั้นเธอก็ไม่อยากเจอแม้แต่วินาทีเดียว แต่ทำไงได้ล่ะเจอครั้งเดียวให้มันจบๆไป " อย่างที่ม๊าพูดแหละแกไม่ต้องห่วงหรอกตงหยาง เรื่องนี้ม๊าแกลุยเอง " " ครับงั้นผมก็วางใจ " ในเมื่อม๊าเป็นคนจัดการเรื่องนี้ผมก็หมดห่วงทันที เคยได้ยินมั๊ยเจ้สั่งลุยอ่ะ ม๊าของผมเป็นแบบนั้นครับ ใครอย่ามามีเรื่องกับม๊าของผมเชียวนะ ไม่มีวันชนะแน่ " ม๊าได้ข่าวว่าไม่สบายเป็นอย่างไงบ้างล่ะอาเหมย " ไม่ต้องสงสัยว่าเธอรู้ได้ไงก็สาวใช้คอยรายงานตลอด แถมบอกว่าพ่อลูกชายเฝ้าอยู่ทั้งวันอีกต่างหาก " ดีขึ้นมากแล้วค่ะม๊า " เหมยตอบด้วยรอยยิ้มแบบสดใส " เอาล่ะ นี่ก็ไกล้จะค่ำแล้วคุยกันเพลินไปนะคุณภรรยา " เสียงเจ้าสัวใหญ่ท้วงติงขึ้นมา เพราะภรรยาของเขาเล่นซักถามอยู่เป็นนานสองนานแล้ว " นั่นสิคะคุยเพลินไปหน่อยจริงๆ นั่นแหละไกล้ได้เวลาอาหารค่ำแล้วเราเข้าบ้านกัน " เสียงต้าหนิงบอกกล่าวทุกคนแล้วทั้งหมดก็พากันเดินเข้าบ้านไป เมื่อถึงโต๊ะอาหาร ทุกคนก็นั่งทานกันตามปกติแต่วันนี้มีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งเลยทำให้บ้านนั้นดูมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นไปอีก " กินเยอะๆนะเหมยไม่ต้องเกรงใจ ดูสิลูกชายม๊าตักให้เหมยไม่หยุดเลย " ได้ทีต้าหนึงจึงขอแซวลูกชายของเธอซะหน่อย เพราะตงหยางตักอาหารให้เหมยเกือบทุกอย่าง " พอแล้วค่ะพี่ตงหยาง แค่นี้เหมยก็กินไม่หมดแล้ว " เหมยปรามตงหยางเอาไว้ซะก่อนขืนยังตักให้เธอออีกต้องอิ่มไปสามวันแน่ๆ คนตัวโตไม่ตอบอะไรได้แต่นั่งยิ้มแล้วมองหน้าสาวน้อยตรงหน้าที่ตอนนี้เหมยดูสดใสมากทีเดียว " ตงหยางกินๆเข้าไปสิ มัวแต่ยิ้มอยู่ได้แล้วเมื่อไหร่มันจะหมดกัน " ต้าหนิงได้แต่ส่ายหัวให้ความเอาใจใส่ของลูกชายมีดูจะมากเกินไปหน่อยจนลืมตักข้าวของตัวเองกินเลยล่ะ " ครับม๊า " แล้วทั้งหมดห้นั่งกินกันไปคุยกันไป ต้าหนิงเล่าเรื่องตงหยางตอนเด็กๆ ให้เหมยฟังไม่หยุด ทั้งโต๊ะกินข้าวจึงมีแต่เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะตลอดจนมื้ออาหารนั้นจบลง ก็ต่างแยกย้ายกันไป ใครบอกว่าการกินอาหารต้องกินกันเงียบๆล่ะ ไม่จริงเลยเพราะบ้านไหนที่ปราศจากเสียงพูดคุยก็คงจะเหมือนขนมหวานที่ลืมใส่น้ำตาลล่ะมั้ง ชีวิตของคนทำงานก็เป็นแบบนี้แหละมีเวลาพูดคุยกันน้อยนิดเพราะเวลาก็หมดไปกับงานเกือบหมดวัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD