ผลั่ก!
“เซอร์ไพรส์!!...” ประตูห้องที่เปิดออกอย่างไม่ตั้งตัวพร้อมกับเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น นั่นทำให้พลับพลึงถึงกับผงะไปด้วยความตกใจจนแทบลืมหายใจ “พลับ!”
เสียงเข้มที่ดังขึ้นเรียกชื่อเธอทำให้เธอได้สติกลับมา ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นมองไปยังผู้มาใหม่ด้วยความตื่นตระหนก
“พ่อ แม่” ใช่ พ่อแม่เธอที่มีคีย์การ์ดห้องของเธอ ห้องที่พ่อแม่ตัดสินใจซื้อเพื่อความสะดวกเวลาที่พวกท่านจะมาหาและมาค้าง
เทอมหนึ่งที่เธอเรียนได้สองเดือนพ่อกับแม่ก็มาค้างแล้วรอบหนึ่ง เธอไม่คิดว่านี่พึ่งเทอมสองจะมาอีก นั่นเลยทำให้เธอไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจยิ่งมาเจอในเหตุการณ์แบบนี้ด้วย
“นี่มันอะไรกันพลับ ผู้ชายคนนี้เป็นใคร!” เสียงเข้มของผู้เป็นพ่อดังขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาในห้องมองข้ามลูกสาวอย่างเธอไปยังหินผาที่นั่งอยู่
“สวัสดีครับ” หินผาที่ได้ยินเธอเรียกว่าพ่อแม่ก็ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ด้วยใบหน้าราบเรียบแต่ถือว่ารักษามารยาทให้หน้าพลับพลึง
“บอกพ่อมาเดี๋ยวนี้นะพลับ ทำไมพลับถึงได้พาผู้ชายเข้าห้องแล้วปล่อยให้มันถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้!” เพราะเธอนั่งเอนซบกับหินผาอยู่ก่อนทำให้พ่อแม่ได้เห็นภาพนั้นเข้าให้และถามเธออย่างไม่พอใจ
“คือ...” เธอที่ถูกพ่อแม่จับได้อย่างไม่ได้ตั้งตัว แถมยังถูกจับได้ในสถานการณ์ที่อยู่ในห้องสองต่อสองกับผู้ชายแบบนี้ไม่รู้จะพูดยังไงให้ฟังขึ้นเลยสักนิด เธอก็ไม่ได้อยากปิดบังหรือโกหกพ่อกับแม่ตัวเองด้วย แต่เธอรู้ดีว่าพ่อกับแม่ของเธอเป็นแบบไหนมีความคิดกับเรื่องนี้ยังไง
“ไม่จริงใช่ไหมพลับ พลับไม่ได้ทำให้พ่อแม่ผิดหวังใช่ไหม” บัวตองเห็นลูกสาวอ้ำอึ้งก็ถามออกมาทั้งที่มีคำตอบดีอยู่แล้ว
“พลับ...” เธอได้แต่อ้ำอึ้งอย่างทำตัวไม่ถูก แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด “พลับขอโทษ”
แม้ในมุมมองของเธอมันไม่ได้ผิดอะไร แต่ในมุมมองของพ่อแม่นั้นเธอผิดเต็ม ๆ
“นายจะไม่พูดอะไรหน่อยเลยงั้นเหรอ!” แม่ของเธอที่ได้ยินลูกสาวยอมรับด้วยคำขอโทษก็ผิดหวังไม่น้อย แต่ครั้งนี้แม่ได้มองข้ามลูกสาวอย่างเธอไปยังชายหนุ่มด้านหลังแล้วถามขึ้น
“.....” หินผาหันไปมองหน้าพลับพลึงอย่างไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรออกไป เพราะเขาไม่คิดว่าการคบกันในวัยเรียนหรือมีอะไรกันในวัยนี้จะเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับพ่อแม่ของผู้หญิงที่คบหา และเป็นการเผชิญหน้าด้วยอารมณ์ของอีกฝ่ายที่ดูเดือดดาลราวกับไม่พอใจ
“นายต้องรับผิดชอบสิ่งที่นายทำ!” พ่อเธอพูดขึ้นอย่างไม่ยอมทันที พูดในสิ่งที่แม้แต่ลูกสาวอย่างเธอยังไม่เห็นด้วยเลยด้ยซ้ำ
“พ่อ...” เธอพึ่งเอ่ยปากเรียกพ่ออย่างคัดค้านแต่กลับได้รับสายตาดุดันผิดหวังกลับมาทั้งจากพ่อและแม่ตัวเอง
“รับผิดชอบยังไงครับ” หินผาได้ยินแบบนั้นก็ถามออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ ว่าเขาจะเจอการถูกบีบบังคับแบบนี้
“รับผิดชอบยังไง? นายล่วงเกินลูกสาวฉันแต่กลับถามว่าจะรับผิดชอบยังไง?” พ่อเธอย้อนถามออกมาอย่างไม่พอใจ
“พ่อคะ แม่คะ...”
“เงียบนะพลับ!” แม่เธอแทรกสั่งขึ้นทันที
“พาพวกเราไปหาครอบครัวนายซะ” พ่อเธอสั่งหินผาขึ้นทันที
“หมายความว่าให้ผมแต่งงานกับพลับ?” หินผาย้อนถามสิ่งที่พอจะเข้าใจคำว่ารับผิดชอบของอีกฝ่ายออก
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้วแต่ต้องเป็นหลังพลับเรียจบ! แต่ตอนนี้อย่างน้อยนายต้องหมั้นกับลูกสาวฉันให้ถูกต้องตามประเพณีก่อน!” ไม่ถามเธอเลย ทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่เคยเปิดใจมองโลกที่หมุนไปข้างหน้าบ้าง
“ผมขอตัว” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอีกฝ่ายหินผาก็ลุกขึ้นแล้วพูดออกมาเรียบ ๆ ก่อนจะก้าวผ่านทุกคนเพื่อออกจากห้องนี้ไป
มีอะไรกันแล้วก็ต้องรับผิดชอบอย่างนั้นเหรอ นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว ผู้หญิงผู้ชายเท่าเทียมกันแล้ว มีอะไรกันก็มีความสุขกันสองฝ่ายไม่ได้บีบบังคับเอากันสักหน่อยถึงจะต้องรับผิดชอบอะไรให้วุ่นวายแบบนี้ เขากับเธออายุเท่าไหร่ คบหากันมีอะไรกันก็เป็นเรื่องปกติไหม ชีวิตต้องหยุดลงเพียงเพราะการมีเพศสัมพันธ์กันแค่นั้นเลยเหรอ
“นายคิดว่านายจะไปได้ง่าย ๆ แบบนี้เลยอย่างนั้นเหรอ!” พ่อของเธอก้าวไปดักหน้าหินผาก่อนจะถามขึ้นอย่างไม่พอใจกับการกระทำนี้
แต่ถ้าไม่ติดว่าลูกสาวเขาถูกล่วงเกินแล้วเขาคงสั่งให้เลิกไปเดี๋ยวนี้กับผู้ชายนิสัยแบบนี้
“พ่อคะ...”
“แม่บอกให้เงียบไง!” แม่ของเธอแทรกสั่งอีกครั้งทันที
“กลับไปก่อนเถอะพี่ผา” เธอขัดคำสั่งพ่อแม่แล้วบอกให้หินผากลับไปอย่างที่รู้ดีว่าเขาคงไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะแม้แต่ลูกอย่างเธอก็ไม่พอใจเหมือนกัน
“พลับ!” เสียงพ่อแม่เธอดังขึ้นเชิงตำหนิ นั่นจึงเป็นโอกาสให้หินผาก้าวออกไปอย่างไม่สนใจใคร
“คิดว่าทำแบบนี้แล้วเรื่องจะจบง่าย ๆ เหรอ คิดว่าพ่อกับแม่จะหาครอบครัวไอ้เด็กนั่นไม่เจอเหรอ!” ธวัชว่าให้ลูกสาวที่ปกป้องผู้ชายจนละทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเอง “ถ้ามันรักลูกจริงมันจะเดินหนีไปแบบนี้ไหมพลับ แค่นี้ก็เห็นแล้วว่ามันเป็นผู้ชายแบบไหน!”
“พลับกับพี่ผายังเรียนกันอยู่เลยนะคะ...” เธอกำลังจะพูดต่อว่าให้พวกเธอคบกันตามวัยต่อไปจะดีกว่า ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรในตอนนี้เลย แต่เธอยังไม่ทันได้พูดก็ถูกแทรกขึ้นจากแม่อีกครั้ง
“ถ้ารู้ว่ายังเรียนแล้วทำไมถึงทำตัวแบบนี้! สิ่งที่พ่อกับแม่สอนไปไม่จำเลยใช่ไหม!” จำอย่างนั้นเหรอ เธอจำทุกอย่างที่พ่อแม่สอนสั่งจนแทบจะกลายเป็นกรอกหูเธอมาตั้งแต่จำความได้จนโตเลยด้วยซ้ำ
“เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะลูก” เสียงแห่งความไม่เห็นด้วยของพ่ออย่างธวัชดังขึ้นบอกลูกสาวออกไปเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
“พ่อก็รู้ว่าพลับอยากเรียนที่นั่น” อยากเรียนที่นั่นคือเรื่องจริง แต่เหตุผลของการอยากเรียนคืออะไรมีแต่เธอเท่านั้นที่รู้
“แต่ลูกสาวยังเด็กอยู่เลย แถมยังเป็นผู้หญิงอีกด้วย” คำว่าเด็กในวัยสิบแปดของเธอไม่ได้ทำให้พ่อรู้สึกว่าเธอจะดูแลตัวเองได้เลย และเธอก็เชื่อว่าต่อให้โตกว่านี้ก็ยังเหมือนเดิมที่พ่อจะมองว่าเธอยังเด็ก
แต่ที่เธอเบื่อหน่ายอย่างไม่แสดงออกก็คือคำว่า ผู้หญิง คำที่ทำให้เธอถูกจำกัดความคิดและการใช้ชีวิตมากมาย
“พี่พีชกับพี่พลัมไปเรียนต่างประเทศตอนอายุสิบแปดเหมือนกันนะคะ” พี่ชายทั้งสองที่ออกจากบ้านได้ไกลกว่าเธอ ออกไปในวัยเดียวกับเธอ แต่กลับได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวเพียงเพราะเขาเป็นผู้ชาย
“มันไม่เหมือนกัน พี่ของพลับเป็นผู้ชาย แต่พลับเป็นผู้หญิง” ยังคงได้รับเหตุผลเดิม ๆ ออกมาไม่เปลี่ยน เหตุผลที่ทำให้เธอได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
และนี่คือเหตุผลที่เธออยากไปเรียนไกลบ้าน อยากออกห่างจากหูตาของพ่อแม่บ้าง
“กรุงเทพกับบ้านเราห่างกันไม่กี่ชั่วโมงเองค่ะ ถ้าพ่อแม่คิดถึงพลับก็ไปหาได้นี่คะ” โกหก บ้านเธอไปกรุงเทพมันใช้เวลาแปดเก้าชั่วโมงได้เลย แต่เธอก็ยังแสร้งทำเป็นเหมือนใกล้นิดเดียว
แต่ถ้าเธอยังดึงดันจะอยู่เธอก็ไม่มีโอกาสได้ไปไหนสักที เธอคงไม่ได้เผชิญหน้ากับโลกภายนอกด้วยตัวเองอย่างที่อยากทำมาตลอด โดยพวกเขาไม่ได้คิดเลยว่าเธอไม่สามารถหลบอยู่หลังพ่อแม่ได้ตลอดไปหรอกนะ
“เอาเถอะ พูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว” แม่อย่างบัวตองเอ่ยขึ้นเพราะรู้ดีว่าลูกสาวไม่มีทางเปลี่ยนใจอีกแล้ว เพราะนี่คือรอบสุดท้ายที่สามารถพูดเรื่องนี้ได้ และก็พูดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
“งั้นพลับสัญญานะว่าต้องโทรหรือส่งข้อความบอกพ่อทุกวันหลังถึงห้อง ที่สำคัญกว่านั้นอย่าไปเชื่อคำพูดใครง่าย ๆ โดยเฉพาะผู้ชาย” นี่คือคำสั่งที่เกินกว่าเหตุของพ่อเธอ ต้องรายงานทุกวันว่ากลับถึงห้องอย่างปลอดภัย แต่พ่อก็ยังพูดต่อโดยไม่ถามเธอ “ยิ่งพวกปากหวานทำตัวสุภาพบุรุษเกินจริงนี่ต้องอย่าไปหลงคารมหรือคำคมของมันง่าย ๆ เด็ดขาด”
พ่อที่เป็นผู้ชาย ให้อิสระกับลูกผู้ชาย แต่ผู้ชายกลับเป็นที่ต้องห้ามสำหรับลูกสาวอย่างเธอ
“รู้แล้วค่ะ พ่อพูดแบบนี้ตั้งแต่หนูจำความได้แล้ว” แต่สุดท้ายเธอก็ตอบรับออกไปอย่างทำอะไรไม่ได้ ตอบรับคำพร่ำสอนของพ่อที่กรอกหูเธอตั้งแต่จำความได้เกี่ยวกับเรื่องผู้ชาย
“เพราะพ่อเป็นห่วงและรักลูกไง” แต่พ่อกลับไม่เคยรู้ว่าอะไรที่มันมากเกินไปกลับไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด
“ค่ะ” แต่เธอก็ยังยิ้มตอบรับออกมาอย่างว่าง่าย
“คุณออกไปก่อน ฉันจะคุยกับลูกสองคน” บัวตองไล่สามีขึ้นเพื่อคุยกับลูกสาวของตัวเองบ้าง
สามีอย่างธวัชได้ยินแบบนั้นก็ลุกออกไปอย่างไม่ได้ว่าอะไร เพราะรู้ดีว่าภรรยาคงจะคุยเรื่องผู้หญิง ๆ กับลูกสาว และพ่ออย่างเขาก็ไม่ควรฟัง
“จำที่แม่สอนได้ไหม เราเป็นผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว อย่าใกล้ชิดกับผู้ชายที่ไหน อย่าให้ใครมาถูกเนื้อถูกตัว” บัวตองพูดกับลูกสาวขึ้นบ้าง พูดในสิ่งที่เธอไม่อยากให้เกิดขึ้นก่อนเวลาอันควร
“แม่พูดกับหนูมาตั้งแต่เด็กแล้วเหมือนกัน” รอยยิ้มฝืดเฝื่อนของเธอปรากฏขึ้นอย่างพยายามปั้นยิ้ม
แต่คำพูดนี้ของแม่ก็ไม่ได้ต่างคำสอนของพ่อ กรอกหูเธอตั้งแต่จำความได้ พูดซ้ำ ๆ ย้ำอยู่แบบนั้นทั้งที่รู้ดีว่าทั้งสองไม่สามารถเฝ้ามองเธอได้ตลอดเวลา แต่กลับสอนให้เธอไร้เดียงสาราวกับไข่ในหินที่พวกเขาเป็นเกราะป้องกันได้แค่ตอนอยู่ด้วยกัน
“แม่รู้ แต่แม่เห็นเด็กสมัยนี้อายุไม่เท่าไหร่ก็พากันมีแฟน บางคนพอมีแฟนแล้วกลับเรียนไม่จบซะอย่างนั้น” คำพูดเหนื่อยใจเมื่อนึกถึงเด็กรุ่นลูกที่รู้จักหลาย ๆ คนก่อนจะพูดต่อ “แม่ไว้ใจลูกนะ อย่าทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังรู้ไหม”
“ไม่ต้องไปพาดพิงพวกเขาหรอกแม่ พลับเข้าใจที่พ่อกับแม่บอกแล้ว” เธอทำได้เพียงตัดจบทุกอย่างด้วยตัวเองอย่างเบื่อหน่ายไม่น้อย
“บอกพ่อกับแม่มาว่าผู้ชายคนนั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร พ่อกับแม่จะไปคุยให้รู้เรื่อง!”