EPISODE 04
COCO Café’
จะว่าไปคาเฟ่นี้มันก็อยู่ไม่ไกลจากหอพักของฉันแบบที่ยัยกงจูบอกจริงๆ แค่หัวมุมถนนนี่เอง
“โอ้โห ทำไมมาเร็ว ฉันสั่งชาเขียวไปยังไม่ทันจะได้กินแกก็ถึงแล้วเหรอเนี่ย” กงจูทำหน้าตกใจใส่เมื่อฉันเดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม ฉันเห็นตั้งแต่เดินเข้าร้านมาแล้วว่ายัยนั่นมัวแต่นั่งก้มๆ เงยๆ เล่นโทรศัพท์มือถืออยู่น่ะ แต่กระทั่งฉันเดินมาถึงโต๊ะ มันก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำ
“แล้วสั่งช็อกโกแลตร้อนเผื่อฉันรึเปล่า” ฉันแสร้งถาม
“แหงสิ จ่ายเงินคืนมาด้วยย่ะ” กงจูเบะปากพลางแบมือมาตรงหน้า ฮึ่ย! แค่นี้ต้องทำเป็นงกด้วย
ฉันได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหยิบเงินค่าช็อกโกแลตร้อนส่งให้ยัยกงจู ระหว่างทำทีเป็นจ่ายเงินคืนฉันก็ลอบสังเกตสีหน้าท่าทางของมันอยู่ตลอด เพราะรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติตั้งแต่ที่มันโทรหาฉันแล้ว
“ตกลงว่ามีเรื่องอะไรเหรอ” เมื่อสบโอกาสฉันจึงรีบเข้าประเด็น ไหนๆ เราก็บังเอิญสบตากันแล้ว เข้าเรื่องเลยแล้วกันจะได้ไม่เสียเวลา
“เรื่องอะไร ไม่มีเรื่องอะไรนี่ ใครมีเรื่องอะไรเหรอ” ยัยกงจูทำหน้าตาเหลอหลาใส่ เฮ้อ ฉันล่ะเบื่อมันจริงๆ
“อ้อ ตกลงที่แกโทรตามฉันมานี่ไม่ได้มีเรื่องอะไรสินะ งั้นฉันกลับเลยก็แล้วกัน เสียเวลานอนชะมัด” ฉันว่าพลางลุกขึ้นยืนทำท่าจะกลับ
“เฮ้ย เดี๋ยวสิยัยซารัง เออๆ มีก็ได้ แกนั่งก่อนสิ” มันบอกเสียงอ่อยพลางกระตุกแขนฉันยิกๆ ให้นั่งลงนี่ตั้งใจเอาไว้ว่าถ้ามันยังเรื่องมากทำฟอร์มไม่ยอมพูด ฉันจะกลับจริงๆ
ฟุ่บ!
สรุปว่าต้องนั่ง
“ว่ามาสิ” ฉันแกล้งทำเสียงเข้มตีหน้าเครียดใส่ ยัยกงจูทำหน้าเหมือนลังเลที่จะพูด ซึ่งจากที่คิดเอาไว้ว่าฉันจะกลับถ้ามันเรื่องมากนัก แต่พอได้เห็นสีหน้าท่าทางและสายตาที่ดูหนักใจของมันแล้วฉันกลับทิ้งมันไม่ลง
“มีอะไรวะ ปกติฉันไม่เคยเห็นแกซีเรียสแบบนี้มาก่อนเลยนะกงจู”
กลายเป็นฉันที่ต้องพูดเสียงอ่อนกับมัน... ทุกที
“บอกก่อนว่าฉันก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่นะว่าที่คิดไว้มันจริงรึเปล่า” มันออกตัวซะน่ากลัวเชียว
“แล้วแกคิดว่าอะไรล่ะ”
“คิดว่าบีโฮกำลังนอกใจฉัน”
“หา!”
“ชู่ เบาๆ สิ แกตกใจได้แต่จะเสียงดังไม่ได้นะเว้ย”
อะไรของมัน ตกใจได้แต่เสียงดังไม่ได้ คนตกใจจะไม่ให้เสียงดังได้ยังไง
“แกเพ้ออะไรของแกวะกงจู ทำไมจู่ๆ ถึงไปสงสัยผู้ชายซื่อบื้ออย่างบีโฮ” ฉันอดไม่ได้ที่จะถาม คนอย่างบีโฮเนี่ยนะจะนอกใจยัยกงจู บอกว่าหมาออกลูกเป็นหมีขั้วโลกยังน่าเชื่อกว่าเลย
“ก็บอกแล้วไงว่ายังไม่แน่ใจ”
“แล้วผีบ้าอะไรเข้าสิงให้แกคิดไปแบบนั้น”
“ฉัน...” ยัยกงจูอึกอัก และนั่นแหละที่ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกรำคาญ
“แกทำไม”
“คือเมื่อวานฉันตั้งใจจะแวะไปค้างกับเขาที่หอ แต่โทรไปแล้วเขาก็ไม่รับ ฉันก็เลย...”
“เดี๋ยวยัยกงจู แกเพิ่งบอกฉันว่าแก... ตั้งใจ... จะไปค้างกับบีโฮ” ฉันทวนคำพูดของกงจูอีกรอบ ซึ่งยัยนั่นก็ยิ้มแหยแล้วพยักหน้างึกๆ อย่างจำนน
เอาเถอะ เรื่องของคนสองคนนี่เนอะ ฉันจะกล้าวุ่นวายได้ยังไง
“ข้ามประเด็นนั้นไป เล่าต่อสิว่าพอเขาไม่รับโทรศัพท์แล้วยังไงต่อ”
“ฉันก็เลยตั้งใจจะไปเซอร์ไพรส์เขา แต่ว่าพอไปถึงแล้วเขากลับไม่อยู่ที่ห้อง”
“แกก็เลยคิดว่าเขาไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นงั้นเหรอ” ฉันคาดเดา ซึ่งคำตอบของยัยกงจูก็คือการพยักหน้าจนหัวแทบหลุด ประหนึ่งว่ามั่นใจในคำตอบมากๆ
“เขาอาจจะลงไปซื้อของก็ได้มั้งยัยกงจู” ฉันพยายามหาคำตอบมาปลอบใจ
“ฉันยืนรอเขาอยู่ที่หน้าห้องจนตีสอง”
“หา!” ฉันถึงกับต้องแหกปากร้องเสียงดังเพราะความตกใจอีกรอบ พร้อมกับที่ยัยกงจูรีบยกมือขึ้นปิดปากฉันแล้วหันมองซ้ายมองขวาด้วยความเกรงใจคนในร้าน
โอ๊ย ฉันจะประสาทเสียกับเรื่องอะไรก่อนดี
“แกคิดว่าฉันอยากจะระแวงเขาเหรอวะยัยซารัง แต่ก่อนหน้าที่ฉันจะตัดสินใจไปหาเขาแค่ครึ่งชั่วโมง เรายังคุยโทรศัพท์กันอยู่เลย เขาบอกว่าเขาจะรีบอาบน้ำแล้วเข้านอน ถ้าเขาไม่ได้กำลังมีคนอื่น เขาจะโกหกฉันทำไม”
“ฉัน...” ฉันจะกล้าแสดงความคิดเห็นอะไรได้ล่ะ จะว่าไปมันก็น่าสงสัยจริงๆ นั่นแหละ “ใจเย็นเว้ย เรื่องมันอาจไม่เป็นแบบนั้นก็ได้ ทำไมแกไม่ลองถามเขาดูก่อนล่ะ”
“ถามคนโกหก แกคิดว่าจะได้คำตอบที่เป็นความจริงรึยังไง” ยัยกงจูว่าพลางเบ้ปากใส่
“แล้วจะทำยังไง”
“ไม่รู้ ยังคิดไม่ออก บอกตามตรงว่าตกใจอยู่ ขนาดจะร้องไห้ฉันก็ยังไม่รู้ว่าจะร้องไห้เพราะเหตุผลอะไร ถ้าเห็นกับตาว่าเขาควงคนอื่นแล้วก็ว่าไปอย่าง เฮ้อ ปวดประสาทวุ้ย” กลายเป็นยัยกงจูที่ออกอาการหัวเสียแทนฉัน แถมมันยังบ่นเสียงดังทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นคนบอกฉันว่าห้ามเสียงดังแท้ๆ
“ใจเย็นๆ ฉันว่าดูๆ ให้แน่ใจก่อนจะดีกว่า บอกตามตรง ฉันยังไม่อยากจะเชื่อว่าบีโฮจะเป็นคนแบบนั้น” ฉันตอบอย่างเป็นกลาง ในฐานะที่เห็นบีโฮตกเป็นเบี้ยล่างให้ยัยกงจูมาตลอดตั้งแต่เริ่มคบกัน
ยัยกงจูพยักหน้าก่อนจะทำทีเป็นยกแก้วชาเขียวของมันขึ้นดูด พอดีกับที่ช็อกโกแลตร้อนของฉันถูกยกมาเสิร์ฟ
“แล้วแกอะ ตกลงเป็นอะไรวะ”
แล้วจู่ๆ มันก็วกกลับมาที่เรื่องของฉันเฉยเลย
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ เมื่อคืนก่อนฉันแค่ไม่ได้นอนเพราะมัวแต่ดูซีรีส์น่ะ เหมือนจะไม่ได้กินข้าวเย็นด้วย เมื่อวานก็เลยวูบ” ฉันพยายามอธิบาย ซึ่งเท่าที่ทบทวนมาแล้วฉันว่ามันต้องมาจากสาเหตุนั้นแน่นอน
“แกพูดเหมือนเพิ่งเคยอดนอนดูซีรีส์ไปได้ เมื่อก่อนพวกเราไปนั่งดื่มกันยันเช้าฉันไม่เห็นแกเคยแพ้”
“ฉันไม่ได้แพ้เว้ย แต่มันไม่เหมือนกัน ดื่มจนเช้า สายก็นอน แต่นี่ต้องแบกร่างไปสอบ แค่คิดถึงหน้าอาจารย์ซูอึนก็ไมเกรนจะขึ้น”
“เออ งั้นก็คงจริงของแก” ยัยกงจูรีบเออออทันทีเมื่อฉันลองให้มันนึกถึงหน้าอาจารย์ซูอึนผู้คร่ำครึราวกับเดินมาจากอาณาจักรโชซ็อน
“ขอบคุณค่ะ”
เสียงที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ฉันกับกงจูที่กำลังหัวเราะกันเบาๆ ต้องละสายตาออกจากกันเพื่อหันไปมองที่ต้นเสียงนั้น แต่ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าเจ้าของเสียงหวานๆ เมื่อครู่ ฉันก็ต้องรีบหันกลับมาพร้อมกับก้มตัวหลบลงไปใต้โต๊ะทันที
บ้าจริง ทำไมถึงได้เป็นเธอล่ะ
“อะไรวะ โจทก์แกเหรอยัยซารัง”
“ชู่ ดูให้ก่อน ฉันไม่อยากเจอเธอคนนั้น” ฉันรีบส่งสัญญาณบอกยัยกงจูทันที ซึ่งมันก็เงียบไปสักพักก่อนจะเตะเท้าฉันที่ใต้โต๊ะเป็นการส่งสัญญาณ
“ออกไปแล้วๆ ขึ้นมาได้”
ฉันค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปดูเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งในท่าปกติแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทำไมช่วงนี้ถึงได้มีแต่เรื่องให้ต้องลุ้นตลอดเลย เห็นทีฉันต้องรีบไปออกกำลังกายเพื่อให้หัวใจของฉันแข็งแรงขึ้นจริงๆ สักที
“ใครวะ ทำไมต้องหลบด้วย” ยัยกงจูรีบถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“ก็... ไม่รู้จักหรอก”
“อ้าว ไม่รู้จักแล้วแกหลบหน้าทำไม”
“เรื่องมันยาวน่ะ”
“ฉันก็ไม่ได้รีบไปไหนสักหน่อยนี่” ยัยกงจูตัวดีบอกพลางฉีกยิ้มกว้าง ซึ่งดูออกได้เลยว่ามันอยากให้ฉันเล่าให้ฟัง หรือพูดง่ายๆ ก็คือมันสู่รู้!
เฮ้อ เอายังไงดีล่ะ ฉันจะเล่าให้มันฟังดีมั้ยนะ พูดไปมันจะเชื่อฉันรึเปล่า
“อะไร ยังไง เล่ามา รอฟังนะเนี่ย” มันยักคิ้วใส่พลางเร่งเสียงเข้มอีกรอบ
“คือเรื่องมันเป็นแบบนี้นะแก เมื่อวานฉันดันไปเห็นเรื่องอะไรที่ไม่ควรจะเห็นเข้าน่ะ”
“อะไรล่ะที่ว่าไม่ควรจะเห็นน่ะ”
“ฉันเห็นรุ่นพี่ผู้หญิงคนนั้นกับรุ่นพี่จุนแจ”
“หา! อย่าบอกนะว่ารุ่นพี่จุนแจเดตกับรุ่นพี่คนนั้นอยู่นะ เรื่องจริงเหรอแก”
เนี่ย เพราะมันชอบตื่นตูมแบบนี้ไงฉันถึงลังเลที่จะเล่าให้มันฟัง
“นี่อย่าบอกนะว่าแกไปเห็นพวกเขาอี๋อ๋อกันมา”
ไม่ทันที่ฉันจะได้อธิบายหรือพูดต่อ ยัยกงจูก็รีบคาดเดาไปไกล แต่ความจริงก็คือความจริงวันยังค่ำ
ฉันจำต้องพยักหน้ายืนยันถึงสิ่งที่ได้เห็นมา นั่นทำให้กงจูเบิกตาโพลงพลางยกมือขึ้นปิดปาก ก่อนที่ไม่กี่วินาทีต่อมา มันจะทำหน้าเศร้าเหมือนจับได้ว่าบีโฮนอกใจมันไปแล้วจริงๆ
“โถๆๆ ซารังของฉัน ผู้ชายมันก็แบบนี้แหละน่า อย่าคิดมากเลย ดีเสียอีกที่แกเห็นภาพบาดตานั้นเข้าเสียก่อน แกยังมีโอกาสตัดใจนะเพื่อน ดีกว่าปล่อยให้หลงรักเขามากไปกว่านี้ แกจะยิ่งเจ็บปวด”
ฉันเจ็บปวดเพราะความเสแสร้งของมันนี่แหละ!
“ขอบใจ แต่แกฟังฉันพูดให้จบก่อนได้มั้ยกงจู”
“อ้าว ยังไม่จบเหรอ นี่อย่าบอกนะว่าแกเห็นพวกเขาสองคนกอดกัน จูบกัน ลูบไล้กัน แล้วก็...” กงจูลากเสียงยาวพลางยกมือขึ้นมาประสานกันไว้ตรงหน้า ก่อนจะหักข้อมือเข้าหากันสองสามครั้งจนเกิดเสียงที่ทำเอาฉันขนลุก
“ไม่ๆๆ ยังไม่ถึงขั้นนั้น แค่เกือบน่ะ” ฉันรีบอธิบายก่อนที่เพื่อนตัวดีจะคิดไปไกลกว่านั้น แต่สีหน้าของกงจูก็ยังไม่ดีขึ้นเลยสักนิด มันเหมือนช็อกราวกับไปเห็นเหตุการณ์มาด้วยกันกับฉันทั้งที่แค่กำลังจินตนาการตามคำบอกเล่าของฉันเท่านั้นเอง
“เกือบยังไง ต่อเร็ว กำลังสนุก” เรื่องที่ฉันกำลังเล่ามันกลายเป็นเรื่องสนุกไปได้ยังไงนะ ทั้งที่ตอนที่อยู่ในเหตุการณ์ฉันกลัวแทบแย่
“ฉันเห็นสองคนนั้น... จูบกัน”
“จูบ”
“อืม แต่มันไม่ใช่แค่การจูบกันแบบธรรมดาน่ะสิ”
“แลกลิ้นงี้เหรอ”
โว้ยยย ถ้ามันจะลุ้นทุกประโยคทุกบรรทัดแบบนี้ ฉันจะไม่เล่าต่อแล้วนะ
“แฮ่ โทษที มันอดลุ้นไม่ได้นี่นา แกเล่าต่อสิ เล่าเลยๆ” ยังจะมายิ้มแหยใส่อีก ฉันล่ะเหนื่อยกับมันจริงๆ
ฉันถอนหายใจใส่ยัยกงจูไปหนึ่งรอบก่อนจะรวบรวมสมาธิใหม่แล้วเริ่มเล่าอย่างจริงจังอีกครั้ง
“คือก่อนที่พวกเขาจะจูบกัน ฉันเห็นรุ่นพี่จุนแจแลบลิ้นเลียนิ้วมือของเธอที่มีเลือดไหลออกมาเต็มไปหมดเลยน่ะสิ”
“หา!”
“ชู่ แกตกใจได้แต่อย่าเสียงดัง เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน” ฉันรีบบอก “คือต้องบอกก่อนว่าตอนแรกฉันก็ไม่ได้อยากจะเชื่อหรอกนะยัยกงจู แต่ก่อนหน้าที่จะเกิดภาพอนาจารนั่น ฉันดันบังเอิญได้ยินรุ่นพี่จุนแจกับเพื่อนของเขาพูดกันถึงเรื่องแวมไพร์น่ะ”
“วะ แวมไพร์งั้นเหรอ”
“อืม ฉันได้ยินไม่ค่อยถนัดหรอก แต่ที่เห็นชัดๆ และจำได้แม่นก็คือตอนที่รุ่นพี่จุนแจดูดเลือดที่มือของรุ่นพี่ผู้หญิงคนนั้นน่ะ พอเลือดที่มือหมด ฉันก็เห็นเขาซุกไซ้ซอกคอเธอเหมือนจะ....” ฉันพยายามจะเล่าอย่างละเอียด แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะฟันธงให้เด็ดขาด เพราะเมื่อถึงเหตุการณ์นี้ โทรศัพท์ของฉันก็สั่นขึ้นมาจนฉันต้องรีบหนีเสียก่อน
ยัยกงจูนิ่งไปสักพักเหมือนจะช็อกหนักกว่าเดิม แต่สักพักมันก็เริ่มมองหน้าฉันแล้วค่อยๆ ระบายยิ้ม ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะเริ่มกว้างขึ้นแล้วกลายเป็นเสียงหัวเราะ
“ฮ่าๆๆ แกนี่ตลกนะซารัง”
“ไม่ตลกนะกงจู ฉันเห็นแบบนั้นจริงๆ แต่เพราะโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นพอดี ฉันก็เลย...”
“แกก็เลยสะดุ้งตื่น แล้วพบว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นแค่ความฝัน แกดูซีรีส์มากไปเลยเก็บไปคิดฝันเป็นตุเป็นตะใช่มั้ยยัยบ้า นี่แกคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกในนิยายหรือยังไง คิดว่ารุ่นพี่จุนแจเขาจะกัดคอผู้หญิงคนนั้นแล้วดื่มเลือดสดๆ งั้นเหรอ นี่ชีวิตจริงย่ะ แวมไพร์มันมีแต่ในนิยายโน่น ตื่น!” กงจูยื่นมือมาตรงหน้าฉันก่อนจะปรบเข้าหากันราวกับต้องการจะปลุกให้ฉันตื่นจากความฝันบ้าบอนั่นจริงๆ แต่ฉันไม่ได้ฝันสักหน่อย ต้องทำยังไงมันถึงจะเชื่อนะ
“ฉันไม่ได้ฝัน” ฉันพยายามยืนยันอีกรอบ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าพูดจนคอแห้งยัยกงจูก็คงไม่เชื่อแน่
“ฝัน แกฝันแน่นอน เดาได้เลยว่าช่วงนี้แกติดซีรีส์พวกแวมไพร์อยู่แน่ๆ”
“ฉันไม่ได้ฝัน” ฉันย้ำอีกรอบ และตั้งใจจะย้ำเป็นรอบสุดท้ายแล้วจริงๆ
“งั้นแกเห็นเขี้ยวเขารึเปล่า” กงจูเอ่ยถามพลางคลี่ยิ้มล้อเลียน ทำเอาฉันถอนหายใจอย่างนึกเซ็ง
“บอกแล้วไงว่าโทรศัพท์ดังก่อนเลยไม่ทันได้เห็น”
“นั่นไงล่ะ แกก็ไม่มีหลักฐานใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน พักผ่อนเยอะๆ นะยัยซารัง”
สรุปว่าเธอไม่เชื่อที่ฉันพูดสินะ…
“เดี๋ยวฉันสั่งช็อกโกแลตร้อนให้อีกแก้วดีมั้ย ดื่มอะไรร้อนๆ สมองแกจะได้โปร่งขึ้น” ยัยกงจูบอกอย่างมีน้ำใจ
ฉันได้แต่ส่ายหัวปฏิเสธ ต่อให้ดื่มน้ำร้อนสักร้อยลิตรก็ไม่ได้ช่วยทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาได้หรอก
“ฉันว่างั้นเรากลับกันเลยดีกว่า ฉันเหมือนจะปวดหัวว่ะ” ฉันอ้าง
