บทที่ 5 -- เรซควีน

1638 Words
พะแพงเดินเท้าจากลานจอดรถเข้ามายังร้านอาหารที่เธอทำงานด้วยใบหน้าขาวจัดถัดไปทางซีดซึ่งมีมากกว่าปกติทำให้ผิดสังเกตของคนพบเห็น แม็กกำลังจัดของเตรียมเปิดบาร์ถึงกับขมวดคิ้วยุ่ง “แพง?” “จะเป็นลม แพงจะเป็นลมแล้วแม็ก” คนตัวเล็กเดินมาเกาะบาร์ กว่าจะปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สูงนั้นได้ ถึงกับใช้พลังที่เหลือหยดสุดท้าย เพราะคนอื่นอาจแค่เขย่ง ส่วนคนที่สูงแค่ระดับล้อรถบรรทุกอย่างเธอจะต้องปีน “ไปทำอะไรมา” “แพงไปหางานทำมา” แก้วน้ำเปล่าถูกเลื่อนมาตรงหน้าโดยที่เธอไม่ได้ร้องขอ นั่นเพราะคนตัวสูงสังเกตว่าเธอไม่ได้มีน้ำมา คนตัวเล็กเลิกคิ้วคล้ายจะถามของเธอไหม แต่เพราะกระหายมาก และมันอยู่ตรงหน้าจึงคว้าดื่มไม่รอคำตอบ แม็กเห็นแบบนั้นถึงกับหลุดยิ้ม เธอน่ารักอีกแล้ว “จะลาออก?” “เปล่าๆ หาเพิ่ม” “งานแบบไหน แล้วมีเวลาพอเหรอ ที่นี่ก็เลิกดึกมากแล้วนะ” “ก็งานที่ออกไปทำสายๆ เสร็จก็มาที่นี่ต่อไง แบบงานแจกใบปลิวอะไรแบบนี้อ่า ช่วงปิดเทอมอยากทำให้เยอะหน่อย” “โห แพง แค่นี้ยังเหนื่อยไม่พออีกเหรอไง” “เงินไม่พอใช้มันเหนื่อยกว่านะแม็ก” เธอยกน้ำในแก้วที่เหลือน้อยกว่าครึ่งกระดกรวดเดียวหมด พลางวางปึงลงบนบาร์ จังหวะลงจากเก้าอี้จะไปห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยนยูนิฟอร์ม พลันถูกยื้อไว้โดยแม็กเสียก่อน หลังตกผนึกในคำพูดของเธอ แล้วเกิดความเห็นใจขึ้นมา “แพงเลือกงานไหมล่ะ” แน่นอนเธอหันขวับ “ไม่เลย แม็กมีแนะนำเหรอ” “อืม แม็กพอจะรู้จักรุ่นพี่คนหนึ่ง แฟนเขาก็ทำที่เดียวกับเขา คล้ายหาคนไปทำน่ะ เป็นงานเสริมเหมือนกัน รายได้ก็..เยอะอยู่นะ ครั้งหนึ่งได้เป็นก้อนเลย แต่เป็นงานที่แพงอาจไม่ค่อยชอบเท่าไหร่” “ไหนว่ามาซิ ถ้าไม่เปลืองตัวมากก็ได้หมดนะ” “เรซควีนอะ” “.......” “พริตตี้สนามแข่ง ออกงานนานๆ ครั้ง เฉพาะตอนมีแข่ง สนใจไหม” แม็กเดาว่าพะแพงน่าจะช็อคไปแล้ว เนื่องจากเธอเอาแต่ยืนนิ่งไม่คิดตอบ หรืออาจกำลังประมวลผลอยู่ ซึ่งนั้นเป็นการเดาที่ถูกต้อง เพราะคนตัวเล็กค้างไปตั้งแต่คำว่าเรซควีน พร้อมกับภาพในหัวเต็มไปหมด มันผุดขึ้นมาเองเป็นฉากๆ แถมเห็นตัวเองสวมชุดตรีมนักแข่งอยู่ในนั้นด้วย พอได้สติถึงกับสลัดออกหน้าสั่นกันเลยทีเดียว แต่ไม่ทันที่เธอจะอ้าปากตอบ เกียรติที่โผล่มาจากฝั่งขวาซึ่งเป็นทางไปห้องทำงานเขากวักมือเรียกกันเสียก่อน “แพง มาหาเฮียหน่อยครับ” “ค่ะ” ก่อนไปยังไม่วายหันมาทำหน้าตลกใส่แม็ก ที่คราวนี้คนหลังบาร์ถึงกับหัวเราะลั่น เพราะไม่ใช่แค่หน้าทะเล้น หากแต่เธอขยับปากไร้เสียงด้วย ...