กงจูมองหน้าฉันเหมือนจะงงๆ นิดหน่อย แต่ฉันทำเป็นไม่เห็นแล้วก้มหน้าก้มตาดื่มช็อกโกแลตร้อนให้หมดแก้ว ทั้งที่ปกติฉันจะกะลิ้มกะเหลี่ยมันจนช็อกโกแลตร้อนกลายเป็นช็อกโกแลตเย็น
หลังจากที่ฉันดื่มช็อกโกแลตจนหมดแก้ว เราสองคนก็พากันเดินออกมาจากร้าน ชาเขียวของยัยกงจูเป็นแก้วกระดาษแบบเทกโฮมน่ะ มันก็เลยถือออกมาดื่มด้วยเพราะยังเหลือเกินครึ่งแก้ว
“นี่ อย่าคิดมากไปเลยน่า ถ้าแกยืนยันว่าไม่ได้ฝัน เรื่องทั้งหมดมันก็อาจเป็นแค่การเข้าใจผิดกันก็ได้นะยัยซารัง”
“ฉันก็ภาวนาให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน” ฉันตัดบท จะว่าไปแล้วฉันเองก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันนี่นา ต่อให้ดึงดันไปก็คงเปล่าประโยชน์
“อ้อ จริงสิ ฉันว่าจะถามถึงเรื่องงานเลี้ยง ตกลงว่าแกหาได้ชุดรึยัง”
“ยัง” ฉันรีบตอบอย่างหนักแน่นโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด บอกตามตรงว่าฉันลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิทเลย เรียกได้ว่าแทบไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยด้วยซ้ำไป
“แกจะใจเย็นรอให้ถึงวันงานแล้วค่อยวิ่งไปตัดรึยังไงยัยบ้านี่”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า เดี๋ยววันมะรืนนี้ค่อยไปดูก็ได้ ฉันไม่ได้เรื่องมากเหมือนแกสักหน่อย”
“เอ๊ะ ยัยนี่!”
“ไปๆ แกไปขับรถมาได้แล้ว ไปส่งหน่อย ฉันขี้เกียจเดิน” ฉันถือโอกาสมัดมือชกทำเอายัยกงจูเบะปากใส่ ก่อนจะเดินอ้อมไปทางด้านข้างร้าน ส่วนฉันก็ยืนรอมันอยู่บริเวณหน้าร้านนี่แหละ
เฮ้อ ฉันต้องเรียงลำดับความสำคัญก่อนสินะ ตอนนี้เรื่องที่สำคัญสำหรับฉันที่สุดก็น่าจะเป็นเรื่องงานเลี้ยง เพราะว่าเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ถึงจะไม่อยากใส่ใจแต่จะให้ใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ไปมันก็คงน่าเกลียด
“นี่เธอ”
“อุ้ย!” ฉันสะดุ้งเบาๆ เมื่อใครสักคนเดินตรงเข้ามาทัก และเมื่อหันไปมองอีกคนให้ชัดๆ ฉันก็ถึงกับต้องก้าวถอยหลังในทันที
รุ่นพี่ยองมิน... เธอเดินออกมาจากร้านได้พักใหญ่แล้วนี่นา ทำไมยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ
“มะ มีอะไรกับฉันงั้นเหรอคะ” ฉันถามตะกุกตะกัก พยายามจะทำทุกอย่างให้เป็นปกติแม้ว่าจะพูดจาติดอ่างไปบ้าง ขณะเดียวกันก็แอบลอบมองหายัยกงจูที่ไม่รู้ว่าจนป่านนี้แล้วทำไมมันยังไม่ขับรถมาสักที มัวทำอะไรของมันอยู่นะ
“เธอคือเด็กผู้หญิงที่แอบดูฉันกับจุนแจเมื่อวานใช่มั้ย” เธอถามพลางยกมือขึ้นกอดอก สายตาที่มองมาดูออกชัดเจนว่ามีเจตนาไม่ดี
“คุณพูดเรื่องอะไรคะ ฉันไม่เข้าใจ”
“อย่ามาโกหก บอกมานะว่าเธอเห็นอะไรบ้าง แล้วได้เอาไปบอกใครบ้างแล้วรึยัง”
ที่แท้เธอคงกลัวว่าฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นๆ นี่เอง คงจะเหมือนๆ กับที่รุ่นพี่จุนแจเป็นกังวลถึงขนาดต้องไปตามหาฉันนั่นแหละ
“ฉันไม่...”
“ฉันจะเตือนเอาไว้นะยัยเด็กโง่ ถ้าเธอยังไม่อยากตายล่ะก็ อย่าได้ปากสว่างไปเชียว จุนแจน่ะเขาไม่ใช่คนธรรมดา”
“แล้วคุณเป็นใครคะ ทำไมถึงต้องทำเหมือนหวังดีมาเตือนฉัน” ฉันแสร้งย้อนถาม
ทีแรกก็ไม่ได้อยากจะยุ่งกับเรื่องของเธอนักหรอกนะ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พอได้เห็นท่าทีหยิ่งๆ และดูเป็นเดือดเป็นร้อนของเธอแล้วมันก็อดจะหมั่นไส้ไม่ได้
“คิดเสียว่าฉันแค่มาเตือนเอาบุญก็แล้วกัน”
“เอาบุญหรืออยากเอาอย่างอื่นกันแน่”
“หน็อย ยัย...”
ฟุ่บ!
“โอ๊ย!” เธอคนนั้นร้องเสียงหลงเมื่อล้มลงไปกับพื้น ก็ใครใช้ให้เธอก้าวเข้ามาทำร้ายฉันก่อนล่ะ ฉันก็แค่หลบเฉยๆ ไม่ทันจะได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ เธอไม่ระวังจนล้มลงไปเองต่างหาก
ถึงฉันจะอายุน้อยกว่า สูงน้อยกว่าเธอนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าฉันจะยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายฉันง่ายๆ หรอก
“ยัยเด็กบ้า โอ๊ย ข้อมือฉันจะหักรึเปล่าเนี่ย”
“อย่าสำออยไปหน่อยเลยค่ะ เมื่อวานตอนคุณใช้มีดคัตเตอร์กรีดนิ้วตัวเอง ฉันว่ามันน่าจะเจ็บกว่านี้เสียอีก แต่ก็ไม่เห็นว่าคุณจะร้องโอดโอยขนาดนี้เลย”
“เธอว่าไงนะ”
เสียงเข้มๆ ที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้ฉันต้องรีบหันไปมอง แต่ทันทีที่ได้สบตากับรุ่นพี่จุนแจ หัวใจฉันก็กระตุกวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ระ รุ่นพี่”
เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ฉันถามว่าเมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ... ซารัง”
“เอ่อคือ...”
“จุนแจ ช่วยฉันที”
ฉันอาศัยจังหวะที่พวกเขาคุยกันอยู่ค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกมาเรื่อยๆ เมื่อรับรู้ได้ถึงสัญญาณอันตราย สายตาของรุ่นพี่จุนแจในวันนี้เหมือนกับเมื่อวานที่เขาจ้องมองฉันไม่มีผิด ต่างกันก็แค่สีนัยน์ตาที่ไม่ได้แดงฉานและวาววับเท่านั้นเอง และที่สำคัญเลยคือฉันกำลังสังเกตเวลาที่เขาพูด ซึ่งก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีเขี้ยวงอกออกมาแบบที่กงจูถามถึงเหมือนกัน
นี่ฉันจะเพ้อเจ้อไปเองได้ขนาดนั้นจริงๆ น่ะเหรอ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมทั้งเธอกับเขาถึงได้โผล่มาหาฉันในเวลานี้ล่ะ
“ฉันถามว่าเมื่อกี้เธอพูดอะไรกับยองมิน” รุ่นพี่จุนแจถามขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เขาช่วยฉุดเธอขึ้นมาจากพื้น เสียงของเขาดึงสติของฉันออกมาจากนิยายแวมไพร์ของกงจูโดยอัตโนมัติ
“ฉัน... ไม่ได้พูดอะไรนี่คะ”
“ยัยเด็กนี่พูดว่า...”
“เธอกลับไปก่อนก็แล้วกันยองมิน”
“แต่ว่า...”
“กลับไปซะ ที่เหลือฉันจัดการเอง” รุ่นพี่จุนแจย้ำอีกครั้ง คำพูดของเขาสร้างความไม่พอใจให้กับเธอที่ไม่รู้ว่าจะหันมาจ้องหน้าหาเรื่องฉันทำไมทั้งที่ฉันไม่ได้เป็นคนเอ่ยปากไล่เธอสักหน่อย
น้ำเสียงของรุ่นพี่จุนแจเมื่อครู่นี้เย็นเยียบจนฉันรู้สึกขนลุก แม้จะไม่เห็นสายตาที่เขาหันไปมองเธอแต่ก็พอจะเดาได้ว่ามันต้องน่ากลัวไม่แพ้กันกับที่เขามองฉันแน่ๆ
“ฉันต้องรีบกลับแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
“หยุด!”
สองเท้าของฉันชะงักงันทันทีเมื่อรุ่นพี่จุนแจออกคำสั่งเพียงคำเดียวสั้นๆ เขาไม่ได้ก้าวตามฉันมา ไม่แม้แต่จะพยายามรั้งหรือกักขังฉันเอาไว้ด้วยซ้ำ แต่น้ำเสียงของเขากลับมีพลังมากพอที่จะหยุดเท้าของฉันไว้ได้
ยัยกงจูมันหายไปไหนนะ ทำไมไม่โผล่หัวมาสักทีเนี่ย!
“ฉันจะถามอีกครั้งนะซารัง เธอพูดอะไรกับยองมิน”
คราวนี้รุ่นพี่จุนแจสาวเท้าเข้ามาใกล้พลางใช้สายตาของเขาสะกดฉันเอาไว้ ทั้งที่ร่างกายของเราไม่ได้สัมผัสกันแม้แต่ปลายเล็บแต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนแขนขาถูกเขาตรึงเอาไว้ทั้งหมด
“ฉะ ฉัน ก็แค่พูดมั่วๆ ไปอย่างนั้นเองค่ะ”
“พูดมั่วงั้นเหรอ เท่าที่ฉันได้ยิน ไม่มีตรงไหนมั่วสักคำ”
“ฉันแค่เดาถูกมั้งคะ” ฉันยังพยายามอ้างไปเรื่อยๆ โชคดีที่เหลือบไปเห็นรถของยัยกงจูแล้ว โผล่หัวมาได้สักที
“อย่ามาไขสือจะดีกว่า” รุ่นพี่จุนแจเอ่ยด้วยสีหน้าและท่าทีจริงจัง
กี่ครั้งแล้วนะที่คำพูดเพียงไม่กี่คำของเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนสูญเสียสติและการควบคุมตัวเองไปชั่วขณะ
“ก็ได้ค่ะ ฉันบอกก็ได้ว่าความจริงแล้วฉันไม่ได้พูดมั่ว” ฉันแสร้งบอกออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะยิ้มให้เขานิดหน่อยพร้อมกับที่มองหาโอกาสและจังหวะในการเอาตัวรอด ซึ่งไม่กี่วินาทีต่อมา โอกาสของฉันก็มาถึง
ปี๊นๆ
เสียงแตรรถที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ฉันรีบหันไปมองก่อนจะรีบฉวยโอกาสที่รุ่นพี่จุนแจเผลอรีบวิ่งไปขึ้นรถของยัยกงจูทันที
ฉันแอบกดโทรศัพท์หายัยกงจูตั้งแต่ที่เจอรุ่นพี่ยองมินแล้ว ถึงจะไม่ได้กลัวเธอ แต่ก็ไม่ได้ประมาทถึงขนาดจะปล่อยให้ตัวเองเสี่ยงหรอก ใครจะไปรู้ว่าเธอมาคนเดียวหรือว่ามากับใครที่อาจจะเป็นอันตรายกับฉันก็ได้นี่นา
“กลับมาเดี๋ยวนี้นะซารัง!”
ใครวิ่งกลับไปก็บ้าแล้ว
“ยัยเด็กบ้า!”