ซวยแล้ว ในห้องเดิมของคืนนั้นที่เกือบจะได้สาดอารมณ์ใส่กัน โชคดีที่มีสติยับยั้งทันจึงยังไม่เกิดขึ้น พะแพงเดินเข้ามาด้วยสภาพอิดโรย หากแต่เธอสวมหน้ากากอนามัย และใส่ฮู้ดติดเสื้อคลุมจึงไม่เป็นจุดสนใจของเกียรติเท่าไหร่ “นั่งลงสิ พี่จะคุยเรื่องนั้นกับแพง” “เรื่องอะไรเหรอคะ” ทันทีที่นั่งลงเธอก็เอ่ยออกมาทันที ไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า เนื่องจากตอนนี้เริ่มหิวข้าวแล้ว ต้องการไปหาอะไรกินในครัวกับป้าน้อยก่อนเริ่มงาน และเชื่อว่าสิ่งนี้แหละที่ทำให้เธอรู้สึกหวิว คล้ายจะเป็นลม “เรื่องที่แพงบอกให้พี่ไปบอก เรื่องเสี่ย” “อ๋อ แล้วเขาว่ายังไงบ้างคะ” ทีแรกไม่ได้ตั้งใจฟัง หูเธอเหมือนจะดับไปครึ่งหนึ่ง แต่พอได้ยินเป็นเรื่องของเขา ถึงกับผึ่งขึ้นมาใหม่ ใช้งานได้ดีราวกับถูกรีบูต “พี่ไม่ได้คุยกับเขาโดยตรง คุยกับลูกน้องเขาแทน พอพูดไปแบบนั้น ไม่มีการโทรกลับมา คิดว่าน่าจะเข้าใจ” “เขาว่าง่ายดีจังค่ะ” คนตัวเล็กยิ้มกว้าง ประโยคนี้ไม่ได้เหน็บแนม เจตนาจะชมออกมาจากใจจริงๆ แต่อีกคนกลับตีความหมายเป็นอย่างอื่น “ระดับนั้นแล้ว ไม่มาวิ่งตามใครหรอก เว้นแต่จะอยากได้มากจนเขาต้องล่า หรือไม่ก็ต้องมีผลประโยชน์กับเขาก่อน” พะแพงดึงหัวคิ้วมาชนกัน เธอไม่รู้คนตรงหน้าพูดหมายถึงอะไร แต่ไม่สบายใจราวกับโดนดูถูก ถึงเลือกที่จะเงียบเป็นฝ่ายฟังมากกว่า และเป็นการฟังที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรด้วย เมนูอาหารในครัวต่างหากที่สำคัญ เธอกำลังจินตนาการว่าวันนี้เชฟน้อยจะทำอะไรให้กิน “ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมคะพี่ งั้นแพงขอตัวนะ” คนตัวเล็กลุกขึ้น มือบางเลื่อนมาเกาะกุมกันเตรียมยกไหว้ แต่พอเขาถามอีกเรื่องจึงชะงักค้างไว้ “ได้ทิปหรือยัง” “ยังค่ะ ยังไม่เจอพี่ยิ้มเลย” “เดี๋ยวเอาที่พี่ก่อน วันนี้ยิ้มลาป่วย” หญิงสาวเลิกคิ้วสูงในแวบแรก พลันพยักหน้าเป็นอันเข้าใจภายหลัง คราวนี้ได้ยกมือขึ้นพนมจริงๆ เพราะต้องรับเงินที่เขายื่นมา หากแต่ภายในใจมีคำถามเป็นล้านคำ ยังสงสัยว่ายิ้มลาป่วยทำไมไม่เห็นบอก ปกติหล่อนหยุดจะแจ้งลงกลุ่มเสมอ “ตะเอ๋!” “ถาเถร... ไอ้แพง เด็กคนนี้นี่ ดีป้าไม่ปล่อยหม้อ ไม่งั้นแกเอ้ย” คนตัวเล็กทำปากเป็นรูปตัวโอ หลังเพิ่งจะเห็นว่าในมือเชฟน้อยถือหม้อใบหนึ่งซึ่งมีน้ำร้อนอยู่ ก่อนหน้านี้ร่างท้วมยืนหันหลังจึงไม่ทันสังเกต มัวแต่อารมณ์ดีเรื่องเสี่ยคนนั้น และได้เงินพิเศษมาสนองการจับจ่ายเพิ่มขึ้น “ขอโทษค่ะ แพงไม่เห็น” “หิวไหมหนู วันนี้มีมะกะโรนีมะเขือเทศที่แพงชอบด้วยนะ” ใบหน้าสลดเพราะรู้สึกผิดในทีแรกขึงตากว้าง พลันยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นมาเขย่าตรงหน้าเบาๆ “สุดยอด...” เชฟน้อยที่เห็นถึงกับหลุดขำ ให้กับเพื่อนร่วมงานรุ่นลูก เธอมักจะทำตัวน่ารักแบบนี้เสมอ เลิกงานคนตัวเล็กกลับมาถึงห้องด้วยความเหนื่อยล้าเช่นเคย หากแต่วันนี้หมดแรงคูณสองเมื่อออกจากลิฟต์มาเห็นบิลมากมายอยู่ในกล่องจดหมาย มากถึงขนาดล้นออกมา เธอหยิบมันเข้ามาในห้อง และตัวเลขมากมายหลังเอามาบวกกันทำให้ต้องฟุบลงกลางเตียงด้วยความหมดแรงอีกครั้ง พลันภาพจำของวันนี้กลับปลุกให้ลืมตาตื่น ชนิดขยุมหัวหน้าแหงนมานั่งตัวตรง “หรือว่าจะลอง..” ไม่พูดเปล่าแต่ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าผ้าด้วย จากนั้นจึงจะเข้าไปในแชทของแม็กที่ตกไปอยู่ข้างล่างเพราะไม่ได้คุยกันนานเป็นปี แม้เวลานี้จะดึกแล้วแต่ไม่ได้มีผลอะไรต่อพวกเธอ เพราะคนในแชทยังไม่เลิกงาน ยังคงดำรงตำแหน่งส่วนหน้าในผับอยู่ แม็ก (เพื่อนมัธยม) : เรื่องที่คุยกันตอนเย็น แพงสนใจนะ คืนนั้น.. เวลาเดียวกันกับเธอ อาคีรา เพิ่งจะกลับมาจากประชุมนัดใหญ่ที่รวมคณะกรรมการเกือบทุกหมู่เหล่าเกี่ยวกับการสร้างโครงการใหม่ระดับหมื่นล้าน ที่จะเปิดตัวภายในสองไตรมาสนี้ เมื่อมาถึงบ้านห้องที่เขาจะไปต่อไม่ใช่ห้องนอน อาบน้ำพักผ่อนอย่างเช่นนักธุรกิจทั่วไป แต่เป็นอีกห้องหนึ่งที่สามารถดื่มเหล้าได้ บางครั้งใช้ในเรื่องเซ็กซ์ด้วย เหล้าคอนยัคถูกเทใส่แก้วสนิฟเตอร์จากเจ้าของมือที่กำลังหงุดหงิด ความพิถีพิถันจึงถูกพลัดพรากไปในพริบตา แต่การวางมือไว้ก้นแก้วรออุณหภูมิ เพิ่มกลิ่นหอมออกมา พลันควงแก้วเบาๆ แล้วค่อยจิบนั้นยังคงอยู่ หากแต่ครั้งนี้เหล้าที่เขาดื่มเหมือนจะถูกลดทอนคุณค่า เมื่อความคิดที่พอว่างจากการคิดเรื่องงานแวบไปนึกถึงสาวน้อยคนนึง เธอสวยระดับดารา หุ่นดีระดับนางแบบ แต่กล้าดีอย่างไรมาปฏิเสธเขา! ดวงตาคมกริบหลุบต่ำ มองแก้วเปล่าไม่เหลือบรั่นดีสักหยดหลังถูกกระดกไปจนหมดแล้ว ท่าทางของเขาดูคุกรุ่น ทว่านั้นไม่น่าแปลกใจเท่ากับความคิด ร่างสูงมองรูปผู้หญิงมากมายซึ่งเรียงรายอยู่ในแมคบุ๊ค ถูกส่งมาโดยลูกน้องคนสนิทตามคำสั่งของทุกๆ เดือน เขาจะใช้บริการผู้หญิงเหล่านี้ที่มีดีกรีระดับนางแบบเป็นว่าเล่น เงื่อนไขไม่ผูกมัด แค่ดื่ม คุย นอนด้วยกันและลืมกันไป ยากนักที่จะมีการสานต่อเป็นครั้งที่สอง เพราะเขาไม่ชอบกินเมนูซ้ำ เว้นแต่จะผ่านไปเนิ่นนานจนลืมรสชาติแล้ว ทว่าวันนี้เขากลับมองพวกหล่อนด้วยสายตานิ่งสนิท ราวกับเป็นภาพถ่ายธรรมดา ดวงสายตาวางเปล่าไร้ความรู้สึกแต่คมกริบขณะมองอยู่ เปลี่ยนเป็นหลุบต่ำกะทันหันราวโบกมือดับเปลวไฟบนไส้เทียนดับ เหลือแต่ควัน เขาดึงตัวเองลุกจากขอบโต๊ะขึ้นมายืนเต็มความสูง ตวัดสายตาไปยังลูกน้องคนสนิท ที่ยืนผสานมือกุมต่ำรอรับคำสั่ง พลันกระดิกนิ้วชี้ “เด็กคนนั้น..” “ครับนาย ให้ผมทำยังไงดีครับ” “ตาม”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD